คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา พูดถึงสตรีชาวเคนยาชื่อ วันการี มาไท ผู้เติบโตขึ้นท่ามกลางความยากไร้แต่ใส่ใจในด้านการศึกษาและผันตัวเองมาเป็นนักเคลื่อนไหวโดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2547 วันการี มาไท เสียชีวิตตอนอายุ 71 เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา นับว่าเป็นหนึ่งในวณิพกผู้มั่งมีซึ่งควรเป็นคดีศึกษา ความมั่งมีของวันการี มาไท มิใช่เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง หากได้แก่มันสมองอันปราดเปรื่อง อุดมการณ์อันแน่วแน่ที่จะต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของชาวเคนยา ความสามารถในการบริหารจัดการ ความกล้าหาญในการที่จะทำตามความถูกต้องและความอดทนเป็นเลิศ
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา (ขอย้ำว่ามิใช่ “พฤศจิกาคม” ตามที่นายกรัฐมนตรีเปล่งออกมาอย่างน่าอับอายเมื่อไม่นานมานี้) โลกได้สูญเสียวณิพกผู้มั่งมีด้วยอายุ 92 ปีอีกคนหนึ่งซึ่งมีชื่อในตอนเกิดว่า “ดอรอธี ฮาวล์” ดอรอธีเกิดในครอบครัวชาวอเมริกันยากจนซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของคนอื่นในนครชิคาโก พ่อแม่ของเธอทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลาและหย่ากันเมื่อเธออายุได้ 8 ขวบ เธอและน้องสาวอายุ 3 ขวบถูกจับใส่รถไฟส่งข้ามประเทศไปอยู่กับปู่และย่าในย่านชานนครลอสแอนเจลิส ปู่และย่าก็ใช่ว่าจะเลี้ยงดูดอรอธีได้ดีกว่าพ่อแม่ซึ่งละเลยและไม่เคยใส่ใจในด้านการศึกษาของลูก เมื่ออายุ 14 ปี ดอรอธีจึงหนีออกจากบ้านเพื่อไปรับงานคนรับใช้ในบ้านของผู้อื่นด้วยค่าจ้างสัปดาห์ละ 3 ดอลลาร์ เธอโชคดีที่นายจ้างสนับสนุนให้เรียนต่อในโรงเรียนมัธยมซึ่งเธอทุ่มเทให้อย่างจริงจัง
หลังเรียนจบชั้นมัธยม ดอรอธีกลับไปหาแม่ที่นครชิคาโก แต่แม่ได้แต่งงานใหม่และไม่ยอมรับเธอกลับเข้าบ้าน เธอจึงออกไปทำงานจำพวกเสมียนและเช่าห้องอยู่เอง ในตอนไปสมัครงาน เธอพบกับหนุ่มใหญ่อายุมากกว่าเธอ 8 ปีชื่อ ฮิว รอดแฮม หลังจากคบหาดูใจกันเป็นเวลา 5 ปี ทั้งสองจึงแต่งงานและมีลูกด้วยกัน 3 คน เป็นลูกสาว 1 คนและลูกชาย 2 คนโดยดอรอธีออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียวเฉกเช่นสตรีอเมริกันในยุคนั้นทำกันเป็นส่วนใหญ่
แม้จะมีสามีที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม แต่ดอรอธีมีความเชื่อมั่นในด้านการสนับสนุนลูกสาวให้ได้รับการศึกษาหลากหลายด้านและให้คิดที่จะออกจากบ้านไปหางานอาชีพสูงๆ ทำแทนการเป็นแม่บ้าน การมองเห็นความสำคัญของการให้ลูกสาวได้รับการศึกษาและมีอาชีพพร้อมกับแนวคิดเป็นของตนเองนั้นมีผลดีเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากลูกสาวของดอรอธีที่ชื่อ “ฮิลลารี” เรียนได้คะแนนเป็นเลิศทั้งที่ไม่ค่อยมีเวลามากนักเนื่องจากเป็นทั้งนักกิจกรรมและหัวหน้านักเรียน ในงานรับปริญญาตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย ฮิลลารีได้รับเชิญให้กล่าวปาฐกถาต่อหน้านักศึกษา ครูบาอาจารย์ พ่อแม่และแขกผู้ใหญ่ ในงานนั้น เธอได้แสดงความกล้าโดยการใช้ปาฐกถาท้าทายผู้ใหญ่ให้คิดออกไปนอกกรอบของสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหา เธอจบปาฐกถาด้วยกลอนอันโด่งดังว่า
