ASTVผู้จัดการรายวัน – บอร์ด “อสมท” ปลดฟ้าผ่า ”ธนวัฒน์” พ้นทันที พร้อมตั้งคณะกรรมการฯตรวจสอบปัญหาค้างคางบซีเอสอาร์กว่า 520 ล้านบาท ย้ำชัดไม่เกี่ยวการเมือง อ้างปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ส่อสร้างความเสียหายอย่างมากในอนาคต ด้านธนวัฒน์ โต้ มั่นใจไม่เคยทำงานผิดพลาด แจง 4 ข้อกล่าวหาหลัก
จากกรณีวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่บอร์ดอสมท ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติงานของ นายธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หลังพบข้อสงสัยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการทำงานล่าช้า บกพร่องการบริหารบุคคล ส่อเค้าไม่โปร่งใสกับงบซีเอสอาร์ และหวั่นสร้างความแตกแยกในองค์กร
วานนี้ (13 ต.ค.) นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังจากการประชุมบอร์ดอสมท ครั้งที่ 14/2554 ว่า คณะกรรมการฯได้ประชุมหลายเรื่อง แต่วาระที่สำคัญ คือ เรื่องของการรายงานผลการตรวจสอบการทำงานของ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (กก.ผอ.ญ. )คือ นายธนวัฒน์ วันสม จากคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ทางบอร์ดอสมทได้พิจารณาแล้วพบว่า กก.ผอ.ญ. มีการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามสัญญา ถึง 5 ประเด็นหลัก คือ 1. ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า 2.ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 3. บกพร่องในการบริหารบุคลากร 4.บริหารงานขัดกับมติของบอร์ด และ 5.ทำงานไม่สอดคล้องกับธรรมาภิบาล จากข้อเท็จจริงอื่นๆรวมทั้งหมด 19 ข้อ
ส่งผลให้ทางบอร์ดอสมท มีมติเห็นชอบในการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนด ตามกฎข้อบังคับที่ 5.4 โดยที่ผู้รับจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา บมจ.อสมท จะมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้รับจ้างไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยบมจ.อสมท จะจ่ายเงินค่าตอบแทนเท่ากับค่าจ้างเดือนสุดท้ายของผู้รับจ้างคูณด้วยระยะเวลาที่เหลืออยู่ไม่เกิน 6 เดือน คิดเป็นจำนวนราว 2 ล้านกว่าบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย.นี้ โดยตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 13 ต.ค.นี้เป็นต้นไป นายธนวัฒน์จะต้องยุติบทบาทการทำงานลงทันที โดยทางบอร์ดอสมท พิจารณาให้นายสุระ เกนทะนะศิล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่ง กก.ผอ.ญ แทน ไปจนกว่าจะมีการพิจารณาคัดสรรผู้ที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนี้ต่อไป
หลังจากนี้ทางบอร์ดอสมท ยังได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการปฏิบัติงานของ นายธนวัฒน์ วันสม กับบางข้อเท็จจริงบางข้อ เช่น งบซีเอสอาร์กับการให้ช่วงเวลาโฆษณาที่เป็นประโยชน์แก่สังคมของปี 53 ที่สูงถึง 420 ล้านบาท และของปีนี้ที่ผ่านมาสูงกว่า 100 กว่าล้านบาท หรือรวมกว่า 520 ล้านบาท ที่เคยขอให้นายธนวัฒน์เสนอรายละเอียดใหกับบอร์ดมาถึง 3 ครั้งแล้ว แต่ปรากฏว่า บอร์ด อสมท ยังไม่เคยได้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าว
ที่อาจจะนำไปสู่ความผิดทางวินัยการทำงานหรือไม่ต่อไป โดยจะรีบทำงานพิจารณาให้เรียบร้อยก่อนถึงการคัดสรร กก.ผอ.ญ คนใหม่เข้ามาทำงาน
