สังคมไทยในวันนี้ ยังคงเดินอยู่ในวงจรอุบาทว์แห่งการแย่งชิงอำนาจในการปกครองประเทศ ที่มีทรัพยากรหรือสมบัติชาติที่บรรพบุรุษได้สั่งสมมาในอดีตอย่างมากมายไว้ให้ใช้หรือให้เป็นทุน ซึ่งสมบัติชาตินี้มีทั้งรูปธรรมและนามธรรรม รูปธรรมที่เห็นได้ชัด เช่น สิ่งที่ระบอบทักษิณเรียกว่าแปลงสินทรัพย์เป็นทุน งบประมาณแผ่นดินที่เกิดจากหยาดเหงื่อของคนไทย หรือสัญญาณดาวเทียมที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีได้แค่หนึ่งสัญญาณเท่านั้น ฯลฯ
ส่วนนามธรรมคือชื่อเสียงชาติไทยหรือยี่ห้อของความเป็นไทยที่แม้ว่าจะไม่เป็นเงินเป็นทอง แต่ก็ช่วยในการหาเงินเข้าประเทศอย่างยี่ห้อยิ้มสยาม ปัจจุบันจะได้รับการรับรู้ว่าเป็นเมืองสยอง ตั้งแต่มีการเผาไล่ผู้นำระดับสูงจากต่างประเทศที่พัทยา สู่การชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553 ฯลฯ
การแย่งชิงอำนาจ การแย่งชิงความได้เปรียบทางการเมือง ในเมืองไทยทุกวันนี้ทวีความรุนแรงจนอดห่วงไม่ได้ว่าสังคมไทยได้พัฒนาสู่ความรุนแรงแบบกู่ไม่กลับ ซึ่งขัดกับการรับรู้แบบเดิมๆ ที่เราต่างคิดว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่สอนให้ตื่นในความดีงามอยู่เสมอ สอนให้เดินสายกลาง และที่สำคัญในเรื่องความโลภ โกรธ หลง ที่ครอบงำในสังคมโดยเฉพาะบรรดาผู้นำทางการเมือง ที่กลายเป็นพวกเสพติดกับอำนาจ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจหรือการรักษาอำนาจ ทำแม้กระทั่งสิ่งที่กฎหมายห้าม ซึ่งอวิชชาต่างๆ ที่ปิดบังตาให้ผู้นำทางการเมืองเหล่านี้ทำงานหรือบริหารผิดพลาดมาโดยตลอด และถ้าจะพิจารณาตามวิถีทางแบบชาวพุทธเราจะเห็นได้ว่าผู้นำเหล่านี้ขาดในสิ่งที่เรียกว่า “ไตรสิกขา” หรือ “ข้อที่จะต้องศึกษาหรือข้อที่จะต้องปฏิบัติสามประการ” ที่เราคุ้นหูว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
เมื่อผู้นำ “ขาดศีล” ผู้อ่านก็คงนึกถึงภาพออกนะครับว่า เป็นผู้นำที่ไม่มีศีลหรือละเมิดข้อห้ามปฏิบัติ ซึ่งดูได้จากศีลห้า โดยแยกเป็นข้อดังนี้
ผู้นำขาดศีลข้อแรกเรื่องห้ามฆ่าสัตว์ซึ่งหมายถึงความรุนแรงที่ใช้กับผู้อื่นที่ไร้เหตุผลอย่างการสร้างสถานการณ์ยิงปืนเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตาย ทำให้คนที่เข้าร่วมต่อสู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีความเคียดแค้น เกลียดชังรัฐบาลที่ฉ้อฉล ผู้คนในสังคมเกิดการแบ่งแยกอย่างรุนแรง ขยายสู่ชุมชนและครอบครัว ฯลฯ
เรื่องห้ามโกหกหรือมุสานั้น การที่ผู้นำพูดโกหกหรือความจริงเพียงครึ่งเดียวนั้นต่างสร้างปัญหาให้บ้านเมืองเพิ่มขึ้น อย่างการอธิบายเรื่องคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสินให้มีความผิดตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นกฎหมายเก่า มีมาก่อนคณะ คมช. ไม่ใช่ร่างกฎหมายใหม่เพื่อมาเอาผิดย้อนหลัง ในขณะเดียวกันการจะมาอธิบายว่าคดีนี้ศาลแพ่งสั่งให้สัญญาการซื้อขายเป็นโมฆะ คุณหญิงพจมานไม่มีความผิด ได้รับเงินคืน