ฉันก้าวออกนอกประตูไปสู่โลกไม่เศร้าโศกห่วงใยหรือไร้หวัง
หญิงงมงายชายโฉดจงโปรดฟังคนล้าหลังโลกยุคใหม่ไม่ต้องการ
หลังจบปริญญาตรี ฮิลลารีเข้าเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยเยล ที่นั่นเธอได้พบกับนักเรียนกฎหมายชื่อ บิล คลินตัน และได้แต่งงานกันในเวลาต่อมา หลังเรียนจบกฎหมาย ฮิลลารีอาจเลือกทำงานอะไรก็ได้โดยเฉพาะในด้านการแสวงหาเงิน แต่เธอก็ไม่ทำ เธอเลือกงานด้านการช่วยเหลือเด็กยากไร้ซึ่งทำรายได้เพียงจำกัด เธอเล่าว่าการตัดสินใจทำเช่นนั้นเป็นผลของการเรียนรู้ความยากไร้ในชีวิตของแม่ในวัยชรา ดอรอธีย้ายไปอยู่ใกล้ๆ ลูกสาวและเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยเมื่ออายุเลย 60 ปีไปมากแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตอนดอรอธีเสียชีวิตนั้น ฮิลลารีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันและก่อนนั้นฮิลลารีชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแต่แพ้การแข่งขันลงสมัครเป็นประธานาธิบดี เมื่อไม่นานมานี้ ฮิลลารีมาเยือนเมืองไทยและได้ออกแถลงการณ์พร้อมนายกรัฐมนตรีไทยซึ่งปล่อยไก่เสียหมดเล้าต่อหน้าชาวโลก
ความแตกต่างระหว่างสตรี 2 คนปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัด นั่นคือ ฮิลลารีทำหน้าที่รัฐมนตรีได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเริ่มจากการมีแม่ที่เอาใจใส่ ส่วนนายกรัฐมนตรีไทยมักปล่อยไก่อยู่เสมอเพราะเธอขาดคุณสมบัติสารพัดอย่างทั้งที่เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาลแต่คงขาดการเอาใจใส่ดูแลจากแม่และพ่อโดยเฉพาะในด้านการอบรมให้เป็นคนดีและมียางอาย เธอจึงเป็นหนึ่งในเศรษฐีผู้ยากไร้ที่สังคมไทยยกย่อง มันแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องพื้นฐานที่จะต้องได้รับการแก้ไขก่อนเมืองไทยจะพัฒนาได้สูงกว่าในปัจจุบัน เริ่มด้วยการแสดงความรู้จักอายและลาออกจากตำแหน่งไปของนายกรัฐมนตรีผู้มั่งมีทรัพย์แต่ไร้คุณสมบัติ
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา (ขอย้ำว่ามิใช่ “พฤศจิกาคม” ตามที่นายกรัฐมนตรีเปล่งออกมาอย่างน่าอับอายเมื่อไม่นานมานี้) โลกได้สูญเสียวณิพกผู้มั่งมีด้วยอายุ 92 ปีอีกคนหนึ่งซึ่งมีชื่อในตอนเกิดว่า “ดอรอธี ฮาวล์” ดอรอธีเกิดในครอบครัวชาวอเมริกันยากจนซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของคนอื่นในนครชิคาโก พ่อแม่ของเธอทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลาและหย่ากันเมื่อเธออายุได้ 8 ขวบ เธอและน้องสาวอายุ 3 ขวบถูกจับใส่รถไฟส่งข้ามประเทศไปอยู่กับปู่และย่าในย่านชานนครลอสแอนเจลิส ปู่และย่าก็ใช่ว่าจะเลี้ยงดูดอรอธีได้ดีกว่าพ่อแม่ซึ่งละเลยและไม่เคยใส่ใจในด้านการศึกษาของลูก เมื่ออายุ 14 ปี ดอรอธีจึงหนีออกจากบ้านเพื่อไปรับงานคนรับใช้ในบ้านของผู้อื่นด้วยค่าจ้างสัปดาห์ละ 3 ดอลลาร์ เธอโชคดีที่นายจ้างสนับสนุนให้เรียนต่อในโรงเรียนมัธยมซึ่งเธอทุ่มเทให้อย่างจริงจัง
