ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ผ่านพ้นไปตามขั้นตอนพิธีกรรมประกอบการดำเนินงานของรัฐสภา โดยไม่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ตามมาทั้งสิ้น
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ผู้ถูกอภิปรายด้วยข้อหาบริหารงานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.)ล้มเหลวและกระทำผิดกฎหมายด้วยการแต่งตั้ง ส.ส.เป็นกรรมการรับของบริจาค รวมทั้งกรณีมุบมิบเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)พระราชทานอภัยโทษเพื่อช่วยเหลือนักโทษหนีคดีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนไว้วางใจ 273 ต่อ 188 ตามสูตรจำนวน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่มีมากกว่าฝ่ายค้าน ทั้งที่ การชี้แจงของ พล.ต.อ.ประชานั้น หากว่ากันตามสายตากรรมการต้องบอกว่าสอบตกและหมดสภาพไม่สมกับที่เคยมีคนให้ฉายาว่า “อินทรีอีสาน”
ในการตอบคำถามของฝ่ายค้าน เห็นได้ว่า พล.ต.อ.ประชาพยายามเบี่ยงประเด็น ตอบไม่ตรงคำถาม เมื่อฝ่ายค้านบอกว่า การที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ลงนามแต่งตั้ง ส.ส.เป็นกรรมการรับของบริจาค ใน ศปภ.ซึ่งเข้าข่ายให้ฝ่ายนิติบัญญัติไปก้าวก่ายงานด้านบริหาร เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และทำให้การกระจายของบริจาคไปให้ผู้ประสบอุทกภัยเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ พล.ต.อ.ประชาก็แถไปว่า ศปภ.ไม่ใช่หน่วยงานราชการ และการที่ ส.ส.เข้ามาจัดการเรื่องของบริจาค ก็เพื่อมาช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ถึงจะโดนยื่นถอดถอนก็ยอม แต่อีกด้านหนึ่ง พล.ต.อ.ประชาก็ยอมรับว่า ได้เซ็นแต่งตั้ง ส.ส.เป็นกรรมการรับของบริจาคโดยไม่ได้ดูรายละเอียดก่อน เพราะมีงานมาก แต่ก็ได้เซ็นยกเลิกในภายหลังแล้ว ซึ่งเท่ากับว่า พล.ต.อ.ประชายอมรับว่า ได้กระทำผิดไปแล้ว เป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านนำไปยื่นถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งพร้อมกับ ส.ส.ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการต่อไป
ส่วนกรณีการติดชื่อนักการเมืองบนของบริจาค ทั้งรัฐมนตรี ส.ส. ไม่เว้นแม้กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศก็ยังอยากได้หน้า ให้ลูกน้องติดชื่อตัวเองบนของบริจาค หรือแม้กระทั่งทำป้ายผ้าติดบนรถขนของบริจาคที่ประชาชนทั่วไปนำมาบริจาคให้ ศปภ.ก็ยังกล้าทำ ประเด็นเหล่านี้ก็มี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมาชี้แจงแทน อ้างว่าเป็นสิ่งของที่ซื้อหามาเอง จะติดชื่อเพื่อหาเสียงใครจะทำไม
จะเห็นว่า ตลอดช่วงการอภิปราย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ขอใช้สิทธิพาดพิงและมาช่วย พล.ต.อ.ประชาชี้แจงตอบโต้ฝ่ายค้านนั้น ต่างถือโอกาสหาเสียงเอาดีเข้าตัว สาธยายโอ้อวดว่า ตนเองได้ออกไปช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมอย่างไรบ้าง มากกว่าที่จะชี้แจงข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อข้าวกล่อง หรือการซื้อเต็นท์ราคาแพงเกินจริง
ประเด็นการซื้อถุงยังชีพราคาแพงเกินจริง พล.ต.อ.ประชาอ้างว่า มีการซื้อก่อนที่จะมีการตั้ง ศปภ. และโยนกลับว่ายุครัฐบาลประชาธิปัตย์ซื้อในราคาแพงกว่านี้อีก ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร เรือ หรือส้วม และขู่ว่าจะเอาราคามาเปรียบเทียบให้ดู แต่สุดท้ายจนจบการอภิปราย พล.ต.อ.ประชาชนก็ไม่ได้เอามาเปรียบให้ดู
ที่สะท้อนว่า พล.ต.อ.ประชาทำงานไม่เป็นเอาเสียเลย ก็คือการพยายามเบี่ยงประเด็นเอารูปนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไปแจกถุงยังชีพของกระทรวงพลังงานที่จังหวัดพิษณุโลก มาโชว์ในสภา อ้างว่าผู้นำฝ่ายค้านไม่น่าทำแบบนี้ ซึ่งก็โดนสวนกลับว่า ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เอาไปแจกไม่ได้อ้างชื่อพรรคแต่ได้บอกย้ำกับชาวบ้านว่าเป็นถุงของกระทรวงพลังงานที่พรรคเอามาช่วยแจก แต่ฝ่ายรัฐบาลก็พยายามขยายความให้เป็นประเด็น อ้างว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกถูกบังคับให้นำถุงยังชีพไปให้ ซึ่งประเด็นนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์ทำผิดจริง ก็เป็นคนละกรณีกัน ไม่อาจไปลบล้างสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำผิดได้ การที่ พล.ต.อ.ประชา ยกเอาเรื่องนี้มาพูดในสภา จึงเป็นแค่การเบนความสนใจของสังคมไม่ให้มาจับจ้องที่ตนเองเท่านั้น
