“ชูวิทย์” แฉ “เอไลน่า อาบอบนวด” ที่เคยถูกแฉมาเมื่อ 7 ปีที่แล้ว จนไม่สามารถเปิดได้ ได้เปิดให้บริการแล้ววันนี้เป็นวันแรก แต่ระหว่างแถลงข่าว “โกลัก” เจ้าของเอไลน่าโผล่มาแฉมั่ง เล่นเอา “เฮียชู” ต้องเผ่นหนี
วันนี้ (6 ธ.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น.ที่บริเวณหน้าโรงเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ถ.รัชดาภิเษก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.ระบบบัญชื่อรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวคัดค้านการเปิดสถานอาบอบนวด เอไลน่า ที่จะมีการเปิดให้บริการในวันนี้เป็นวันแรกหลังจากปิดให้บริการไป 6 ปี หลังจาก นายชูวิทย์ ได้ออกมาคัดค้านก่อนหน้านี้ เพราะเห็นว่าเป็นการเปิดสถานที่อโคจรใกล้สถานศึกษา พร้อมนำข่าวที่ตัดเก็บไว้ และตะกร้าที่ใช้ในการให้บริการ มาแสดง
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตอนที่ได้ออกมาแฉเรื่องบ่อน จนเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับเปลี่ยน ผบ.ตร.จาก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี มาเป็น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็กลับถูกโจมตีว่ารับงานมาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ตอนนี้ จึงขอมาทำหน้าที่ ส.ส.ด้วยการออกมาคัดค้านการเปิดให้บริการของสถานอาบอบนวด เอไลน่า ที่เคยถูกปิดไป เพราะได้ออกมาแฉเมื่อ 6 ปีก่อน แต่ตอนนี้ กลับมาเปิดให้บริการอีกทั้งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ใกล้กับสถานศึกษา ซึ่งถือว่าไม่มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
“สถานบริการแห่งนี้ถูกปิดไปกว่า 7 ปี แล้ว แต่กลับมาเปิดได้อีกครั้ง เพราะมีนายตำรวจ ยศพลตำรวจโท ชื่อย่อ จ.ที่อยู่ในนครบาล เป็นคนเซ็นชื่อให้สามารถเปิดบริการได้ ก่อนที่จะถูกโยกย้ายไป แต่ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลนี้ ที่ระบุว่า จะบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามแหล่งอบายมุข กลับปล่อยให้มีสถานบริการในลักษณะนี้เปิดอยู่เต็มไปหมด เห็นรึยังว่าวันนี้ผมมาทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้สังคม หากปิดสถานบริการเหล่านี้ไม่ได้ ก็ควรย้ายโรงเรียนออกไปจากพื้นที่ให้หมด เพราะผู้ที่มีอำนาจอย่างรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ ยังไม่ทำอะไร” นายชูวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ยังเดินเข้าไปสอบถามนักเรียนชายกลุ่มหนึ่ง ถึงการเปิดสถานบริการดังกล่าว ซึ่งก็ได้รับคำตอบไม่เห็นด้วย เพราะอยู่ใกล้เพียงแค่เดินข้ามสะพานลอยก็ถึงแล้ว อยากฝากถึงรัฐบาลให้ดำเนินการ เพราะสถานบริการเปิดใกล้สถานศึกษา จากนั้น นายชูวิทย์ ได้พานักเรียนกลุ่มดังกล่าวไปชี้ตัวอาคาร และป้ายเปิดรับสมัครหญิงสาวหน้าตาดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ นายชูวิทย์ นั่งแถลงข่าวอีกครั้งที่บริเวณป้ายรถเมล์หน้าสถานบริการเอไลน่า ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อ นายประเสริฐ สุขขี หรือ โกลัก เจ้าของสถานบริการเอไลน่า ได้เดินแหวกกลุ่มสื่อมวลชนเข้ามาต่อว่านายชูวิทย์ จน นายชูวิทย์ ถึงกับอึ้ง และยอมให้ นายประเสริฐ ออกมาตอบโต้ โดยกล่าวเพียงว่า ขอให้ นายประเสริฐ พูดกับสื่อมวลชน ซึ่งสื่อจะเป็นคนตัดสินเอง จากนั้น นายชูวิทย์ และคณะก็เดินทางกลับทันที ท่ามกลางเสียงตะโกนของนายประเสริฐ ว่า “ชูวิทย์ ถ้าแน่จริงมาเลย อย่าหนี” พร้อมทั้งแฉเมื่อครั้ง นายชูวิทย์ เปิดอาบอบนวดฮอนโนลูลู นั้น ได้ยืมประตูวัดเป็นทางเข้าด้วย
ด้าน นายประเสริฐ ได้ออกมากล่าวตอบโต้นายชูวิทย์ ว่า การที่นายชูวิทย์ออกมาต่อต้านสถานบริการของตน เพราะต้องการสร้างกระแสให้กับตนเอง อยากถาม นายชูวิทย์ ว่า ที่บอกว่าขายสถานบริการของตนเองไปแล้วนั้นจริงหรือไม่ ถ้าแน่จริงก็เอาใบเสียภาษีมาแสดง ไม่ใช่มาตีคนอื่น เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อตัวเอง
“ผมต่อสู้เรื่องนี้มาเป็นเวลาร่วม 7 ปี ในการยื่นเรื่องเปิดสถานบริการแห่งนี้ต่อศาลปกครอง และศาลแพ่ง จนศาลมีคำพิพากษาให้สามารถเปิดบริการได้ เนื่องจากอยู่ห่างสถานศึกษาเกินกว่า 150 เมตร ผมจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนในการยื่นเรื่อง เพื่อให้ทางตำรวจเซ็นคำสั่งอนุญาตให้เปิดสถานบริการ แต่ตอนนั้นที่ต้องปิดไป เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าของที่คัดค้าน เพราะทนกระแสสังคมหลังจากนายชูวิทย์ออกมาแฉไม่ไหว แต่ตอนนี้ผมมีคุณสมบัติแล้วจึงกลับมาเปิดอีก หลังจากได้รับความเสียหายมานาน ส่วนเรื่องฟ้องกลับนายชูวิทย์ที่ออกมาแฉในครั้งนี้อีกหรือไม่นั้น คงต้องปรึกษาทนายก่อน” นายประเสริฐ กล่าว
วันนี้ (6 ธ.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น.ที่บริเวณหน้าโรงเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ถ.รัชดาภิเษก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.ระบบบัญชื่อรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวคัดค้านการเปิดสถานอาบอบนวด เอไลน่า ที่จะมีการเปิดให้บริการในวันนี้เป็นวันแรกหลังจากปิดให้บริการไป 6 ปี หลังจาก นายชูวิทย์ ได้ออกมาคัดค้านก่อนหน้านี้ เพราะเห็นว่าเป็นการเปิดสถานที่อโคจรใกล้สถานศึกษา พร้อมนำข่าวที่ตัดเก็บไว้ และตะกร้าที่ใช้ในการให้บริการ มาแสดง
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตอนที่ได้ออกมาแฉเรื่องบ่อน จนเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับเปลี่ยน ผบ.ตร.จาก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี มาเป็น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็กลับถูกโจมตีว่ารับงานมาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ตอนนี้ จึงขอมาทำหน้าที่ ส.ส.ด้วยการออกมาคัดค้านการเปิดให้บริการของสถานอาบอบนวด เอไลน่า ที่เคยถูกปิดไป เพราะได้ออกมาแฉเมื่อ 6 ปีก่อน แต่ตอนนี้ กลับมาเปิดให้บริการอีกทั้งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ใกล้กับสถานศึกษา ซึ่งถือว่าไม่มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