“ทางบอร์ดอสมทพิจารณาแล้วว่า การบอกเลิกสัญญาจ้างในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดความเสียหายกับองค์กรน้อยกว่าการที่ยังให้นายธนวัฒน์ปฏิบัติงานต่อไป พร้อมๆกับมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการทำงานหลังจากนี้ ซึ่งมติครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะทั้งบอร์ดอสมทเอง และตัวนายธนวัฒน์ต่างก็เข้ามาในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทั้งคู่ จึงมองไม่เห็นว่าจะมีการเมืองฝ่ายใดที่จะได้ประโยชน์จากการยกเลิกสัญญาจ้างในครั้งนี้ และสำหรับตัวผมหรือบอร์ดอสมทกับนายธนวัฒน์เองนั้น ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งส่วนตัวกันแต่อย่างไร เพียงแต่อาจจะมีบ้างในความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในบางประเด็นเท่านั้น” นายสุรพลกล่าว
ทั้งนี้ในวันที่ 20 ต.ค.ที่จะถึงนี้ ทางบอร์ดอสมทจะมีการประชุมอีกครั้ง โดยมีวาระการประชุมหลักว่าด้วยเรื่องของการสรุปการปรับโครงสร้างใหม่ให้กับ บมจ.อสมท ซึ่งการปรับโครงสร้างใหม่นี้ ไม่แย้งกับหนังสือของทางกระทรวงการคลังที่ให้ชะลอหรือระงับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารและพนักงานตามมติที่ประชุมของวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จ
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นส่วนของโครงสร้างเดิม ไม่ใช่โครงสร้างใหม่ ที่สำคัญที่ผ่านมาทางบอร์ดพร้อมเห็นชอบนายธนวัฒน์ มาโดยตลอด กับการเสนอให้มีการโยกย้ายและเปลี่ยนตำแหน่งให้กับผู้บริหารระดับสูงเรื่อยมา ส่งกรณีของผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์คนใหม่ที่เป็นปัญหาอยู่นี้ ก็เป็นบุคคลที่ทางนายธนวัฒน์เสนอขึ้นมาเช่นกัน
*** “ธนวัฒน์”เดือดพร้อมสู้ทุกทาง
อย่างไรก็ตามในช่วงเช้าของวานนี้ นายธนวัฒน์ วันสม อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้แถลงข่าวก่อนที่ทางบอร์ดอสมทจะประชุมในช่วงบ่าย เพื่อชี้แจงถึงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นว่า หลังจากที่ตนได้รับทราบว่า บอร์ดมีประชุมวาระพิเศษเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งมีวาระเป็นเรื่องตั้งข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่การทำงานของตนนั้น ในระยะ 15 วันที่ผ่านมานี้ ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
เนื่องจากไม่อยากให้เกิดความแตกแยกในองค์กร รวมถึงไม่ต้องการให้อสมทบอบช้ำ ที่สำคัญไม่อยากให้นำอสมทเข้าสู่ประเด็นทางการเมือง
ทั้งนี้ขอยืนยันใน 4 ข้อกล่าวหาหลักว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร และเรื่องเหล่านี้สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 1.การปฏิบัติหน้าที่ล่าช้านั้น ตลอดการทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ผลการทำงานของตนทำให้อสมทมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดมาโดยตลอด อย่างครึ่งปีนี้ก็เติบโต 30% และนำองค์กรได้รับรางวัลต่างๆมากมาย จะเรียกได้ว่าตนทำงานล่าช้าได้อย่างไร
2.การบริหารทรัพยากรบุคคลไม่มีประสิทธิภาพนั้น ในความเป็นจริงตั้งแต่ตนเข้ามาทำงาน พบว่าอสมทนั้นมีปัญหาเรื่องของการบริหารทรัพยากรบุคคลอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งได้ขอไปทางบอร์ดให้มีการเปลี่ยนผู้บริหารที่ดูแลด้านนี้ แต่บอร์ดไม่ให้เปลี่ยน ตนก็ทำงานกันเรื่อยมา จนขอให้ทางบอร์ดเปลี่ยนผู้บริหารเป็นครั้งที่สอง แต่บอร์ดก็ยังไม่ให้เปลี่ยนมาจนถึงปัจจุบัน
