เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นประธานประชุมใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนา ครั้งที่ 2/2554 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยตำแหน่งที่สำคัญคือ รายชื่อกรรมการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนาได้แก่ นายชุมพล ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรค นายถาวร จำปาเงิน และนายสมชาย เชื้อจอหอ เป็นรองหัวหน้าพรรค นายพันธุ์เทพ สุลีสถิร เป็นเลขาธิการพรรค นายไชยวุฒิ เล็กสมบูรณ์ เป็นรองเลขาธิการพรรค นายวัชระ กรรณิการ์ เป็นโฆษกพรรค นอกจากนี้จะมีการเลือกตั้งกรรมการนโยบายพรรคชาติไทยพัฒนา กรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง และกรรมการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรคชาติไทยพัฒนา ด้วย
จากนั้น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวในที่ประชุม กล่าวถึงแนวทางปรองดองว่า การศึกษาโดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และการทำงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ( กมธ.ปรองดอง ) มีความรู้สึกว่า อาจจะไม่สำเร็จ เพราะคอป.ได้นำเสนอแนวทางที่มีความหลากหลายมากเกินไป
ส่วนของ กมธ.ปรองดองของสภานั้น มีการศึกษาที่แคบเกินไป แม้จะมีการเชิญคู่ขัดแย้งเข้ามา แต่ก็ไม่ทราบว่า คู่กรณีเป็นใคร หากเป็นพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าไม่มีทางที่จะนำไปสู่ความปรองดองได้
ดังนั้น การจะสร้างความปรองดองในส่วนของ กมธ.ปรองดอง ต้องพูดด้วยหัวใจ ไม่ใช่พูดด้วยหลักการและเหตุผล หากยึดแค่หลักการ และเหตุผลจะไม่สามารถทำความปรองดองสำเร็จได้ และที่สำคัญการจะสร้างความปรองดองโดยไม่รับฟังเสียงของประชาชน เป็นสิ่งที่ตนมีความเป็นห่วงว่าจะทำให้การทำงานเสียเวลา ไม่มีใครยอมรับ เพราะมีแค่ ส.ส.คอยเสนอแนวทางจากทางสภา เท่ากับว่าเป็นข้อเสนอที่เป็นเผด็จการ เมื่อนำออกไปใช้ประชาชนก็จะรู้สึกว่าถูกบังคับ
ดังนั้นหากจะทำให้เกิดความปรองดองที่แท้จริงได้ต้องให้ประชาชนและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
"ตอนนี้มีการพูดถึงเรื่องนิรโทษกรรมกันมาก กมธ.ก็พูดกันมาก ทั้งที่ กมธ.ปรองดอง ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่กลับพูดตั้งแต่เริ่มทำงาน ผมในฐานะที่เคยเป็นนักโทษและได้รับพระราชทานอภัยโทษมองว่า ประเด็นนิรโทษกรรมต้องใช้อย่างเหมาะสม ถูกที่และถูกเวลา ซึ่งในแนวทางปรองดองการนิรโทษกรรม ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะนำมาพูดกัน แต่ตอนนี้ต้องมาพูดในข้อเสนอว่า จะทำให้การไม่เกิดสี ไม่แบ่งแยก และมีความเข้าใจที่เป็นแนวทางเดียวกันได้อย่างไร ซึ่งการศึกษาเรื่องความปรองดองต่าง ๆ ผมไม่ขัดขวาง แต่อยากฝากให้คณะกรรมการที่ทำรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย" พล.ต.สนั่น กล่าว
พล.ต.สนั่น กล่าวอีกว่า ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา เตรียมที่จะเดินหน้าสานต่อในแนวทางของพรรค ด้วยการเดินสายพบปะ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ก่อนที่จะนำมาประมวลผลกำหนดเป็นแนวนโยบาย และนำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อประชาชนทั่วประเทศ ดังนั้นขอให้สมาชิกพรรคช่วยสานต่อแนวคิดดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม อยากให้รุ่นน้องการเมือง ศึกษานักการเมืองรุ่นเก่า เช่น นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ ที่ให้อภัยทุกคน เมื่อเข้าสู่วงการการเมืองแล้วก็จะโดนมะรุมมะตุ้ม ซึ่งนายบรรหาร โดนมาเยอะ อยู่ที่ว่าเราจะให้อภัยกันอย่างไร เพราะฉนั้นประเด็นการสร้างความปรองดอง หากยังมีความแค้นกันอยู่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อเข้ามาเป็นเสนาบดี ก็จะต้องมีการแก้แค้นกันไม่จบสิ้น หากไปฆ่าคน 1-2 คน ก็จะมีคดีติดตัว