หลังเรียนจบชั้นมัธยม ดอรอธีกลับไปหาแม่ที่นครชิคาโก แต่แม่ได้แต่งงานใหม่และไม่ยอมรับเธอกลับเข้าบ้าน เธอจึงออกไปทำงานจำพวกเสมียนและเช่าห้องอยู่เอง ในตอนไปสมัครงาน เธอพบกับหนุ่มใหญ่อายุมากกว่าเธอ 8 ปีชื่อ ฮิว รอดแฮม หลังจากคบหาดูใจกันเป็นเวลา 5 ปี ทั้งสองจึงแต่งงานและมีลูกด้วยกัน 3 คน เป็นลูกสาว 1 คนและลูกชาย 2 คนโดยดอรอธีออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียวเฉกเช่นสตรีอเมริกันในยุคนั้นทำกันเป็นส่วนใหญ่
แม้จะมีสามีที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม แต่ดอรอธีมีความเชื่อมั่นในด้านการสนับสนุนลูกสาวให้ได้รับการศึกษาหลากหลายด้านและให้คิดที่จะออกจากบ้านไปหางานอาชีพสูงๆ ทำแทนการเป็นแม่บ้าน การมองเห็นความสำคัญของการให้ลูกสาวได้รับการศึกษาและมีอาชีพพร้อมกับแนวคิดเป็นของตนเองนั้นมีผลดีเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากลูกสาวของดอรอธีที่ชื่อ “ฮิลลารี” เรียนได้คะแนนเป็นเลิศทั้งที่ไม่ค่อยมีเวลามากนักเนื่องจากเป็นทั้งนักกิจกรรมและหัวหน้านักเรียน ในงานรับปริญญาตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย ฮิลลารีได้รับเชิญให้กล่าวปาฐกถาต่อหน้านักศึกษา ครูบาอาจารย์ พ่อแม่และแขกผู้ใหญ่ ในงานนั้น เธอได้แสดงความกล้าโดยการใช้ปาฐกถาท้าทายผู้ใหญ่ให้คิดออกไปนอกกรอบของสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหา เธอจบปาฐกถาด้วยกลอนอันโด่งดังว่า
ฉันก้าวออกนอกประตูไปสู่โลกไม่เศร้าโศกห่วงใยหรือไร้หวัง
หญิงงมงายชายโฉดจงโปรดฟังคนล้าหลังโลกยุคใหม่ไม่ต้องการ
หลังจบปริญญาตรี ฮิลลารีเข้าเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยเยล ที่นั่นเธอได้พบกับนักเรียนกฎหมายชื่อ บิล คลินตัน และได้แต่งงานกันในเวลาต่อมา หลังเรียนจบกฎหมาย ฮิลลารีอาจเลือกทำงานอะไรก็ได้โดยเฉพาะในด้านการแสวงหาเงิน แต่เธอก็ไม่ทำ เธอเลือกงานด้านการช่วยเหลือเด็กยากไร้ซึ่งทำรายได้เพียงจำกัด เธอเล่าว่าการตัดสินใจทำเช่นนั้นเป็นผลของการเรียนรู้ความยากไร้ในชีวิตของแม่ในวัยชรา ดอรอธีย้ายไปอยู่ใกล้ๆ ลูกสาวและเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยเมื่ออายุเลย 60 ปีไปมากแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตอนดอรอธีเสียชีวิตนั้น ฮิลลารีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันและก่อนนั้นฮิลลารีชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแต่แพ้การแข่งขันลงสมัครเป็นประธานาธิบดี เมื่อไม่นานมานี้ ฮิลลารีมาเยือนเมืองไทยและได้ออกแถลงการณ์พร้อมนายกรัฐมนตรีไทยซึ่งปล่อยไก่เสียหมดเล้าต่อหน้าชาวโลก
ความแตกต่างระหว่างสตรี 2 คนปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัด นั่นคือ ฮิลลารีทำหน้าที่รัฐมนตรีได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเริ่มจากการมีแม่ที่เอาใจใส่ ส่วนนายกรัฐมนตรีไทยมักปล่อยไก่อยู่เสมอเพราะเธอขาดคุณสมบัติสารพัดอย่างทั้งที่เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาลแต่คงขาดการเอาใจใส่ดูแลจากแม่และพ่อโดยเฉพาะในด้านการอบรมให้เป็นคนดีและมียางอาย เธอจึงเป็นหนึ่งในเศรษฐีผู้ยากไร้ที่สังคมไทยยกย่อง มันแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องพื้นฐานที่จะต้องได้รับการแก้ไขก่อนเมืองไทยจะพัฒนาได้สูงกว่าในปัจจุบัน เริ่มด้วยการแสดงความรู้จักอายและลาออกจากตำแหน่งไปของนายกรัฐมนตรีผู้มั่งมีทรัพย์แต่ไร้คุณสมบัติ