3.การสร้างความแตกแยกในองค์กร ข้อสงสัยดังกล่าวนี้ เกิดจากกรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ย. กลุ่มพนักงานและฝ่ายบริหาร บมจ.อสมท นำโดย นางสุนทรีย์ แก้วกรณ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ได้แนบรายชื่อ พร้อมลายมือชื่อคณะผู้บริหารและพนักงาน บมจ.อสมท ยื่นหนังสือร้องเรียน เรื่อง "การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ บมจ.อสมท" โดยเฉพาะแก่ นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเนื้อหาหลัก คือ 1.ปัญหาการจัดทำโครงสร้าง บมจ.อสมท หรือบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
ส่วนข้อ 4.การทุจริตในโครงการซีเอสอาร์ ในความเป็นจริงงบซีเอสอาร์นี้มีมูลค่าเพียง 20 ล้านบาทเท่านั้นไม่ใช่ 100 ล้านบาท และตนไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเม็ดเงินดังกล่าว เพราะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง คือ ระดับรองผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมนำเสนอไปทางบอร์ดอีกครั้ง ขณะที่ตนมีส่วนเป็นคณะกรรมการกำกับดูแลที่ดีของโครงการดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการตรวจสอบนั้นไม่เคยเรียกตนเข้าไปพูดคุยหรือชี้แจงกับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นเลย เพียงแต่เรียกข้อมูลต่างๆเพื่อนำไปตรวจสอบเท่านั้น อย่างไรก็ตามตนเชื่อมั่นในความเป็นอสมท ระบบอสมท ว่าท้ายที่สุดแล้วความเป็นธรรมข้อเท็จจริงและความถูกต้องจะคืนกลับมา ทั้งนี้เมื่อผลการพิจารณาออกมาให้มีการยกเลิกสัญญาจ้างแล้วนั้น ตนก็พร้อมที่จะต่อสู้ในทุกช่องทาง ซึ่งจะต้องกลับไปศึกษาเกี่ยวกับข้อกฎหมายต่างๆต่อไป
จากกรณีวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่บอร์ดอสมท ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติงานของ นายธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หลังพบข้อสงสัยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการทำงานล่าช้า บกพร่องการบริหารบุคคล ส่อเค้าไม่โปร่งใสกับงบซีเอสอาร์ และหวั่นสร้างความแตกแยกในองค์กร
วานนี้ (13 ต.ค.) นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังจากการประชุมบอร์ดอสมท ครั้งที่ 14/2554 ว่า คณะกรรมการฯได้ประชุมหลายเรื่อง แต่วาระที่สำคัญ คือ เรื่องของการรายงานผลการตรวจสอบการทำงานของ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (กก.ผอ.ญ. )คือ นายธนวัฒน์ วันสม จากคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ทางบอร์ดอสมทได้พิจารณาแล้วพบว่า กก.ผอ.ญ. มีการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามสัญญา ถึง 5 ประเด็นหลัก คือ 1. ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า 2.ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 3. บกพร่องในการบริหารบุคลากร 4.บริหารงานขัดกับมติของบอร์ด และ 5.ทำงานไม่สอดคล้องกับธรรมาภิบาล จากข้อเท็จจริงอื่นๆรวมทั้งหมด 19 ข้อ