เมื่อภรรยาไม่ผิดแล้วสามีจะผิดได้อย่างไร การให้สามีมีความผิดจึงเป็นการกลั่นแกล้ง ซึ่งการอธิบายที่ดูเหมือนมีตรรกะ แต่ไม่มีความจริงเนื่องจากการใช้กฎหมายคนละฉบับ คดีอาญากับคดีแพ่งเป็นคนละเรื่องอย่างการขับรถชนคนตาย เจ้าทุกข์อาจไม่เอาเรื่องแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องฟ้องตามกฎหมายอยู่ดี การไม่พูดความจริงของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงทำให้เกิดปัญหาในสังคมไทยไม่สิ้นสุด ฯลฯ
เรื่องห้ามลักทรัพย์หรือขโมยของผู้อื่น ในมิตินี้ผู้นำไทยที่รวยเป็นแสนล้าน ผู้นำที่เข้าสู่การเมืองโดยมีเป้าหมายเข้าไปผูกขาดสัมปทานรัฐนั้นได้ประพฤติปฏิบัติมากกว่ามหาโจรเสียอีก คือปล้นโดยอาศัยกฎหมายรองรับอย่างการแก้กฎหมายสรรพสามิตที่ทำให้รายได้รัฐน้อยลงและเป็นการปิดกั้นไม่ให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันตามความเชื่อแบบทุนนิยมเสรีที่เชื่อว่าการแข่งขันกันมากจะทำให้สินค้ามีราคาถูกลงและมีคุณภาพมาตรฐานดียิ่งขึ้น แต่ในสังคมไทยกับสร้างการผูกขาดเฉพาะกลุ่ม สร้างอำนาจลงลึกถึงการตั้งงบประมาณแผ่นดินเพื่อการโกงอย่างเป็นกระบวนการ ฯลฯ
เรื่องข้อห้ามการประพฤติผิดในกามนั้น ผู้นำทางการเมืองหลายคนก็ปฏิบัติด้วยความหยาบช้า ไม่แคร์ว่าลูกเขาเมียใคร ถึงมีการกล่าวขานว่า พรรคการเมืองเก่าชอบเล่นการเมืองแบบ “มีชู้ลับ” แต่พรรคการเมืองใหม่เล่นแบบ “มีกิ๊กเปิดเผย” ไม่ซ้ำหน้ามาเลย
ส่วนเรื่องข้อห้ามเรื่องเหล้าหรือของเสพติดมึนเมานั้น ผู้นำไทยในปัจจุบันบอกได้เลยว่าดื่ม “แม่โขง” ไม่เป็นแล้ว ต้องไวน์จากราคาเรือนพันถึงเรือนแสนเข้าไปแล้ว และที่สำคัญเป็นพวกเจ้าพ่ออยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติดเสียเอง
เมื่อผู้นำขาดศีล ผู้นำเหล่านี้จะมีสมาธิหรือมีจิตใจที่สงบในการที่จะทำงานให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้อย่างไร ในทางพุทธนั้นการสอนเรื่องสมาธิเพื่อยกระดับจิตใจ พัฒนาให้เกิดการสร้างกุศล ด้วยเข้าใจและปฏิบัติตั้งแต่มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ มีความเพียร มีสติ ฯลฯ แต่ผู้นำทางการเมืองของไทยเท่าที่มีให้เห็นยอมขาดศีลแต่ไม่ยอมขาดสิน ไม่มีสมาธิในการบำเพ็ญภาวนาแต่มีสมาธิในการโกงกิน เมื่อเกิดวิกฤตต่างๆ จึงไม่มีความหวั่นไหวใดๆ ในเมื่อมีเหตุการณ์แบบไหนๆ ก็โกงได้เหมือนเดิม
เมื่อผู้นำขาดปัญญา เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทุกปัญหาไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับประชาชนที่ต้องการเห็นการพัฒนาประเทศในทางที่ดีขึ้น เพราะปัญญาในมิติของผู้นำต่างมีเพื่อตัวเอง เพื่อพวกพ้อง การจะให้รู้จริงรู้แจ้งเพื่อแสวงหาการหลุดพ้นหรือเข้าใจถึงเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นเป็นไปไม่ได้เลย
