xs
xsm
sm
md
lg

กนง.ฟื้นศก.ลดดบ.0.25%ลีเวอร์ยึดไทยเป็นฮับต่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-มติ 5:2 บอร์ด กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% อ้างเพียงพอกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3.25% แย้มอนาคตมีโอกาสลดได้อีก เหตุความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่ พร้อมปรับประมาณการจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.8% ส่วนปีหน้า 4.8% ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนต.ค.วูบมาอยู่ที่ 36.7 ด้านทีมผู้บริหาร“ยูนิลีเวอร์” ของบริษัทแม่ ยืนยันยังชูไทยเป็นฮับการผลิตเหมือนเดิม ไม่ย้ายหนีน้ำท่วมแต่อย่างใด พร้อมทุ่มงบ 100 ล้านบาทปีหน้าเพิ่มกำลังผลิตและรุกตลาดไอศกรีมหนักขึ้น เผยปีนี้ทุ่มงบซีเอสอาร์ 100 ล้านบาท สูงสุดรอบ 80 ปี

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ในที่ประชุม กนง.เมื่อวานนี้ (30พ.ย.) ครั้งที่ 8 ถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายในรอบปีนี้ ได้มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ด้วยมติ 5 ต่อ 2 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ระดับ 3.25%ต่อปี

เนื่องจากขณะนี้เศรษกิจไทยต้องเผชิญความเสี่ยงการขยายตัวเศรษฐกิจมากกว่าความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งความเสี่ยงเกิดจากเศรษฐกิจโลกชะลอลง ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่ยังอ่อนแอ และปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น

“บอร์ด กนง.ส่วนใหญ่เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพียงพอต่อความจำเป็นของสถานการณ์ในขณะนี้ และมองว่านโยบายการเงินมีเป้าหมายเดียวกับเป้าหมายนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ ส่วนนโยบายการเงินในระยะต่อไปอาจจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามความจำเป็นของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งยอมรับว่าความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่างๆ เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอยู่” นายไพบูลย์กล่าว

ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยค่อนข้างรุนแรงและเป็นวงกว้างกว่าการประชุมในครั้งก่อนและคาดว่าผลกระทบนี้ยังคงส่งผลมายังช่วงไตรมาส 4 และการขยายตัวเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปีนี้ลดลงค่อนข้างมาก ทำให้บอร์ด กนง.ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจใหม่ จากเดิม 2.6% ลดลงเหลือ 1.8% และในปี 55คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.8% จากเดิมประเมินไว้ 4.1%

**พิษน้ำท่วมกระทบ2.1%ของจีดีพี**

ด้านนายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธปท.กล่าวว่า จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มาอยู่ที่ 2.1%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) หรือคิดเป็นมูลค่า 2.3 แสนล้านบาท จากครั้งก่อนประเมินไว้ 1.1% ของจีดีพี โดยภาคเกษตรได้รับผลกระทบประมาณ 0.4% และที่เหลืออีก 1.7% กลุ่มภาคอุตสาหกรรมและส่วนอื่นๆ ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 55 และฟื้นตัวได้เต็มที่ในปลายไตรมาส 2 ของปีหน้า

ทั้งนี้ ปัญหาน้ำท่วมคาดว่าจะไม่มีผลให้การว่างงานเพิ่มขึ้น เพราะผู้ประกอบการยังคงต้องการจ้างแรงงานเดิมอยู่ ซึ่งมีทักษะฝีมือที่ดี อีกทั้งที่ผ่านมาปัญหาแรงงานตึงตัว จึงเชื่อว่าผู้ที่ตกงานจะสามารถหางานใหม่ได้ ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทต่างๆ ไม่น่าจะสร้างปัญหามากนัก เพราะเท่าที่ดูยังมีแหล่งเงินทุนจากเงินบริษัทประกันและบางส่วนที่เป็นบริษัทข้ามชาติก็มีเงินทุนจากบริษัทแม่สนับสนุน แต่ที่ห่วง คือ รายย่อย โดยเฉพาะในแง่เงินทุนหมุนเวียนเป็นสำคัญ เพื่อให้กิจการเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งหากรายย่อยไม่มีเงินออมก็จะลำบากมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่มีรายได้น้อยและมีหนี้สินเดิมอยู่แล้ว

นอกจากนี้ยังเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะไม่มีการย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะสินค้าประเภทรถยนต์และฮาร์ดดิสไดร์ฟ เพราะมีโครงสร้างการผลิตที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ทำให้ยากในการย้าย

ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจล่าสุดในเดือนต.ค.ลดลงค่อนข้างมาก 36.7 จากเดือนก่อนที่ 42.9 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจไม่มีความเชื่อมั่นนัก ส่วนในอีก 3 เดือนข้างหน้าความเชื่อมั่นลดลง 42.9 จากเดือนก่อน 50.6 จากปัญหาอุทกภัยเป็นสำคัญ แต่คาดว่าเมื่อมีการฟื้นฟูกิจการในระยะต่อไปจะส่งผลต่อการลงทุนให้มีมากขึ้นได้.

*** ลีเวอร์ไม่โยกไทยฮับผลิตหนีน้ำ

นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร ธุรกิจอาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยว่า หลังจากที่ผู้บริหารบริษัทยูลีเวอร์ระดับโลก ได้เดินทางมาประเทศไทยและตรวจสภาพโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังและนิคมเกตเวย์ซิตี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา และพอใจในแผนบริหารความเสี่ยงธุรกิจและมาตรการป้องกันน้ำของไทย ทำให้บริษัทแม่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์  ยังคงยืนยันที่จะให้โรงงานผลิตของลีเวอร์ในไทย เป็นฐานการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ     
     
โดยโรงงานที่ลาดกระบังเป็นฐานผลิตสำคัญของกลุ่มสินค้าประเภทของเหลว, ผงซักฟอก, ยาสระผม, สบู่ และไอศกรีม ส่วนที่เกตเวย์ฯ จะผลิตสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น  

นอกจากนั้นในปี 2555 บริษัทฯยังมีแผนใช้งบลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มในสินค้ากลุ่มไอศกรีมวอลล์ ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เพื่อทำตลาดเชิงรุกสินค้ากลุ่มดังกล่าวมากขึ้น โดยจากข้อมูลของเอ.ซี.นีลเส็น ระบุว่ามูลค่าตลาดรวมธุรกิจอาหารและไอศกรีมในปีนี้คาดว่ามีประมาณ 13,000 - 15,000 ล้านบาท เติบโต 5-6% ขณะที่บริษัทมีอัตราเติบโตกว่าตลาดอยู่ที่ 13%

สำหรับงบซีเอสอาร์ปีนี้ใช้ไปประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งมากที่สุดในรอบ 80 ปี โดยจัดกิจกรรมภายใต้แคมเปญจัด “ถุงกลับบ้าน” ในโครงการ ยูนิลีเวอร์ เทค ยู โฮม พร้อมร่วมกันทำความสะอาดชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม.
กำลังโหลดความคิดเห็น