“สถานบริการแห่งนี้ถูกปิดไปกว่า 7 ปี แล้ว แต่กลับมาเปิดได้อีกครั้ง เพราะมีนายตำรวจ ยศพลตำรวจโท ชื่อย่อ จ.ที่อยู่ในนครบาล เป็นคนเซ็นชื่อให้สามารถเปิดบริการได้ ก่อนที่จะถูกโยกย้ายไป แต่ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลนี้ ที่ระบุว่า จะบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามแหล่งอบายมุข กลับปล่อยให้มีสถานบริการในลักษณะนี้เปิดอยู่เต็มไปหมด เห็นรึยังว่าวันนี้ผมมาทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้สังคม หากปิดสถานบริการเหล่านี้ไม่ได้ ก็ควรย้ายโรงเรียนออกไปจากพื้นที่ให้หมด เพราะผู้ที่มีอำนาจอย่างรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ ยังไม่ทำอะไร” นายชูวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ยังเดินเข้าไปสอบถามนักเรียนชายกลุ่มหนึ่ง ถึงการเปิดสถานบริการดังกล่าว ซึ่งก็ได้รับคำตอบไม่เห็นด้วย เพราะอยู่ใกล้เพียงแค่เดินข้ามสะพานลอยก็ถึงแล้ว อยากฝากถึงรัฐบาลให้ดำเนินการ เพราะสถานบริการเปิดใกล้สถานศึกษา จากนั้น นายชูวิทย์ ได้พานักเรียนกลุ่มดังกล่าวไปชี้ตัวอาคาร และป้ายเปิดรับสมัครหญิงสาวหน้าตาดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ นายชูวิทย์ นั่งแถลงข่าวอีกครั้งที่บริเวณป้ายรถเมล์หน้าสถานบริการเอไลน่า ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อ นายประเสริฐ สุขขี หรือ โกลัก เจ้าของสถานบริการเอไลน่า ได้เดินแหวกกลุ่มสื่อมวลชนเข้ามาต่อว่านายชูวิทย์ จน นายชูวิทย์ ถึงกับอึ้ง และยอมให้ นายประเสริฐ ออกมาตอบโต้ โดยกล่าวเพียงว่า ขอให้ นายประเสริฐ พูดกับสื่อมวลชน ซึ่งสื่อจะเป็นคนตัดสินเอง จากนั้น นายชูวิทย์ และคณะก็เดินทางกลับทันที ท่ามกลางเสียงตะโกนของนายประเสริฐ ว่า “ชูวิทย์ ถ้าแน่จริงมาเลย อย่าหนี” พร้อมทั้งแฉเมื่อครั้ง นายชูวิทย์ เปิดอาบอบนวดฮอนโนลูลู นั้น ได้ยืมประตูวัดเป็นทางเข้าด้วย
ด้าน นายประเสริฐ ได้ออกมากล่าวตอบโต้นายชูวิทย์ ว่า การที่นายชูวิทย์ออกมาต่อต้านสถานบริการของตน เพราะต้องการสร้างกระแสให้กับตนเอง อยากถาม นายชูวิทย์ ว่า ที่บอกว่าขายสถานบริการของตนเองไปแล้วนั้นจริงหรือไม่ ถ้าแน่จริงก็เอาใบเสียภาษีมาแสดง ไม่ใช่มาตีคนอื่น เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อตัวเอง
“ผมต่อสู้เรื่องนี้มาเป็นเวลาร่วม 7 ปี ในการยื่นเรื่องเปิดสถานบริการแห่งนี้ต่อศาลปกครอง และศาลแพ่ง จนศาลมีคำพิพากษาให้สามารถเปิดบริการได้ เนื่องจากอยู่ห่างสถานศึกษาเกินกว่า 150 เมตร ผมจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนในการยื่นเรื่อง เพื่อให้ทางตำรวจเซ็นคำสั่งอนุญาตให้เปิดสถานบริการ แต่ตอนนั้นที่ต้องปิดไป เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าของที่คัดค้าน เพราะทนกระแสสังคมหลังจากนายชูวิทย์ออกมาแฉไม่ไหว แต่ตอนนี้ผมมีคุณสมบัติแล้วจึงกลับมาเปิดอีก หลังจากได้รับความเสียหายมานาน ส่วนเรื่องฟ้องกลับนายชูวิทย์ที่ออกมาแฉในครั้งนี้อีกหรือไม่นั้น คงต้องปรึกษาทนายก่อน” นายประเสริฐ กล่าว
