ASTVผู้จัดการรายวัน/ศรีสะเกษ - แตกตื่น! พบวัตถุประหลาดลอยเหนือท้องฟ้าชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาวิหาร กันทรลักษ์ ศรีสะเกษ ก่อนระเบิดเสียงดังสนั่น ด้าน มทภ.2 ยันไม่ใช่อาวุธทั้งฝ่ายไทย-กัมพูชา "ยุทธศักดิ์" แสลงใจ ติงสื่อฯเลิกใช้คำว่า "ถอนทหาร" ขอให้ใช้คำว่า "ปรับกำลังทดแทน" ขณะที่กมธ.กิจการชายแดน จี้"บัวแก้ว"ทำหนังสือประท้วงกรณี เขมรยิงฮ.ไทย
วานนี้ (22 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณทุ่งนาบ้านภูมิชรอล ข้างโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ชาวบ้านแตกตื่นพบมีวัตถุประหลาดลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านราว 30 เมตร จากนั้นไม่นานได้เกิดระเบิดขึ้นสียงดังสนั่นหวั่นไหวและมีเศษวัตถุตกกระจายเกลื่อนทั่วไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กว่า 23 จุด
หลังจากนั้นนายเพิ่มศักดิ์ ฉวีรักษ์ นายอำเภอกันทรลักษ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ บ้านน้ำเย็น อ.กันทรลักษ์ เจ้าหน้าที่ปกครอง ได้ออกติดตามเก็บเศษวัสดุดังกล่าวให้ครบทุกจุดที่ได้รับแจ้งจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมเตือนประชาชนอย่าได้เก็บไว้หรือนำไปดำเนินการใดๆ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นวัตถุอะไรแน่
นายเพิ่มศักดิ์ ฉวีรักษ์ นายอำเภอกันทรลักษ์ กล่าวว่า วัตถุที่พบเป็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่เท่าฝาถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร สีเหลืองคล้ายชิ้นส่วนอากาศยาน มีนอตขันติดรอบ พร้อมมีข้อต่อ สายลวด ผ้าผันรอบนอต และมีตัวอักษรภาษาอังกฤษพร้อมหมายเลขกำกับชัดเจน คือ “AZCE37-4-4B21” ซึ่งวัสดุของวัตถุกล่าวเป็นวัสดุพิเศษ คล้ายวัสดุที่ทำปีกเครื่องบิน น้ำหนักเบา บาง แต่มีความทนทานพิเศษ ทั้งนี้ การเกิดระเบิดของวัตถุประหลาดนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน และราษฎรตามแนวชายแดนแต่อย่างใด
โดยภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตนได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 และกองกำลังสุรนารี (กกล.) กองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บรวบรวมวัสดุประหลาดที่อยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อนำไปรอการพิสูจน์จากนักวิชาการหรือหน่วยที่เชี่ยวชาญเฉพาะอีกครั้ง
“ขณะนี้ขอยืนยันว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังสงบเรียบร้อยดี ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงดีอยู่ และไม่ใช่เป็นระเบิดจากฝ่ายกัมพูชาแต่อย่างใด” นายเพิ่มศักดิ์กล่าว
พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า เสียงระเบิดที่ดังขึ้นไม่ใช่เสียงปืนใหญ่หรือว่าเสียงระเบิดแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงระเบิดของอากาศยานที่อยู่เหนือชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหาร ซึ่งขณะนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเศษวัตถุที่ตกลงมาจากท้องฟ้านั้นเป็นชิ้นส่วนของอะไร ขอฝากถึงประชาชนชาวศรีสะเกษว่าไม่ต้องตื่นตกใจเนื่องจากว่าไม่ใช่เสียงปืนใหญ่และยังไม่มีการสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่เขาพระวิหารแต่อย่างใด
ด้าน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เปิดเผยเกี่ยวกับมีวัตถุบางอย่างระเบิดกลางอากาศบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวแล้วซึ่งทางกัมพูชาได้มีการประสานงานสอบถามมาเช่นกัน ยืนยันว่า ไม่ใช่อาวุธของไทย และกัมพูชาก็ยืนยันว่าไม่ใช่ของกัมพูชาเช่นกัน