** อย่าเลือกปฏิบัตินักโทษคุกวีไอพี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณี นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ให้ความเห็นว่า ดีใจที่รัฐบาลจะปฏิบัติเติมที่เสนอในการแยกขังนักโทษคดีการเมือง แต่จะไม่เข้าไปดูรายชื่อนักโทษที่แยกขังว่าเป็นใครบ้างว่า ท่านคงไม่มีหน้าที่ในการไปดูรายชื่อ แต่ท่านจะต้องพูดให้ชัดว่า หลักเกณฑ์ คืออะไร ตนเห็นท่านให้สัมภาษณ์คดีที่เกี่ยวข้องกับการไปใช้อาวุธมันไม่ใช่ เมื่อมันไม่ใช่ตนคิดว่า ท่านก็จะต้องแสดงจุดยืน ถ้ามีกรณีของคนกระทำความผิดโดยใช้อาวุธ ท่านยังสนับสนุนให้แยกขัง หรือไม่ มิฉะนั้น คอป. ก็ต้องกลายเป็นเหมือนกับว่า ยอมรับ หรือสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาล และจะทำให้ คอป. ถูกดึงเข้ามาสู่ความขัดแย้ง
" อยากให้คอป.อยู่ในสถานะที่ทุกฝ่ายยอมรับและสนับสนุนให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ คอป.เสนอมาผมเห็นว่ามีหลักการ และเหตุผลแต่ผมอาจจะไม่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ก็อยู่ในข่ายที่ยอมรับได้ ตอนนี้ที่สุ่มเสี่ยงคือ การถูกแปลงสารไปใช้ผลประโยชน์เพื่อฝ่ายการเมือง ดังนั้นคอป. ก็ต้องระมัดระวัง" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์อ้างว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูตัวบุคคล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าจะเป็นกลไก หลักเกณฑ์อะไร แต่ถ้ามีการเลือกปฏิบัติ เราก็คงจะตรวจสอบ และมีการรับผิดชอบกัน เพราะถ้าไม่มีอำนาจตามกฎหมายเขาก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่คงจะต้องดูว่า อ้างระเบียบอะไร
อย่าไรก็ตาม เห็นว่าควรจะมีการเปิดเผยรายชื่อนักโทษที่มีการแยกขังให้สาธารณชนรับรู้ เพราะเราจะได้รู้ว่ามีการเลือกปฏิบัติหรือไม่
จากนั้น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวในที่ประชุม กล่าวถึงแนวทางปรองดองว่า การศึกษาโดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และการทำงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ( กมธ.ปรองดอง ) มีความรู้สึกว่า อาจจะไม่สำเร็จ เพราะคอป.ได้นำเสนอแนวทางที่มีความหลากหลายมากเกินไป
ส่วนของ กมธ.ปรองดองของสภานั้น มีการศึกษาที่แคบเกินไป แม้จะมีการเชิญคู่ขัดแย้งเข้ามา แต่ก็ไม่ทราบว่า คู่กรณีเป็นใคร หากเป็นพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าไม่มีทางที่จะนำไปสู่ความปรองดองได้
ดังนั้น การจะสร้างความปรองดองในส่วนของ กมธ.ปรองดอง ต้องพูดด้วยหัวใจ ไม่ใช่พูดด้วยหลักการและเหตุผล หากยึดแค่หลักการ และเหตุผลจะไม่สามารถทำความปรองดองสำเร็จได้ และที่สำคัญการจะสร้างความปรองดองโดยไม่รับฟังเสียงของประชาชน เป็นสิ่งที่ตนมีความเป็นห่วงว่าจะทำให้การทำงานเสียเวลา ไม่มีใครยอมรับ เพราะมีแค่ ส.ส.คอยเสนอแนวทางจากทางสภา เท่ากับว่าเป็นข้อเสนอที่เป็นเผด็จการ เมื่อนำออกไปใช้ประชาชนก็จะรู้สึกว่าถูกบังคับ
ดังนั้นหากจะทำให้เกิดความปรองดองที่แท้จริงได้ต้องให้ประชาชนและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