จากการที่ผู้นำไทยขาดไตรสิกขาและไม่ได้พัฒนาการรับรู้นอกกรอบผลประโยชน์ของตนเองแล้ว ทำให้สังคมไทยไม่เพียงหันหลังเข้าคลอง แต่กำลังลงคลอง ด้วยสังคมไทยวันนี้ยังอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่มีการอธิบายแบบศรีธนญชัย ให้คนไทยรู้สึกซึมซับ และเฉื่อยชาต่อการต่อต้านพฤติกรรมที่ทำลายสังคมไทย อย่างการคอร์รัปชันที่เยาวชนไทยกว่า 73 เปอร์เซ็นต์บอกว่ารับได้ ถ้าตนเองได้รับผลประโยชน์ด้วย หรือรัฐบาลไหนๆ ใครมาก็โกงยอมรับมันเสียเถอะ ฯลฯ ซึ่งการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดๆ นี้ทำให้คนดีที่รักชาติบ้านเมืองอยากที่จะหลบหลีกปัญหาที่มาเผชิญหน้า หรือหนีข้อเท็จจริงที่ตามรังควาญจิตใจ ดังนั้นเพื่อการพาตัวเองให้หลุดรอดจากปัญหา นำพาสังคมให้หลุดพ้นจากวงจรชั่วร้ายนี้ คนดีคนกล้าในสังคมไทยต้องรวมตัวกันเข้าสู้ต่อความล้มเหลวที่สั่งสมมายาวนาน และมีสำนึกร่วมกันว่า
“การยอมจำนนต่อผู้นำที่โกงชาติ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ระบบชั่วดำรงอยู่ต่อไป แต่ยังเป็นการซ้ำเติม ร่วมทำลายสังคมที่ดีที่ยังมีอนาคต”
ส่วนนามธรรมคือชื่อเสียงชาติไทยหรือยี่ห้อของความเป็นไทยที่แม้ว่าจะไม่เป็นเงินเป็นทอง แต่ก็ช่วยในการหาเงินเข้าประเทศอย่างยี่ห้อยิ้มสยาม ปัจจุบันจะได้รับการรับรู้ว่าเป็นเมืองสยอง ตั้งแต่มีการเผาไล่ผู้นำระดับสูงจากต่างประเทศที่พัทยา สู่การชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553 ฯลฯ
การแย่งชิงอำนาจ การแย่งชิงความได้เปรียบทางการเมือง ในเมืองไทยทุกวันนี้ทวีความรุนแรงจนอดห่วงไม่ได้ว่าสังคมไทยได้พัฒนาสู่ความรุนแรงแบบกู่ไม่กลับ ซึ่งขัดกับการรับรู้แบบเดิมๆ ที่เราต่างคิดว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่สอนให้ตื่นในความดีงามอยู่เสมอ สอนให้เดินสายกลาง และที่สำคัญในเรื่องความโลภ โกรธ หลง ที่ครอบงำในสังคมโดยเฉพาะบรรดาผู้นำทางการเมือง ที่กลายเป็นพวกเสพติดกับอำนาจ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจหรือการรักษาอำนาจ ทำแม้กระทั่งสิ่งที่กฎหมายห้าม ซึ่งอวิชชาต่างๆ ที่ปิดบังตาให้ผู้นำทางการเมืองเหล่านี้ทำงานหรือบริหารผิดพลาดมาโดยตลอด และถ้าจะพิจารณาตามวิถีทางแบบชาวพุทธเราจะเห็นได้ว่าผู้นำเหล่านี้ขาดในสิ่งที่เรียกว่า “ไตรสิกขา” หรือ “ข้อที่จะต้องศึกษาหรือข้อที่จะต้องปฏิบัติสามประการ” ที่เราคุ้นหูว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
เมื่อผู้นำ “ขาดศีล” ผู้อ่านก็คงนึกถึงภาพออกนะครับว่า เป็นผู้นำที่ไม่มีศีลหรือละเมิดข้อห้ามปฏิบัติ ซึ่งดูได้จากศีลห้า โดยแยกเป็นข้อดังนี้