โดยวัตถุดังกล่าวเป็นเหมือนกล่องโลหะ มีฝาปิดสีเหลือง ตกมาจากท้องฟ้า คล้ายกับเหตุระเบิด เมื่อปีก่อน ซึ่งตอบไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ได้ทำการประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่แล้วว่า ไม่ได้มีการปะทะกันแต่อย่างใด
ต่อมาเวลา 15.30 น. ที่บริเวณทุ่งนาข้างรีสอร์ตแห่งหนึ่งห่างจากสามแยกบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ประมาณ 500 เมตร เจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 จำนวนประมาณ 5 นายได้พากันไปตระเวนเก็บชิ้นส่วนของวัตถุที่ระเบิดดังกล่าวไปเก็บไว้ที่ค่ายทหารใกล้กับบ้านภูมิซรอล เพื่อรอการตรวจพิสูจน์ต่อไป
นายประเสริฐ พรหมจันดี นักพัฒนาชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสาธงชัย เล่าให้ฟังว่า ขณะเกิดเหตุระเบิดบนท้องฟ้าตนกำลังนั่งทำงานอยู่และได้รีบออกมาดูเหตุการณ์บนท้องฟ้าและพบว่ามีเศษวัตถุหล่นลงมากลางทุ่งนาห่างจาก โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย ใกล้กับสำนักงาน อบต.ที่ตนทำงานอยู่ประมาณ 200 เมตร จึงได้รีบวิ่งมาดูว่าเป็นชิ้นส่วนของอะไรและได้พบเศษวัตถุเป็นสีเหลืองอ่อนมีลักษณะเป็นหัวนอตรอบวงกลมเหมือนกับว่าเป็นชิ้นส่วนของฝาถังบรรจุอะไรบางอย่าง แต่ตนไม่กล้าแตะต้อง และได้รายงานให้นายโชคชัย สายแก้ว นายก อบต.เสาธงชัยทราบ เพื่อรายงานให้กับนายอำเภอกันทรลักษ์ และแจ้งฝ่ายทหารให้มาทำการเก็บวัตถุไปทำการตรวจสอบต่อไป
นางอรทัย ดวงแก้ว อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 393 ม.12 บ้านภูมิซรอลใหม่ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การระเบิดที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าพวกตนไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เนื่องจากเคยชินกับเสียงระเบิดและเสียงปืนใหญ่แล้ว ในห้วงที่เกิดการสู้รบระหว่างทหารไทยกับทหาร กัมพูชาระหว่างวันที่ 4 - 6 ก.พ.54 ที่ผ่านมา ซึ่งการระเบิดบนท้องฟ้าในครั้งนี้ตนไม่เชื่อว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่มีการเจรจาถอนกำลังทหารไทย - กัมพูชา ออกจากบริเวณเขาพระวิหาร
อย่างไรก็ตาม พวกเราที่เป็นชาวบ้านอยู่ใกล้ชายแดนเขาพระวิหารไม่อยากให้มีการถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหาร เพราะจะได้ปกป้องอธิปไตยของชาติไทย หากมีทหารอยู่ด้วยพวกเรารู้สึกอบอุ่นใจว่ามีทหารเป็นแนวรั้วกั้นไม่ให้กัมพูชาเข้ามารุกรานและทำลายชีวิตทรัพย์สินของพวกเราชาวบ้านภูมิซรอล
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากการเกิดระเบิดของวัตถุลึกลับบนท้องฟ้าเหนือชายแดนเขาพระวิหาร ครั้งนี้ ปรากฏว่าคณะครู นักเรียน หลายโรงเรียนที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ได้พากันแตกตื่นวิ่งเข้าหลุมหลบภัย และเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ปกติแล้ว จึงได้พากันออกมาเรียนหนังสือตามปกติต่อไป
***"ยุทธศักดิ์"ติงเลิกใช้คำ "ถอนทหาร"
จากกรณี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ได้นำคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ( จีบีซี ) เดินทางไปประชุมที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กับ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา
โดยมีการหารือถึงความร่วมมือของ 2 ประเทศ ทั้งทางบก ทางทะเล และอากาศ รวมถึงวาระที่จะต้องดำเนินการตามคำสั่งชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้แถลงถึงผลการประชุม จีบีซี ในครั้งนี้ว่า ทั้งสองสองฝ่ายเห็นชอบด้วยกัน ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วม JWG เพื่อพิจารณาตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลกได้สั่งการให้ดำเนินการชั่วคราว