สิ่งที่คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง คือการที่ พล.ต.อ.ประชา หยิบยกเอาเรื่องปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มาพูดในสภาอีกครั้ง เพื่อจะโยนความผิดให้รัฐบาลชุดก่อนว่าเก็บกักน้ำไว้ในปริมาณที่มากเกินไป เป็นเหตุให้รัฐบาลชุดนี้ที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศ ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่ประเด็นนี้เคยอภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่ออภิปรายกรณีปัญหาอุทกภัยไปแล้วก่อนหน้านี้ และก็ถูกอภิปรายตีตกไปแล้วด้วยการยอมรับความผิดพลาดของนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลชุดนี้เอง ที่ยอมรับว่า ไม่ได้ระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ทั้งสองแห่งในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2554 เพื่อรอให้การเก็บเกี่ยวข้าวในภาคกลางเสร็จก่อน
ส่วนประเด็นการมุบมิบออก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พล.ต.อ.ประชาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยอ้างว่า ขณะนี้ พ.ร.ฎ.อยู่ระหว่างการเสนอทูลเกล้าฯ จึงไม่ควรนำมาพูดในสภา และขู่ว่าถ้าเรื่องนี้ไประคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทใครจะรับผิดชอบ ทั้งที่หัวหน้าฝ่ายค้านได้ยืนยันแล้วว่า ฝ่ายค้านไม่ได้อภิปรายก้าวล่วงไปถึงพระราชอำนาจ แต่อภิปรายในประเด็นการหมกเม็ดเสนอร่าง พ.ร.ฎ.ของรัฐบาลซึ่งมีข้อสงสัยว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคนหรือไม่ ซึ่งก็มีข้อพิรุธหลายอย่าง อาทิ การนำเรื่องนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุม ครม.เป็นวาระจรและลับ โดยที่นายกฯ ไม่เข้าร่วมประชุม และเมื่อประชุมเสร็จก็ห้ามรัฐมนตรีให้ข่าว จนมีเสียงต่อต้านดังขึ้นเรื่อยๆ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีจดหมายเปิดผนึกแสดงท่าทีออกมา พล.ต.อ.ประชาจึงออกมาแถลงข่าวตามหลัง
ทั้งหมดนี้ เห็นได้ว่า พล.ต.อ.ประชา ไม่สามารถตอบข้อสงสัยใดๆ ได้เลย สิ่งใหม่ที่เห็นจากการอภิปรายครั้งนี้ มีแค่ลีลาการอภิปรายของ พล.ต.อ.ประชา ที่ต่างไปจากการให้สัมภาษณ์นอกสภา ซึ่งมีท่าทีนุ่มนิ่มประนีประนอม แต่การตอบโต้ฝ่ายค้านในสภาครั้งนี้ มีลักษณะเล่นลิ้นตลบตะแลง ประชดประชันเสียดสี ลูกล่อลูกชน เพราะมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี คอยบอกบทอยู่ข้างๆ
หลังจบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซากความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังปรากฏอยู่ แต่รัฐบาลได้พยายามสร้างภาพว่า ปัญหาน้ำท่วมได้จบลงไปแล้ว นายกรัฐมนตรีไม่ไปร่วมประชุมหารือเรื่องน้ำท่วมอีก ทั้งที่ในข้อเท็จจริง ในบางพื้นที่ของ กทม.และปริมณฑลยังโดนน้ำท่วมอยู่ บางพื้นที่ประชาชนยังทะเลาะกันเรื่องการเปิดปิดประตูระบายน้ำ ขณะที่ ศปภ.พยายามลอยตัว ปล่อยให้คนในพื้นที่จัดการปัญหากันเอาเอง
ขณะเดียวกัน คนในรัฐบาลก็พยายามสร้างประเด็นใหม่ๆ ขึ้นมากลบเกลื่อนความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิมที่พยายามเบี่ยงกระแสให้ไปสนใจที่ประเด็นการปล้นเงินนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมุ่งไปที่การทุจริตโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ประมูลในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็ไม่พูดถึงช่วงก่อนหน้านั้นที่นายสุพจน์เคยทำงานให้นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมที่เคยเจริญก้าวหน้าในในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกฯ
ส่วนนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงานก็ขยายความกรณีพรรคประชาธิปัตย์นำถุงยังชีพของกระทรวงไปแจก โดยอ้างว่ามีจดหมายจากผู้ว่าฯ พิษณุโลกที่แสดงความอีดอัดในเรื่องนี้ พร้อมเตรียมจะเอาผิดพรรคประชาธิปัตย์ฐานแทรกแซงก้าวก่ายการบริหารงานของข้าราชการประจำ
ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ก็พยายามประโคมข่าวการนำคดีคนเสื้อแดงตายระหว่างชุมนุมไปฟ้องศาลโลก
ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเองก็ท้องเสีย 2 ครั้งซ้อนในรอบ 3 วัน จนกลายเป็นข่าวคึกโครม กลบกระแสความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้หายไปเลย