“มาร์ค” หนุนตั้ง กก.กลั่นกรองคดีเกี่ยวโยง ม.112 พร้อมจี้นายกฯ ส่งสัญญาณให้ชัดแก้ไม่แก้ อย่าโยนให้เป็นเรื่องของสภา ดักคอ รบ.ต้องชี้แจงกลุ่มที่สนับสนุนให้มีการแก้ไข ม.112 เพราะเคยพูดว่าไม่ใช่เ้ป็นเรื่องนโยบาย
วันนี้ (18 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เห็นด้วยกับข้อเสนอของนักวิชาการที่เห็นว่าควรมีคณะกรรมการกลั่นกรองมาดูเรื่องการกระทำผิดที่เกี่ยวเนื่องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบัน โดยจะใช้รูปแบบใกล้เคียงกับที่เคยทำในสมัยรัฐบาลที่แล้วดำเนินการ ที่มีคณะกรรมการที่ปรึกษาทางกฎหมายแล้วให้แง่มุมความเห็นต่างๆ กับทางพนักงานสอบสวน อัยการ น่าจะเป็นประโยชน์ โดยกรรมการชุดนี้นอกจากจะดูในแง่คดีแล้วควรที่จะสรุปภาพรวมปัญหาการบังคับใช้ เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ทั้งนี้สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการขอให้เน้นบุคคลที่มีประสบการณ์ในเรื่องของกฎหมาย และเข้าใจเจตนารมณ์ของมาตรา 112 เพราะในที่สุดแล้วมาตรานี้ก็เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และรักษาความมั่นคงของประเทศ
ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอให้เปิดเวทีถกเรื่องนี้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง และคิดว่าหากทำความเข้าใจกับที่มา เจตนารมณ์ของมาตรา 112 น่าจะเห็นพ้องต้องกัน ส่วนอะไรที่เป็นปัญหาการบังคับใช้ก็แก้ไขโดยกระบวนการที่จะมีคณะกรรมการที่เพิ่มความรอบคอบให้กับเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการ
สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การจะแก้ไขหรือไม่ ขอให้สภาเป็นผู้พิจารณานั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบไปเฉยๆ เพราะตนเคยสอบถามเรื่องนี้ในสภาและรองนายกรัฐมนตรีเป็นผุ้ตอบเองว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะสนับสนุนการแก้ไขมาตรานี้ ดังนั้นวันนี้ก็ควรจะสื่อสารไปยังรัฐบาลในเรื่องนี้
เมื่อถามว่า ขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ยืนยันสิ่งที่พูดในสภาและเลี่ยงที่จะตอบเรื่องนี้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถือเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่า ร.ต.อ.เฉลิม พูดอะไรก็ได้ แต่ในเมื่อพูดเสมอว่าเติบโตและให้ความสำคัญกับระบบสภา ก็น่าจะรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเอง
เมื่อถามย้ำว่า มีความเคลื่อนไหวของคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 จะเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลแก้ไขหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลยืนยันว่า ไม่ใช่นโยบาย ไม่สนับสนุนการแก้ไข ก็ต้องทำความเข้าใจกับผู้สนับสนุนตนเอง เพราะเท่าที่ติดตามเห็นว่าการสร้างประเด็นเรื่องการแก้ไขมาตรานี้ก็อยู่บนพื้นฐานของความไม่เข้าใจ และบางส่วนมีการบิดเบือนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายต่อหลายคดีเป็นอย่างไร