ส่วนเรื่องข้อเสนอของฝ่ายกัมพูชาที่ให้ถอนทหารภายในวันที่ 20 ม.ค.55 นั้น อยู่ในขั้นตั้งคณะทำงาน ไม่ได้กำหนดกรอบเวลา ขณะนี้ทหารดูแลพื้นที่ ทหารยังไม่ได้มีการปรับกำลังออก เพราะเรามีกำลังที่ดูแลอยู่ในเวลานี้ เราไม่ต้องรายงานเรื่องนี้ต่อศาลโลก
ต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (22 ธ.ค.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่สื่อมวลชน มีการนำเรื่องข่าวผลการเจรจาจีบีซี โดยใช้คำว่าถอนกำลังทหาร ว่า อยากจะขอร้อง เพราะมันล้าสมัยแล้ว คำว่า ถอนกำลังทหาร ขอให้สื่อมวลชนเลิกใช้ เราไม่ใช้อีกแล้ว เพราะจะมีปัญหาต่อการปฏิบัติ และไม่ได้ช่วยประเทศชาติในอนาคต จึงขอให้ใช้คำว่า "ปรับกำลังทดแทน" เพราะฉะนั้นในพื้นที่ที่ทหารเข้าไปอยู่ ถ้ามีการปรับเปลี่ยนเราก็จะเอาตำรวจเข้าไปทดแทนทหาร ทุกจุดที่ทหารเคยเฝ้าดูอยู่ เพื่อดูพื้นที่เหล่านั้น ไม่ใช่การถอนทหารออกมา และทิ้งพื้นที่ให้อยู่ในมือของคนอื่น จึงขอฝากว่า อย่าใช้คำว่า ถอนทหารอีก
** อย่าห่วงสัมพันธ์จนลืมผลประโยชน์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุม จีบีซี ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ว่า ตนได้สนับสนุนเรื่องการปรับกำลังมาตั้งแต่ต้น แต่อยากเตือนรัฐบาลว่า เมื่อมีการปรับกำลังแล้ว ต้องให้ทางกัมพูชา เคารพ เอ็มโอยู ปี 43 และต้องมีความชัดเจนในการถอนทหารออกจากพื้นที่ๆ กัมพูชาละเมิด ไม่เช่นนั้น จะเกิดปัญหาการรุกล้ำ เข้ามาในดินแดนไทย เหมือนที่ผ่านมา และควรวางกรอบบทบาทของผู้สังเกตการณ์ชาติที่ 3 ให้เหมาะสมไม่ควรให้เข้ามาสังเกต ในช่วงที่ยังมีการปรับกำลังทหาร และกัมพูชายังละเมิด เอ็มโอยู 43 เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมโลก และส่งผลต่อคำตัดสินของศาลโลกในช่วงต้นปี
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับนานาชาติ อย่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่ทางการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ส่งผู้แทนไทย ขึ้นไปทำงานร่วมกับคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี ที่ไปสำรวจพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร
"ขอให้ขณะนี้ไม่มีการปะทะกัน การเจรจาอยู่ในระดับทวิภาคี ก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะช่วงนี้ใกล้เวลาที่ศาลโลกจะตัดสิน หากมีเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นก็จะมีผลต่อการตัดสินได้"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า อยากจะแนะนำรัฐบาลใน 2 เรื่อง คือ รัฐบาลมองเรื่องนี้เป็นการเมืองมากเกินไป โดยคิดว่าการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน มีการพูดคุยกันหวานหูมากขึ้น โดยลืมประโยชน์ของชาติไป และอย่ากังวลผลประโยชน์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะอาจส่งผลต่อการต่อสู้คดีในศาลโลก และอาจทำให้ไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ดังกล่าวได้ นายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน และต้องเข้มขึ้น ตนไม่ได้คาดหวังใดๆ จากตัวตนของท่าน แต่คาดหวังในตำแหน่งที่ท่านดำรงอยู่
** อัด"ปึ้ง"หงอ ไม่โวยเขมรยิง ฮ.ไทย
นายสามารถ มะลูลีม ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการชายแดนไทย สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ ของกองทัพเรือไทย โดยที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย ไม่ได้ทำหนังสือประท้วงตามหลักสากลปฏิบัติ โดยอ้างถึงสภาพความสัมพันธ์ที่ดีว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยให้ความสนใจมาก ว่าเพราะเหตุใดนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวง ที่เกี่ยวข้อง จึงไม่ทำหนังสือประท้วงต่อทางการกัมพูชา การจะอ้างบรรยากาศความสัมพันธ์ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่โดยหลักปฏิบัติของสากล ที่นานาประเทศทำกัน เมื่อมีการรุกล้ำอธิปไตย หรือเขตแดนของเพื่อนบ้านต้องทำหนังสือประท้วง เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่า เรายืนยันว่า ดินแดน หรือพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเรา
แม้ว่าพื้นที่ในหลักหมุดที่ 71-72 จ.ตราด ยังเป็นพื้นที่ ซึ่งรอการเจรจาปักปันเขตแดน หรือรอการปักหมุด เพราะต่างฝ่ายก็ยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของตนเอง กระทรวงการต่างประเทศ ก็ควรที่จะทำหนังสือประท้วง และออกแถลงการณ์ตำหนิผ่านสื่อ ทั้งไทยและเทศเพื่อเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษร เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกประเทศทำกัน แต่นายสุรพงษ์ กลับไม่ทำ ทั้งหมดก็เพื่อการรักษาสิทธิและอธิปไตยเหนือดินแดนพื้นที่ดังกล่าว การเจรจาก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไป ไม่ใช่ยอมรับสภาพแล้วแต่เขาจะว่าอย่างไร ก็ทำตามเขาว่าไป ถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่หรือไม่
นอกจากนี้ กรณีที่ทางการกัมพูชาได้แจ้งว่าจะนำผู้แทนของยูเนสโก หรือคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ขึ้นมาสำรวจความเสียหายในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ที่ยังมีข้อพิพาทรวม 4.6. ตารางกิโลเมตร กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้ส่งตัวแทนฝ่ายไทยขึ้นไปร่วมสังเกตุการณ์ และยังปล่อยให้มีการรุกล้ำผ่านดินแดนของประเทศไทย ใช้เป็นทางขึ้นไปได้โดยสะดวก ไม่มีการประท้วงใดๆ ถือเป็นการเสี่ยง และเป็นการเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ในคดีที่รัฐบาลที่ผ่านมาได้ยื่นต่อสู้คัดค้าน การขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ จึงเป็นการสุ่มเสี่ยงในรูปคดีการต่อสู้ในเวทีนานาชาติ ซึ่งทั้งสองกรณีทาง กมธ.จะได้ทำหนังสือเชิญ รมว.ต่างประเทศ และข้าราชการในกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเหตุผล โดยเฉพาะการไม่ออกหนังสือประท้วงหรือแถลงการณ์อ้างสิทธิเหนือดินแดนของไทยทั้งสองจุด
วานนี้ (22 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณทุ่งนาบ้านภูมิชรอล ข้างโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ชาวบ้านแตกตื่นพบมีวัตถุประหลาดลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านราว 30 เมตร จากนั้นไม่นานได้เกิดระเบิดขึ้นสียงดังสนั่นหวั่นไหวและมีเศษวัตถุตกกระจายเกลื่อนทั่วไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กว่า 23 จุด
หลังจากนั้นนายเพิ่มศักดิ์ ฉวีรักษ์ นายอำเภอกันทรลักษ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ บ้านน้ำเย็น อ.กันทรลักษ์ เจ้าหน้าที่ปกครอง ได้ออกติดตามเก็บเศษวัสดุดังกล่าวให้ครบทุกจุดที่ได้รับแจ้งจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมเตือนประชาชนอย่าได้เก็บไว้หรือนำไปดำเนินการใดๆ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นวัตถุอะไรแน่
นายเพิ่มศักดิ์ ฉวีรักษ์ นายอำเภอกันทรลักษ์ กล่าวว่า วัตถุที่พบเป็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่เท่าฝาถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร สีเหลืองคล้ายชิ้นส่วนอากาศยาน มีนอตขันติดรอบ พร้อมมีข้อต่อ สายลวด ผ้าผันรอบนอต และมีตัวอักษรภาษาอังกฤษพร้อมหมายเลขกำกับชัดเจน คือ “AZCE37-4-4B21” ซึ่งวัสดุของวัตถุกล่าวเป็นวัสดุพิเศษ คล้ายวัสดุที่ทำปีกเครื่องบิน น้ำหนักเบา บาง แต่มีความทนทานพิเศษ ทั้งนี้ การเกิดระเบิดของวัตถุประหลาดนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน และราษฎรตามแนวชายแดนแต่อย่างใด
โดยภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตนได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 และกองกำลังสุรนารี (กกล.) กองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บรวบรวมวัสดุประหลาดที่อยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อนำไปรอการพิสูจน์จากนักวิชาการหรือหน่วยที่เชี่ยวชาญเฉพาะอีกครั้ง
“ขณะนี้ขอยืนยันว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังสงบเรียบร้อยดี ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงดีอยู่ และไม่ใช่เป็นระเบิดจากฝ่ายกัมพูชาแต่อย่างใด” นายเพิ่มศักดิ์กล่าว
พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า เสียงระเบิดที่ดังขึ้นไม่ใช่เสียงปืนใหญ่หรือว่าเสียงระเบิดแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงระเบิดของอากาศยานที่อยู่เหนือชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหาร ซึ่งขณะนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเศษวัตถุที่ตกลงมาจากท้องฟ้านั้นเป็นชิ้นส่วนของอะไร ขอฝากถึงประชาชนชาวศรีสะเกษว่าไม่ต้องตื่นตกใจเนื่องจากว่าไม่ใช่เสียงปืนใหญ่และยังไม่มีการสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่เขาพระวิหารแต่อย่างใด
ด้าน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เปิดเผยเกี่ยวกับมีวัตถุบางอย่างระเบิดกลางอากาศบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวแล้วซึ่งทางกัมพูชาได้มีการประสานงานสอบถามมาเช่นกัน ยืนยันว่า ไม่ใช่อาวุธของไทย และกัมพูชาก็ยืนยันว่าไม่ใช่ของกัมพูชาเช่นกัน
โดยวัตถุดังกล่าวเป็นเหมือนกล่องโลหะ มีฝาปิดสีเหลือง ตกมาจากท้องฟ้า คล้ายกับเหตุระเบิด เมื่อปีก่อน ซึ่งตอบไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ได้ทำการประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่แล้วว่า ไม่ได้มีการปะทะกันแต่อย่างใด
ต่อมาเวลา 15.30 น. ที่บริเวณทุ่งนาข้างรีสอร์ตแห่งหนึ่งห่างจากสามแยกบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ประมาณ 500 เมตร เจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 จำนวนประมาณ 5 นายได้พากันไปตระเวนเก็บชิ้นส่วนของวัตถุที่ระเบิดดังกล่าวไปเก็บไว้ที่ค่ายทหารใกล้กับบ้านภูมิซรอล เพื่อรอการตรวจพิสูจน์ต่อไป
นายประเสริฐ พรหมจันดี นักพัฒนาชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสาธงชัย เล่าให้ฟังว่า ขณะเกิดเหตุระเบิดบนท้องฟ้าตนกำลังนั่งทำงานอยู่และได้รีบออกมาดูเหตุการณ์บนท้องฟ้าและพบว่ามีเศษวัตถุหล่นลงมากลางทุ่งนาห่างจาก โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย ใกล้กับสำนักงาน อบต.ที่ตนทำงานอยู่ประมาณ 200 เมตร จึงได้รีบวิ่งมาดูว่าเป็นชิ้นส่วนของอะไรและได้พบเศษวัตถุเป็นสีเหลืองอ่อนมีลักษณะเป็นหัวนอตรอบวงกลมเหมือนกับว่าเป็นชิ้นส่วนของฝาถังบรรจุอะไรบางอย่าง แต่ตนไม่กล้าแตะต้อง และได้รายงานให้นายโชคชัย สายแก้ว นายก อบต.เสาธงชัยทราบ เพื่อรายงานให้กับนายอำเภอกันทรลักษ์ และแจ้งฝ่ายทหารให้มาทำการเก็บวัตถุไปทำการตรวจสอบต่อไป
นางอรทัย ดวงแก้ว อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 393 ม.12 บ้านภูมิซรอลใหม่ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การระเบิดที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าพวกตนไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เนื่องจากเคยชินกับเสียงระเบิดและเสียงปืนใหญ่แล้ว ในห้วงที่เกิดการสู้รบระหว่างทหารไทยกับทหาร กัมพูชาระหว่างวันที่ 4 - 6 ก.พ.54 ที่ผ่านมา ซึ่งการระเบิดบนท้องฟ้าในครั้งนี้ตนไม่เชื่อว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่มีการเจรจาถอนกำลังทหารไทย - กัมพูชา ออกจากบริเวณเขาพระวิหาร