ส่งผลให้ทางบอร์ดอสมท มีมติเห็นชอบในการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนด ตามกฎข้อบังคับที่ 5.4 โดยที่ผู้รับจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา บมจ.อสมท จะมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้รับจ้างไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยบมจ.อสมท จะจ่ายเงินค่าตอบแทนเท่ากับค่าจ้างเดือนสุดท้ายของผู้รับจ้างคูณด้วยระยะเวลาที่เหลืออยู่ไม่เกิน 6 เดือน คิดเป็นจำนวนราว 2 ล้านกว่าบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย.นี้ โดยตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 13 ต.ค.นี้เป็นต้นไป นายธนวัฒน์จะต้องยุติบทบาทการทำงานลงทันที โดยทางบอร์ดอสมท พิจารณาให้นายสุระ เกนทะนะศิล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่ง กก.ผอ.ญ แทน ไปจนกว่าจะมีการพิจารณาคัดสรรผู้ที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนี้ต่อไป
หลังจากนี้ทางบอร์ดอสมท ยังได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการปฏิบัติงานของ นายธนวัฒน์ วันสม กับบางข้อเท็จจริงบางข้อ เช่น งบซีเอสอาร์กับการให้ช่วงเวลาโฆษณาที่เป็นประโยชน์แก่สังคมของปี 53 ที่สูงถึง 420 ล้านบาท และของปีนี้ที่ผ่านมาสูงกว่า 100 กว่าล้านบาท หรือรวมกว่า 520 ล้านบาท ที่เคยขอให้นายธนวัฒน์เสนอรายละเอียดใหกับบอร์ดมาถึง 3 ครั้งแล้ว แต่ปรากฏว่า บอร์ด อสมท ยังไม่เคยได้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าว
ที่อาจจะนำไปสู่ความผิดทางวินัยการทำงานหรือไม่ต่อไป โดยจะรีบทำงานพิจารณาให้เรียบร้อยก่อนถึงการคัดสรร กก.ผอ.ญ คนใหม่เข้ามาทำงาน
“ทางบอร์ดอสมทพิจารณาแล้วว่า การบอกเลิกสัญญาจ้างในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดความเสียหายกับองค์กรน้อยกว่าการที่ยังให้นายธนวัฒน์ปฏิบัติงานต่อไป พร้อมๆกับมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการทำงานหลังจากนี้ ซึ่งมติครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะทั้งบอร์ดอสมทเอง และตัวนายธนวัฒน์ต่างก็เข้ามาในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทั้งคู่ จึงมองไม่เห็นว่าจะมีการเมืองฝ่ายใดที่จะได้ประโยชน์จากการยกเลิกสัญญาจ้างในครั้งนี้ และสำหรับตัวผมหรือบอร์ดอสมทกับนายธนวัฒน์เองนั้น ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งส่วนตัวกันแต่อย่างไร เพียงแต่อาจจะมีบ้างในความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในบางประเด็นเท่านั้น” นายสุรพลกล่าว
ทั้งนี้ในวันที่ 20 ต.ค.ที่จะถึงนี้ ทางบอร์ดอสมทจะมีการประชุมอีกครั้ง โดยมีวาระการประชุมหลักว่าด้วยเรื่องของการสรุปการปรับโครงสร้างใหม่ให้กับ บมจ.อสมท ซึ่งการปรับโครงสร้างใหม่นี้ ไม่แย้งกับหนังสือของทางกระทรวงการคลังที่ให้ชะลอหรือระงับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารและพนักงานตามมติที่ประชุมของวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จ
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นส่วนของโครงสร้างเดิม ไม่ใช่โครงสร้างใหม่ ที่สำคัญที่ผ่านมาทางบอร์ดพร้อมเห็นชอบนายธนวัฒน์ มาโดยตลอด กับการเสนอให้มีการโยกย้ายและเปลี่ยนตำแหน่งให้กับผู้บริหารระดับสูงเรื่อยมา ส่งกรณีของผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์คนใหม่ที่เป็นปัญหาอยู่นี้ ก็เป็นบุคคลที่ทางนายธนวัฒน์เสนอขึ้นมาเช่นกัน