"ตอนนี้มีการพูดถึงเรื่องนิรโทษกรรมกันมาก กมธ.ก็พูดกันมาก ทั้งที่ กมธ.ปรองดอง ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่กลับพูดตั้งแต่เริ่มทำงาน ผมในฐานะที่เคยเป็นนักโทษและได้รับพระราชทานอภัยโทษมองว่า ประเด็นนิรโทษกรรมต้องใช้อย่างเหมาะสม ถูกที่และถูกเวลา ซึ่งในแนวทางปรองดองการนิรโทษกรรม ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะนำมาพูดกัน แต่ตอนนี้ต้องมาพูดในข้อเสนอว่า จะทำให้การไม่เกิดสี ไม่แบ่งแยก และมีความเข้าใจที่เป็นแนวทางเดียวกันได้อย่างไร ซึ่งการศึกษาเรื่องความปรองดองต่าง ๆ ผมไม่ขัดขวาง แต่อยากฝากให้คณะกรรมการที่ทำรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย" พล.ต.สนั่น กล่าว
พล.ต.สนั่น กล่าวอีกว่า ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา เตรียมที่จะเดินหน้าสานต่อในแนวทางของพรรค ด้วยการเดินสายพบปะ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ก่อนที่จะนำมาประมวลผลกำหนดเป็นแนวนโยบาย และนำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อประชาชนทั่วประเทศ ดังนั้นขอให้สมาชิกพรรคช่วยสานต่อแนวคิดดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม อยากให้รุ่นน้องการเมือง ศึกษานักการเมืองรุ่นเก่า เช่น นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ ที่ให้อภัยทุกคน เมื่อเข้าสู่วงการการเมืองแล้วก็จะโดนมะรุมมะตุ้ม ซึ่งนายบรรหาร โดนมาเยอะ อยู่ที่ว่าเราจะให้อภัยกันอย่างไร เพราะฉนั้นประเด็นการสร้างความปรองดอง หากยังมีความแค้นกันอยู่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อเข้ามาเป็นเสนาบดี ก็จะต้องมีการแก้แค้นกันไม่จบสิ้น หากไปฆ่าคน 1-2 คน ก็จะมีคดีติดตัว
** อย่าเลือกปฏิบัตินักโทษคุกวีไอพี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณี นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ให้ความเห็นว่า ดีใจที่รัฐบาลจะปฏิบัติเติมที่เสนอในการแยกขังนักโทษคดีการเมือง แต่จะไม่เข้าไปดูรายชื่อนักโทษที่แยกขังว่าเป็นใครบ้างว่า ท่านคงไม่มีหน้าที่ในการไปดูรายชื่อ แต่ท่านจะต้องพูดให้ชัดว่า หลักเกณฑ์ คืออะไร ตนเห็นท่านให้สัมภาษณ์คดีที่เกี่ยวข้องกับการไปใช้อาวุธมันไม่ใช่ เมื่อมันไม่ใช่ตนคิดว่า ท่านก็จะต้องแสดงจุดยืน ถ้ามีกรณีของคนกระทำความผิดโดยใช้อาวุธ ท่านยังสนับสนุนให้แยกขัง หรือไม่ มิฉะนั้น คอป. ก็ต้องกลายเป็นเหมือนกับว่า ยอมรับ หรือสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาล และจะทำให้ คอป. ถูกดึงเข้ามาสู่ความขัดแย้ง
" อยากให้คอป.อยู่ในสถานะที่ทุกฝ่ายยอมรับและสนับสนุนให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ คอป.เสนอมาผมเห็นว่ามีหลักการ และเหตุผลแต่ผมอาจจะไม่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ก็อยู่ในข่ายที่ยอมรับได้ ตอนนี้ที่สุ่มเสี่ยงคือ การถูกแปลงสารไปใช้ผลประโยชน์เพื่อฝ่ายการเมือง ดังนั้นคอป. ก็ต้องระมัดระวัง" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์อ้างว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูตัวบุคคล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าจะเป็นกลไก หลักเกณฑ์อะไร แต่ถ้ามีการเลือกปฏิบัติ เราก็คงจะตรวจสอบ และมีการรับผิดชอบกัน เพราะถ้าไม่มีอำนาจตามกฎหมายเขาก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่คงจะต้องดูว่า อ้างระเบียบอะไร
อย่าไรก็ตาม เห็นว่าควรจะมีการเปิดเผยรายชื่อนักโทษที่มีการแยกขังให้สาธารณชนรับรู้ เพราะเราจะได้รู้ว่ามีการเลือกปฏิบัติหรือไม่