อย่างไรก็ตาม พวกเราที่เป็นชาวบ้านอยู่ใกล้ชายแดนเขาพระวิหารไม่อยากให้มีการถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหาร เพราะจะได้ปกป้องอธิปไตยของชาติไทย หากมีทหารอยู่ด้วยพวกเรารู้สึกอบอุ่นใจว่ามีทหารเป็นแนวรั้วกั้นไม่ให้กัมพูชาเข้ามารุกรานและทำลายชีวิตทรัพย์สินของพวกเราชาวบ้านภูมิซรอล
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากการเกิดระเบิดของวัตถุลึกลับบนท้องฟ้าเหนือชายแดนเขาพระวิหาร ครั้งนี้ ปรากฏว่าคณะครู นักเรียน หลายโรงเรียนที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ได้พากันแตกตื่นวิ่งเข้าหลุมหลบภัย และเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ปกติแล้ว จึงได้พากันออกมาเรียนหนังสือตามปกติต่อไป
***"ยุทธศักดิ์"ติงเลิกใช้คำ "ถอนทหาร"
จากกรณี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ได้นำคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ( จีบีซี ) เดินทางไปประชุมที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กับ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา
โดยมีการหารือถึงความร่วมมือของ 2 ประเทศ ทั้งทางบก ทางทะเล และอากาศ รวมถึงวาระที่จะต้องดำเนินการตามคำสั่งชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้แถลงถึงผลการประชุม จีบีซี ในครั้งนี้ว่า ทั้งสองสองฝ่ายเห็นชอบด้วยกัน ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วม JWG เพื่อพิจารณาตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลกได้สั่งการให้ดำเนินการชั่วคราว
ส่วนเรื่องข้อเสนอของฝ่ายกัมพูชาที่ให้ถอนทหารภายในวันที่ 20 ม.ค.55 นั้น อยู่ในขั้นตั้งคณะทำงาน ไม่ได้กำหนดกรอบเวลา ขณะนี้ทหารดูแลพื้นที่ ทหารยังไม่ได้มีการปรับกำลังออก เพราะเรามีกำลังที่ดูแลอยู่ในเวลานี้ เราไม่ต้องรายงานเรื่องนี้ต่อศาลโลก
ต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (22 ธ.ค.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่สื่อมวลชน มีการนำเรื่องข่าวผลการเจรจาจีบีซี โดยใช้คำว่าถอนกำลังทหาร ว่า อยากจะขอร้อง เพราะมันล้าสมัยแล้ว คำว่า ถอนกำลังทหาร ขอให้สื่อมวลชนเลิกใช้ เราไม่ใช้อีกแล้ว เพราะจะมีปัญหาต่อการปฏิบัติ และไม่ได้ช่วยประเทศชาติในอนาคต จึงขอให้ใช้คำว่า "ปรับกำลังทดแทน" เพราะฉะนั้นในพื้นที่ที่ทหารเข้าไปอยู่ ถ้ามีการปรับเปลี่ยนเราก็จะเอาตำรวจเข้าไปทดแทนทหาร ทุกจุดที่ทหารเคยเฝ้าดูอยู่ เพื่อดูพื้นที่เหล่านั้น ไม่ใช่การถอนทหารออกมา และทิ้งพื้นที่ให้อยู่ในมือของคนอื่น จึงขอฝากว่า อย่าใช้คำว่า ถอนทหารอีก
** อย่าห่วงสัมพันธ์จนลืมผลประโยชน์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุม จีบีซี ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ว่า ตนได้สนับสนุนเรื่องการปรับกำลังมาตั้งแต่ต้น แต่อยากเตือนรัฐบาลว่า เมื่อมีการปรับกำลังแล้ว ต้องให้ทางกัมพูชา เคารพ เอ็มโอยู ปี 43 และต้องมีความชัดเจนในการถอนทหารออกจากพื้นที่ๆ กัมพูชาละเมิด ไม่เช่นนั้น จะเกิดปัญหาการรุกล้ำ เข้ามาในดินแดนไทย เหมือนที่ผ่านมา และควรวางกรอบบทบาทของผู้สังเกตการณ์ชาติที่ 3 ให้เหมาะสมไม่ควรให้เข้ามาสังเกต ในช่วงที่ยังมีการปรับกำลังทหาร และกัมพูชายังละเมิด เอ็มโอยู 43 เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมโลก และส่งผลต่อคำตัดสินของศาลโลกในช่วงต้นปี
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับนานาชาติ อย่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่ทางการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ส่งผู้แทนไทย ขึ้นไปทำงานร่วมกับคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี ที่ไปสำรวจพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร
"ขอให้ขณะนี้ไม่มีการปะทะกัน การเจรจาอยู่ในระดับทวิภาคี ก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะช่วงนี้ใกล้เวลาที่ศาลโลกจะตัดสิน หากมีเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นก็จะมีผลต่อการตัดสินได้"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า อยากจะแนะนำรัฐบาลใน 2 เรื่อง คือ รัฐบาลมองเรื่องนี้เป็นการเมืองมากเกินไป โดยคิดว่าการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน มีการพูดคุยกันหวานหูมากขึ้น โดยลืมประโยชน์ของชาติไป และอย่ากังวลผลประโยชน์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะอาจส่งผลต่อการต่อสู้คดีในศาลโลก และอาจทำให้ไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ดังกล่าวได้ นายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน และต้องเข้มขึ้น ตนไม่ได้คาดหวังใดๆ จากตัวตนของท่าน แต่คาดหวังในตำแหน่งที่ท่านดำรงอยู่
** อัด"ปึ้ง"หงอ ไม่โวยเขมรยิง ฮ.ไทย
นายสามารถ มะลูลีม ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการชายแดนไทย สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ ของกองทัพเรือไทย โดยที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย ไม่ได้ทำหนังสือประท้วงตามหลักสากลปฏิบัติ โดยอ้างถึงสภาพความสัมพันธ์ที่ดีว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยให้ความสนใจมาก ว่าเพราะเหตุใดนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวง ที่เกี่ยวข้อง จึงไม่ทำหนังสือประท้วงต่อทางการกัมพูชา การจะอ้างบรรยากาศความสัมพันธ์ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่โดยหลักปฏิบัติของสากล ที่นานาประเทศทำกัน เมื่อมีการรุกล้ำอธิปไตย หรือเขตแดนของเพื่อนบ้านต้องทำหนังสือประท้วง เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่า เรายืนยันว่า ดินแดน หรือพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเรา
แม้ว่าพื้นที่ในหลักหมุดที่ 71-72 จ.ตราด ยังเป็นพื้นที่ ซึ่งรอการเจรจาปักปันเขตแดน หรือรอการปักหมุด เพราะต่างฝ่ายก็ยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของตนเอง กระทรวงการต่างประเทศ ก็ควรที่จะทำหนังสือประท้วง และออกแถลงการณ์ตำหนิผ่านสื่อ ทั้งไทยและเทศเพื่อเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษร เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกประเทศทำกัน แต่นายสุรพงษ์ กลับไม่ทำ ทั้งหมดก็เพื่อการรักษาสิทธิและอธิปไตยเหนือดินแดนพื้นที่ดังกล่าว การเจรจาก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไป ไม่ใช่ยอมรับสภาพแล้วแต่เขาจะว่าอย่างไร ก็ทำตามเขาว่าไป ถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่หรือไม่
นอกจากนี้ กรณีที่ทางการกัมพูชาได้แจ้งว่าจะนำผู้แทนของยูเนสโก หรือคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ขึ้นมาสำรวจความเสียหายในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ที่ยังมีข้อพิพาทรวม 4.6. ตารางกิโลเมตร กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้ส่งตัวแทนฝ่ายไทยขึ้นไปร่วมสังเกตุการณ์ และยังปล่อยให้มีการรุกล้ำผ่านดินแดนของประเทศไทย ใช้เป็นทางขึ้นไปได้โดยสะดวก ไม่มีการประท้วงใดๆ ถือเป็นการเสี่ยง และเป็นการเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ในคดีที่รัฐบาลที่ผ่านมาได้ยื่นต่อสู้คัดค้าน การขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ จึงเป็นการสุ่มเสี่ยงในรูปคดีการต่อสู้ในเวทีนานาชาติ ซึ่งทั้งสองกรณีทาง กมธ.จะได้ทำหนังสือเชิญ รมว.ต่างประเทศ และข้าราชการในกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเหตุผล โดยเฉพาะการไม่ออกหนังสือประท้วงหรือแถลงการณ์อ้างสิทธิเหนือดินแดนของไทยทั้งสองจุด