ASTVผู้จัดการรายวัน -"รองฯ เกริก” แจงแบงก์ไม่ลดดอกเบี้ยตาม กนง.เพราะความจำเป็นด้านสภาพคล่องแต่ละแบงก์ต่างกัน ขณะที่ แผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดเริ่มออกใช้ไตรมาสแรกของปี 55 แย้มนอกจากจะผ่อนเกณฑ์ให้คนไทยไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ล่าช้ากว่าสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.25%ต่อปี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ผ่านมา ในความเห็นส่วนตัวมองว่าบทบาทการทำหน้าที่ของกนง.เป็นการดูทิศทางภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในแง่ของสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งเป็นสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูระยะยาวอีกหน่อย
“เรื่องภาวะเศรษฐกิจในมุมมองนายแบงก์ส่วนใหญ่ก็คิดไม่ต่างกับ กนง.ซึ่งเห็นว่าทิศทางเศรษฐกิจเดินไปทางไหนมากกว่า และก็ไม่ใช่หมายความว่าถ้าดอกเบี้ยนโยบายลดมาก แบงก์ถึงจะลด หรือในอีกกรณีอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดน้อย ทำให้แบงก์ไม่ค่อยลดกัน ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ แต่ละแบงก์จะมีความจำเป็นแตกต่างกันไป และเห็นว่าแม้จะแผนการใช้จ่ายมากทั้งจากโครงการของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปในการปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นแนวโน้มสภาพคล่องในระบบค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่าไม่มีประเด็นสภาพคล่องในระบบตึงตัว”
นางสุชาดา กิระกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่ได้ล้มเลิกแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ แม้ความไม่แน่นอนภาวะเศรษฐกิจโลกจะมีมากขึ้น แต่ยอมรับว่าต้องมีการศึกษาหลายๆ เรื่องให้รอบคอบมากขึ้น โดยขณะนี้แผนดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการนำออกมาใช้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปีหรือไม่เกินช่วงไตรมาสแรกของปี 55
“เดิมที ธปท.วางกรอบเวลาให้แผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศจะออกได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่ปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะวิกฤตยุโรปยังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ประกอบกับในช่วงปลายปี ส่วนใหญ่นักลงทุนยังไม่ดำเนินการอะไรมากนัก จึงควรนิ่งๆ ไว้ก่อนและตอนนี้ทุกคนต่างวุ่นวายเรื่องน้ำท่วมอยู่ ฉะนั้นแผนแม่บทฉบับนี้จะเป็นแผนระยะยาวประมาณ 2-3 ปี จึงสามารถทยอยออกมาเป็นระยะๆได้”
ทั้งนี้ แผนเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศต้องการให้เงินทุนไหลเข้าออกมีความสมดุลมากขึ้น นอกจากการผ่อนคลายให้คนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นแล้ว ธปท.จะพยายามผ่อนคลายหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่มองว่าจะเป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติเช่นกัน ซึ่งธปท.จะพิจารณาว่าปัจจัยแวดล้อมในแต่ละช่วง เพื่อพิจารณาว่า เรื่องใดที่สามารถผ่อนคลายได้ก่อนก็จะดำเนินการไปก่อนได้.
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ล่าช้ากว่าสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.25%ต่อปี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ผ่านมา ในความเห็นส่วนตัวมองว่าบทบาทการทำหน้าที่ของกนง.เป็นการดูทิศทางภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในแง่ของสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งเป็นสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูระยะยาวอีกหน่อย
“เรื่องภาวะเศรษฐกิจในมุมมองนายแบงก์ส่วนใหญ่ก็คิดไม่ต่างกับ กนง.ซึ่งเห็นว่าทิศทางเศรษฐกิจเดินไปทางไหนมากกว่า และก็ไม่ใช่หมายความว่าถ้าดอกเบี้ยนโยบายลดมาก แบงก์ถึงจะลด หรือในอีกกรณีอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดน้อย ทำให้แบงก์ไม่ค่อยลดกัน ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ แต่ละแบงก์จะมีความจำเป็นแตกต่างกันไป และเห็นว่าแม้จะแผนการใช้จ่ายมากทั้งจากโครงการของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปในการปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นแนวโน้มสภาพคล่องในระบบค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่าไม่มีประเด็นสภาพคล่องในระบบตึงตัว”
นางสุชาดา กิระกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่ได้ล้มเลิกแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ แม้ความไม่แน่นอนภาวะเศรษฐกิจโลกจะมีมากขึ้น แต่ยอมรับว่าต้องมีการศึกษาหลายๆ เรื่องให้รอบคอบมากขึ้น โดยขณะนี้แผนดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการนำออกมาใช้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปีหรือไม่เกินช่วงไตรมาสแรกของปี 55
“เดิมที ธปท.วางกรอบเวลาให้แผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศจะออกได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่ปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะวิกฤตยุโรปยังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ประกอบกับในช่วงปลายปี ส่วนใหญ่นักลงทุนยังไม่ดำเนินการอะไรมากนัก จึงควรนิ่งๆ ไว้ก่อนและตอนนี้ทุกคนต่างวุ่นวายเรื่องน้ำท่วมอยู่ ฉะนั้นแผนแม่บทฉบับนี้จะเป็นแผนระยะยาวประมาณ 2-3 ปี จึงสามารถทยอยออกมาเป็นระยะๆได้”
ทั้งนี้ แผนเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศต้องการให้เงินทุนไหลเข้าออกมีความสมดุลมากขึ้น นอกจากการผ่อนคลายให้คนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นแล้ว ธปท.จะพยายามผ่อนคลายหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่มองว่าจะเป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติเช่นกัน ซึ่งธปท.จะพิจารณาว่าปัจจัยแวดล้อมในแต่ละช่วง เพื่อพิจารณาว่า เรื่องใดที่สามารถผ่อนคลายได้ก่อนก็จะดำเนินการไปก่อนได้.
