ASTVผู้จัดการรายวัน-มทบ.2 ระบุวัตถุลึกลับระเบิดหล่นจากท้องฟ้าเหนือเขาพระวิหาร เป็นชิ้นส่วนดาวเทียมจีน ชาวบ้านแห่ดูแน่น กำนันเสาธงชัยเร่งประชาสัมพันธ์ไม่ให้แตกตื่น เผยเปรียบเทียบชิ้นส่วนลึกลับเหมือนเหตุการณ์ปี 46 ผบ.ทบ.เห็นด้วย พร้อมยืนยันยังไม่ถอนทหาร ลั่นจะรักษาอธิปไตยของไทยให้ดีที่สุด
วานนี้ (23 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บรรยากาศช่วงเช้าภายหลังจากเกิดเหตุการณ์วัตถุลึกลับคล้ายชิ้นส่วนอากาศยานระเบิดบนท้องฟ้าและตกลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ชาวบ้านภูมิซรอลยังคงออกไปทำมาหากินประกอบสัมมาชีพกันตามปกติ ขณะที่ชาวบ้านภูมิซรอลบางส่วนพากันรวมกลุ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้วิตกกังวลหรือหวาดกลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนที่บริเวณด้านข้างที่ทำการกำนันตำนันเสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ซึ่งมีเศษชิ้นส่วนของวัตถุลึกลับที่เกิดระเบิดตกลงมาจากท้องฟ้าหลงเหลืออยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารนำเอาไปเก็บรักษาไว้ ปรากฏว่าได้มีบรรดาประชาชนชาวศรีสะเกษและชาวจังหวัดใกล้เคียง พากันทยอยเดินทางมาชมชิ้นส่วนของอากาศยานกันอย่างต่อเนื่อง โดยลักษณะของชิ้นส่วนคล้ายกับเป็นส่วนเชื่อมต่อโครงสร้าง 3 ชิ้น ความยาวชิ้นละประมาณ 30 - 50 ซม.และมีแผ่นโลหะสีเหลืองอ่อนที่เป็นเหมือนกับส่าวนฝาปิด ความกว้างประมาณ 30 ซม. ยาวประมาณ 40 ซม.1 แผ่น ทั้งหมดถูกวางอยู่บริเวณข้างที่ทำการกำนัน ซึ่งเป็นบ้านของนายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำนันเสาธงชัย
นายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนัน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ กล่าวว่า วัตถุที่ระเบิดตกหล่นลงมาจากท้องฟ้า ขณะนี้ทหารกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 ตระเวนเก็บรวบรวมได้กว่า 20 ชิ้น เพื่อนำไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งขณะนี้ตนได้ประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านภูมิซรอลและทุกหมู่บ้านในเขต ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์เกิดระเบิดบนท้องฟ้าเหนือชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหารเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ไม่ใช่เกิดจากการยิงปืนใหญ่หรือมีการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหารเกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นการระเบิดของอากาศยานใกล้เขาพระวิหาร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ชาวบ้านภูมิซรอลทุกหมู่บ้านชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต ต.เสาธงชัย แตกตื่นตกใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์วัตถุลึกลับระเบิดบนท้องฟ้าและตกลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง คือเมื่อปี 2546 และอีกครั้งประมาณปี 2549 ซึ่งเศษชิ้นส่วนที่เก็บได้มีลักษณะเหมือนกับครั้งนี้มาก แตกต่างกันเพียงสีและสภาพความสมบูรณ์เท่านั้น
ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ยังเก็บไว้ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ โดยเขียนข้อความไว้บนชิ้นส่วนวัตถุดังกล่าวระบุว่าเป็น “เทหวัตถุตกจากท้องฟ้า” พร้อมบอกรายละเอียด “21 ตุลาคม 2546 เวลา 10.30 น. เกิดเสียงระเบิดรุนแรงเหนือพื้นที่ด้านทิศตะวันตกผามออีแดง และ 24 พฤศจิกายน 2546 เวลา 12.00 น. ชุดลาดตระเวนร้อย ทพ.2202 ตรวจพบที่บริเวณห้วยพลู ทิศตะวันออกเฉียงเหนือช่องทับอู่ 2 กม. พิกัด VA 527892 ”
**มทบ.2ยันชิ้นส่วนดาวเทียมจีน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเห็นว่า วัตถุดังกล่าวน่าจะเป็นชิ้นส่วนดาวเทียมของประเทศจีน โดยเฉพาะ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ออกมาระบุว่า ชิ้นส่วนอากาศยานที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.นั้น สรุปได้ว่า เป็นชิ้นส่วนดาวเทียมของจีน แต่ขณะนี้กองทัพไทยยังไม่ได้ทำหนังสือสอบถามไป
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวยืนยันเช่นกันว่า เป็นชิ้นส่วนของดาวเทียมที่ตกบริเวณทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ได้เป็นเครื่องบินสอดแนม หรือเป็นเครื่องบินไร้คนขับแต่อย่างใด และไม่มีเครื่องบินสอดแนมของทั้ง 2 ประเทศบินขึ้่น แต่เป็นชิ้นส่วนดาวเทียม ของประเทศอาเซียน ที่กำลังแปรสภาพ
ทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ได้ส่งชิ้นส่วนดังกล่าวให้ทางทหารอากาศดูแล้วว่าเป็นอะไร ซึ่งในตอนแรกเราสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นชิ้นส่วนของอากาศยานอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้มีรูปภาพมาให้ดูแล้วก็ยังไม่ยืนยันว่าเป็นอะไร มันเหมือนกับลักษณะเป็นชิ้นส่วนที่อาจจะเป็นดาวเทียม เหมือนกับเป็นเปลือกนอกอะไรทำนองนี้ หรือว่าเป็นถังอุปกรณ์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ เพราะเมื่อปีก่อนมีตกมาตรงนี้เหมือนกันและที่เดียวกัน แสดงว่ามีวงจรอะไรสักอย่าง
"ในฐานะเป็นทหาร ผมไม่ใช่นักอวกาศ ดูรูปแล้วมันคล้ายๆ กับปลอกหุ้มดาวเทียม ซึ่งผมยังแปลกใจว่า มันตกลงมาข้างบนมันน่าจะไหม้หมด แต่ทำไมไหม้ไม่หมดก็ไม่รู้ อันนี้คงต้องส่งไปให้หน่วยในกรุงเทพฯ เขาตรวจสอบดู"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าไม่ใช่อากาศยานที่บินเข้ามาแล้ว กกล.สุรนารี ยิงตกแต่อย่างใด เราไม่มีการยิง เพราะเราไม่ได้ทะเลาะกับใครและหากมีเครื่องบิน บินเข้ามาเราจะต้องแจ้งเตือน ซึ่งเครื่องบินทุกชนิดจะมีความถี่อากาศอยู่ ฉะนั้นความถี่อากาศหรือความถี่กลางเครื่องบินกับพื้นดินรู้กันทุกประเทศเข้ามามันต้องมีความถี่ช่องนี้ ไม่มีที่ติดต่อกันไม่ได้ ถ้าติดต่อไม่ได้อย่างนั้นคือรบกันแล้ว
**ผบ.ทบ.ลั่น “เขาวิหาร”เป็นดินแดนไทย
พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยถึงกรณีมติที่ประชุมคณะกรรมการทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ครั้งที่ 8 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เกี่ยวกับการถอนกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชาตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกโดยยืนยันอีกครั้งว่า ในขณะนี้ยังไม่มีการปฏิบัติการใดๆ ทั้งสิ้น ในเรื่องการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวของศาลโลก เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายมีความเห็นชอบร่วมกัน ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชามีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการปฏิบัติมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลก (ไอซีเจ) ได้กำหนดออกมาแล้ว แต่จะปฏิบัติอย่างไรขึ้นอยู่กับคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่หรือเรียกว่า “IWG” เป็นเวิร์คกิ้งกรุ๊ปที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหารือว่า มันจะปรับเปลี่ยนอย่างไรอะไรต่างๆ
"ฉะนั้น สรุปว่ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้นในตอนนี้ เพียงแต่เป็นการเห็นชอบร่วมกันว่าควรจะต้องปฏิบัติ เพราะมันเป็นกลไกหรือเป็นพันธะสัญญา พันธะกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องของความผูกพันในฐานะเป็นภาคีอนุสัญญาต่างๆ ที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติในหลายเรื่อง อันนี้ต้องเข้าใจ"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า รมว.กลาโหม ตน และนายกฯ รวมถึงกำลังทั้งหมดได้ตกลงแล้วว่า เราพยายามแต่จะทำให้ดีที่สุด ให้เกิดความโปร่งใส และเกิดความเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง ฉะนั้น ต้องขอให้ทุกคนใจเย็นๆ และสบายใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม เราพยายามจะรักษาอธิปไตย รักษาดินแดนของเราให้ดีที่สุด ฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น แต่ประเด็นสำคัญคือเราคงต้องปฏิบัติตามสัญญาต่างๆ ที่เราได้ร่วมลงนามกับหลายประเทศไว้ด้วย โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศมีความสำคัญในวันนี้.
วานนี้ (23 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บรรยากาศช่วงเช้าภายหลังจากเกิดเหตุการณ์วัตถุลึกลับคล้ายชิ้นส่วนอากาศยานระเบิดบนท้องฟ้าและตกลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ชาวบ้านภูมิซรอลยังคงออกไปทำมาหากินประกอบสัมมาชีพกันตามปกติ ขณะที่ชาวบ้านภูมิซรอลบางส่วนพากันรวมกลุ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้วิตกกังวลหรือหวาดกลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนที่บริเวณด้านข้างที่ทำการกำนันตำนันเสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ซึ่งมีเศษชิ้นส่วนของวัตถุลึกลับที่เกิดระเบิดตกลงมาจากท้องฟ้าหลงเหลืออยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารนำเอาไปเก็บรักษาไว้ ปรากฏว่าได้มีบรรดาประชาชนชาวศรีสะเกษและชาวจังหวัดใกล้เคียง พากันทยอยเดินทางมาชมชิ้นส่วนของอากาศยานกันอย่างต่อเนื่อง โดยลักษณะของชิ้นส่วนคล้ายกับเป็นส่วนเชื่อมต่อโครงสร้าง 3 ชิ้น ความยาวชิ้นละประมาณ 30 - 50 ซม.และมีแผ่นโลหะสีเหลืองอ่อนที่เป็นเหมือนกับส่าวนฝาปิด ความกว้างประมาณ 30 ซม. ยาวประมาณ 40 ซม.1 แผ่น ทั้งหมดถูกวางอยู่บริเวณข้างที่ทำการกำนัน ซึ่งเป็นบ้านของนายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำนันเสาธงชัย
นายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนัน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ กล่าวว่า วัตถุที่ระเบิดตกหล่นลงมาจากท้องฟ้า ขณะนี้ทหารกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 ตระเวนเก็บรวบรวมได้กว่า 20 ชิ้น เพื่อนำไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งขณะนี้ตนได้ประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านภูมิซรอลและทุกหมู่บ้านในเขต ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์เกิดระเบิดบนท้องฟ้าเหนือชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหารเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ไม่ใช่เกิดจากการยิงปืนใหญ่หรือมีการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหารเกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นการระเบิดของอากาศยานใกล้เขาพระวิหาร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ชาวบ้านภูมิซรอลทุกหมู่บ้านชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต ต.เสาธงชัย แตกตื่นตกใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์วัตถุลึกลับระเบิดบนท้องฟ้าและตกลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง คือเมื่อปี 2546 และอีกครั้งประมาณปี 2549 ซึ่งเศษชิ้นส่วนที่เก็บได้มีลักษณะเหมือนกับครั้งนี้มาก แตกต่างกันเพียงสีและสภาพความสมบูรณ์เท่านั้น
ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ยังเก็บไว้ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ โดยเขียนข้อความไว้บนชิ้นส่วนวัตถุดังกล่าวระบุว่าเป็น “เทหวัตถุตกจากท้องฟ้า” พร้อมบอกรายละเอียด “21 ตุลาคม 2546 เวลา 10.30 น. เกิดเสียงระเบิดรุนแรงเหนือพื้นที่ด้านทิศตะวันตกผามออีแดง และ 24 พฤศจิกายน 2546 เวลา 12.00 น. ชุดลาดตระเวนร้อย ทพ.2202 ตรวจพบที่บริเวณห้วยพลู ทิศตะวันออกเฉียงเหนือช่องทับอู่ 2 กม. พิกัด VA 527892 ”
**มทบ.2ยันชิ้นส่วนดาวเทียมจีน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเห็นว่า วัตถุดังกล่าวน่าจะเป็นชิ้นส่วนดาวเทียมของประเทศจีน โดยเฉพาะ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ออกมาระบุว่า ชิ้นส่วนอากาศยานที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.นั้น สรุปได้ว่า เป็นชิ้นส่วนดาวเทียมของจีน แต่ขณะนี้กองทัพไทยยังไม่ได้ทำหนังสือสอบถามไป
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวยืนยันเช่นกันว่า เป็นชิ้นส่วนของดาวเทียมที่ตกบริเวณทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ได้เป็นเครื่องบินสอดแนม หรือเป็นเครื่องบินไร้คนขับแต่อย่างใด และไม่มีเครื่องบินสอดแนมของทั้ง 2 ประเทศบินขึ้่น แต่เป็นชิ้นส่วนดาวเทียม ของประเทศอาเซียน ที่กำลังแปรสภาพ
ทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ได้ส่งชิ้นส่วนดังกล่าวให้ทางทหารอากาศดูแล้วว่าเป็นอะไร ซึ่งในตอนแรกเราสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นชิ้นส่วนของอากาศยานอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้มีรูปภาพมาให้ดูแล้วก็ยังไม่ยืนยันว่าเป็นอะไร มันเหมือนกับลักษณะเป็นชิ้นส่วนที่อาจจะเป็นดาวเทียม เหมือนกับเป็นเปลือกนอกอะไรทำนองนี้ หรือว่าเป็นถังอุปกรณ์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ เพราะเมื่อปีก่อนมีตกมาตรงนี้เหมือนกันและที่เดียวกัน แสดงว่ามีวงจรอะไรสักอย่าง
"ในฐานะเป็นทหาร ผมไม่ใช่นักอวกาศ ดูรูปแล้วมันคล้ายๆ กับปลอกหุ้มดาวเทียม ซึ่งผมยังแปลกใจว่า มันตกลงมาข้างบนมันน่าจะไหม้หมด แต่ทำไมไหม้ไม่หมดก็ไม่รู้ อันนี้คงต้องส่งไปให้หน่วยในกรุงเทพฯ เขาตรวจสอบดู"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าไม่ใช่อากาศยานที่บินเข้ามาแล้ว กกล.สุรนารี ยิงตกแต่อย่างใด เราไม่มีการยิง เพราะเราไม่ได้ทะเลาะกับใครและหากมีเครื่องบิน บินเข้ามาเราจะต้องแจ้งเตือน ซึ่งเครื่องบินทุกชนิดจะมีความถี่อากาศอยู่ ฉะนั้นความถี่อากาศหรือความถี่กลางเครื่องบินกับพื้นดินรู้กันทุกประเทศเข้ามามันต้องมีความถี่ช่องนี้ ไม่มีที่ติดต่อกันไม่ได้ ถ้าติดต่อไม่ได้อย่างนั้นคือรบกันแล้ว
**ผบ.ทบ.ลั่น “เขาวิหาร”เป็นดินแดนไทย
พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยถึงกรณีมติที่ประชุมคณะกรรมการทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ครั้งที่ 8 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เกี่ยวกับการถอนกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชาตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกโดยยืนยันอีกครั้งว่า ในขณะนี้ยังไม่มีการปฏิบัติการใดๆ ทั้งสิ้น ในเรื่องการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวของศาลโลก เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายมีความเห็นชอบร่วมกัน ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชามีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการปฏิบัติมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลก (ไอซีเจ) ได้กำหนดออกมาแล้ว แต่จะปฏิบัติอย่างไรขึ้นอยู่กับคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่หรือเรียกว่า “IWG” เป็นเวิร์คกิ้งกรุ๊ปที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหารือว่า มันจะปรับเปลี่ยนอย่างไรอะไรต่างๆ
"ฉะนั้น สรุปว่ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้นในตอนนี้ เพียงแต่เป็นการเห็นชอบร่วมกันว่าควรจะต้องปฏิบัติ เพราะมันเป็นกลไกหรือเป็นพันธะสัญญา พันธะกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องของความผูกพันในฐานะเป็นภาคีอนุสัญญาต่างๆ ที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติในหลายเรื่อง อันนี้ต้องเข้าใจ"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า รมว.กลาโหม ตน และนายกฯ รวมถึงกำลังทั้งหมดได้ตกลงแล้วว่า เราพยายามแต่จะทำให้ดีที่สุด ให้เกิดความโปร่งใส และเกิดความเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง ฉะนั้น ต้องขอให้ทุกคนใจเย็นๆ และสบายใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม เราพยายามจะรักษาอธิปไตย รักษาดินแดนของเราให้ดีที่สุด ฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น แต่ประเด็นสำคัญคือเราคงต้องปฏิบัติตามสัญญาต่างๆ ที่เราได้ร่วมลงนามกับหลายประเทศไว้ด้วย โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศมีความสำคัญในวันนี้.