xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาของเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมพานักศึกษาปริญญาเอกไปสัมภาษณ์คุณสนธิ ในการคุยกับคุณสนธิบอกว่า เมืองไทยจะดีขึ้นได้ ก็ต้องจัดการสองเรื่อง ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ให้ได้เสียก่อน

เรื่องหนึ่งคือ ต้องให้การขายสลากกินแบ่งตามราคา

อีกเรื่องหนึ่งคือ ให้รถเมล์จอดตรงป้าย

ฟังดูเผินๆ ก็เหมือนกับเรื่องธรรมดาๆ แต่แก้ยากเรื่องสลากเป็นเรื่องผลประโยชน์ เงินที่ได้จากการขายสลากเกินราคา กองสลากก็ไม่ได้ แต่เอาไปรวมกันแล้วจ่ายให้ผู้มีอำนาจในการแบ่งโควตาสลาก

ส่วนเรื่องรถเมล์จอดตรงป้ายนั้น เป็นเรื่องวินัยที่ไม่เกี่ยวกับคนขับรถเมล์โดยลำพังเพียงผู้เดียว แต่เกี่ยวกับผู้ใช้รถใช้ถนน คนอื่นๆ ด้วยที่จะไม่เอารถไปจอดตรงป้ายรถเมล์

เมืองไทยเวลานี้ดูจะมืดมนไปหมด อย่างน้ำท่วมยังไม่ทันที่รัฐบาลคิดจะช่วยคนก็รีบออกมาประกาศว่า จะใช้เงิน 9 แสนล้าน ต่อมาก็มีเรื่องโกงกินสารพัด โดยการซื้อถุงยังชีพซึ่งได้ข่าวว่ามีคนได้เงินไปแยะมาก

เวลานี้ก็เริ่มทะเลาะกันเรื่องงบประมาณช่วยเหลือหลังน้ำท่วม สรุปก็คืองบประมาณเป็นบ่อเกิดของการแสวงหาผลประโยชน์ และการที่ทุกอย่างมารวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ ก็ทำให้การจัดการงบประมาณเป็นไปโดยผู้มีอำนาจส่วนกลางสามารถควบคุมการแจกจ่ายทรัพยากรได้

นี่เป็นเหตุให้ผมพูดมาหลายครั้งว่า วิธีแก้ก็คือการให้งบประมาณเกิดจากการตั้งงบประมาณจากพื้นที่ นั่นคือจากจังหวัด แต่งบประมาณของเราตั้งจากกรม แล้วกรมเอาเงินนั้นลงไปทำที่จังหวัด

เป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันกัน เป็นนักการเมืองที่จะมีอำนาจในการควบคุมงบประมาณ การกระจายอำนาจที่พูดๆ กันก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่มีการกระจายเม็ดเงินลงไปด้วย กิจกรรมทางเศรษฐกิจ การซื้อขายการผลิตสินค้า และบริการจึงกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ มีบริษัทรับเหมาใหญ่ๆ 4-5 บริษัทวนเวียนกันรับงาน จนปรากฏว่าอดีตปลัดกระทรวงคมนาคมมีเงินเก็บไว้ที่บ้านเป็นกล่องๆ

การกระจายงบประมาณลงไปที่จังหวัดนั้น หมายความว่าจะต้องให้จังหวัดเป็นหน่วยตั้งงบประมาณ หากเป็นเช่นนี้ กรมต่างๆ ก็จะไม่มีงบประมาณเป็นพันล้านหมื่นล้าน แต่จะกระจายลงไปอยู่ที่จังหวัดต่างๆ และในเมื่อแต่ละจังหวัดมีสภาพทางเศรษฐกิจสังคมต่างกัน ก็ควรจะให้โอกาสจังหวัดที่ยากจนได้งบประมาณไปแก้ไขความยากจนด้วย จังหวัดก็จะมีโครงการอย่างแท้จริง แทนที่จะมีแต่โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้งบประมาณไปมากนัก

การที่นักการเมืองแข่งขันกันมาก ใช้เงินมากก็เพราะมีโอกาสเข้ามาถอนทุนจากงบประมาณมาก จึงมีข่าวซุบซิบว่ามีนักการเมืองจากภาคอีสานคนหนึ่ง หอบเงินมาให้ผู้มีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตาย ผลการเลือกตั้งเป็นเงินถึงหนึ่งพันล้านบาท และมีผู้สงสัยว่าเหตุใดการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จึงมีการแจกใบแดงน้อยมาก หากเป็นจริงก็เป็นเรื่องน่าละอาย และอัปยศอดสูมาก

การจะแก้ปัญหาเรื่องนักการเมืองกับการคอร์รัปชันทำได้ยาก จึงมีคนเริ่มพูดกันว่า ถ้าเช่นนั้นเราควรจะหาระบบอื่นนอกเหนือไปจากการเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว จะดีหรือไม่ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้มีการเลือกตั้งเสียเลย แต่นอกจากจะมีการเลือกตั้งแล้ว ก็ให้มีวิธีการอื่น จะคัดเลือกด้วยวิธีการใดก็ได้ และควรให้โอกาสผู้คนจากหลายวงการเข้าไปอยู่ในกระบวนการนี้

เวลานี้เริ่มมีการพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก และก็ประเด็นเข้ามาพร้อมๆ กับการจะเสนอให้มีการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่องนี้ก็สะท้อนว่าเงินเป็นใหญ่ และมีความสำคัญมาก

นอกเหนือไปจากนี้ ก็เป็นที่น่าสังเกตว่ามีขบวนการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเว็บประเภทหมิ่นสถาบันถึงหมื่นแห่ง และก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ ในต่างจังหวัดบางแห่งถึงกับมีการจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน และมีคนพูดกันว่า เขาอยากแบ่งประเทศไทยออกเป็นส่วนๆ จากปทุมธานีจรดเหนือและอีสานเป็นของทักษิณ ภาคใต้สุดก็ให้ขบวนการแยกดินแดนไป เหลือกรุงเทพฯ ไว้ให้พวกจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

หากเป็นอย่างนั้นได้ ผมก็ว่าดีเหมือนกัน เวลานี้นับว่าขบวนการนี้ก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้น ผมได้ดูและอ่านข้อเขียนของคอลัมนิสต์บางคนแล้ว ก็อยากจะอ้วกแตกเพราะทั้งอุจาด และไร้รสนิยมจริงๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น