*** “ธนวัฒน์”เดือดพร้อมสู้ทุกทาง
อย่างไรก็ตามในช่วงเช้าของวานนี้ นายธนวัฒน์ วันสม อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้แถลงข่าวก่อนที่ทางบอร์ดอสมทจะประชุมในช่วงบ่าย เพื่อชี้แจงถึงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นว่า หลังจากที่ตนได้รับทราบว่า บอร์ดมีประชุมวาระพิเศษเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งมีวาระเป็นเรื่องตั้งข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่การทำงานของตนนั้น ในระยะ 15 วันที่ผ่านมานี้ ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
เนื่องจากไม่อยากให้เกิดความแตกแยกในองค์กร รวมถึงไม่ต้องการให้อสมทบอบช้ำ ที่สำคัญไม่อยากให้นำอสมทเข้าสู่ประเด็นทางการเมือง
ทั้งนี้ขอยืนยันใน 4 ข้อกล่าวหาหลักว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร และเรื่องเหล่านี้สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 1.การปฏิบัติหน้าที่ล่าช้านั้น ตลอดการทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ผลการทำงานของตนทำให้อสมทมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดมาโดยตลอด อย่างครึ่งปีนี้ก็เติบโต 30% และนำองค์กรได้รับรางวัลต่างๆมากมาย จะเรียกได้ว่าตนทำงานล่าช้าได้อย่างไร
2.การบริหารทรัพยากรบุคคลไม่มีประสิทธิภาพนั้น ในความเป็นจริงตั้งแต่ตนเข้ามาทำงาน พบว่าอสมทนั้นมีปัญหาเรื่องของการบริหารทรัพยากรบุคคลอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งได้ขอไปทางบอร์ดให้มีการเปลี่ยนผู้บริหารที่ดูแลด้านนี้ แต่บอร์ดไม่ให้เปลี่ยน ตนก็ทำงานกันเรื่อยมา จนขอให้ทางบอร์ดเปลี่ยนผู้บริหารเป็นครั้งที่สอง แต่บอร์ดก็ยังไม่ให้เปลี่ยนมาจนถึงปัจจุบัน
3.การสร้างความแตกแยกในองค์กร ข้อสงสัยดังกล่าวนี้ เกิดจากกรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ย. กลุ่มพนักงานและฝ่ายบริหาร บมจ.อสมท นำโดย นางสุนทรีย์ แก้วกรณ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ได้แนบรายชื่อ พร้อมลายมือชื่อคณะผู้บริหารและพนักงาน บมจ.อสมท ยื่นหนังสือร้องเรียน เรื่อง "การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ บมจ.อสมท" โดยเฉพาะแก่ นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเนื้อหาหลัก คือ 1.ปัญหาการจัดทำโครงสร้าง บมจ.อสมท หรือบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
ส่วนข้อ 4.การทุจริตในโครงการซีเอสอาร์ ในความเป็นจริงงบซีเอสอาร์นี้มีมูลค่าเพียง 20 ล้านบาทเท่านั้นไม่ใช่ 100 ล้านบาท และตนไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเม็ดเงินดังกล่าว เพราะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง คือ ระดับรองผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมนำเสนอไปทางบอร์ดอีกครั้ง ขณะที่ตนมีส่วนเป็นคณะกรรมการกำกับดูแลที่ดีของโครงการดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการตรวจสอบนั้นไม่เคยเรียกตนเข้าไปพูดคุยหรือชี้แจงกับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นเลย เพียงแต่เรียกข้อมูลต่างๆเพื่อนำไปตรวจสอบเท่านั้น อย่างไรก็ตามตนเชื่อมั่นในความเป็นอสมท ระบบอสมท ว่าท้ายที่สุดแล้วความเป็นธรรมข้อเท็จจริงและความถูกต้องจะคืนกลับมา ทั้งนี้เมื่อผลการพิจารณาออกมาให้มีการยกเลิกสัญญาจ้างแล้วนั้น ตนก็พร้อมที่จะต่อสู้ในทุกช่องทาง ซึ่งจะต้องกลับไปศึกษาเกี่ยวกับข้อกฎหมายต่างๆต่อไป