ผู้นำขาดศีลข้อแรกเรื่องห้ามฆ่าสัตว์ซึ่งหมายถึงความรุนแรงที่ใช้กับผู้อื่นที่ไร้เหตุผลอย่างการสร้างสถานการณ์ยิงปืนเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตาย ทำให้คนที่เข้าร่วมต่อสู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีความเคียดแค้น เกลียดชังรัฐบาลที่ฉ้อฉล ผู้คนในสังคมเกิดการแบ่งแยกอย่างรุนแรง ขยายสู่ชุมชนและครอบครัว ฯลฯ
เรื่องห้ามโกหกหรือมุสานั้น การที่ผู้นำพูดโกหกหรือความจริงเพียงครึ่งเดียวนั้นต่างสร้างปัญหาให้บ้านเมืองเพิ่มขึ้น อย่างการอธิบายเรื่องคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสินให้มีความผิดตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นกฎหมายเก่า มีมาก่อนคณะ คมช. ไม่ใช่ร่างกฎหมายใหม่เพื่อมาเอาผิดย้อนหลัง ในขณะเดียวกันการจะมาอธิบายว่าคดีนี้ศาลแพ่งสั่งให้สัญญาการซื้อขายเป็นโมฆะ คุณหญิงพจมานไม่มีความผิด ได้รับเงินคืน
เมื่อภรรยาไม่ผิดแล้วสามีจะผิดได้อย่างไร การให้สามีมีความผิดจึงเป็นการกลั่นแกล้ง ซึ่งการอธิบายที่ดูเหมือนมีตรรกะ แต่ไม่มีความจริงเนื่องจากการใช้กฎหมายคนละฉบับ คดีอาญากับคดีแพ่งเป็นคนละเรื่องอย่างการขับรถชนคนตาย เจ้าทุกข์อาจไม่เอาเรื่องแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องฟ้องตามกฎหมายอยู่ดี การไม่พูดความจริงของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงทำให้เกิดปัญหาในสังคมไทยไม่สิ้นสุด ฯลฯ
เรื่องห้ามลักทรัพย์หรือขโมยของผู้อื่น ในมิตินี้ผู้นำไทยที่รวยเป็นแสนล้าน ผู้นำที่เข้าสู่การเมืองโดยมีเป้าหมายเข้าไปผูกขาดสัมปทานรัฐนั้นได้ประพฤติปฏิบัติมากกว่ามหาโจรเสียอีก คือปล้นโดยอาศัยกฎหมายรองรับอย่างการแก้กฎหมายสรรพสามิตที่ทำให้รายได้รัฐน้อยลงและเป็นการปิดกั้นไม่ให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันตามความเชื่อแบบทุนนิยมเสรีที่เชื่อว่าการแข่งขันกันมากจะทำให้สินค้ามีราคาถูกลงและมีคุณภาพมาตรฐานดียิ่งขึ้น แต่ในสังคมไทยกับสร้างการผูกขาดเฉพาะกลุ่ม สร้างอำนาจลงลึกถึงการตั้งงบประมาณแผ่นดินเพื่อการโกงอย่างเป็นกระบวนการ ฯลฯ
เรื่องข้อห้ามการประพฤติผิดในกามนั้น ผู้นำทางการเมืองหลายคนก็ปฏิบัติด้วยความหยาบช้า ไม่แคร์ว่าลูกเขาเมียใคร ถึงมีการกล่าวขานว่า พรรคการเมืองเก่าชอบเล่นการเมืองแบบ “มีชู้ลับ” แต่พรรคการเมืองใหม่เล่นแบบ “มีกิ๊กเปิดเผย” ไม่ซ้ำหน้ามาเลย
ส่วนเรื่องข้อห้ามเรื่องเหล้าหรือของเสพติดมึนเมานั้น ผู้นำไทยในปัจจุบันบอกได้เลยว่าดื่ม “แม่โขง” ไม่เป็นแล้ว ต้องไวน์จากราคาเรือนพันถึงเรือนแสนเข้าไปแล้ว และที่สำคัญเป็นพวกเจ้าพ่ออยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติดเสียเอง
เมื่อผู้นำขาดศีล ผู้นำเหล่านี้จะมีสมาธิหรือมีจิตใจที่สงบในการที่จะทำงานให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้อย่างไร ในทางพุทธนั้นการสอนเรื่องสมาธิเพื่อยกระดับจิตใจ พัฒนาให้เกิดการสร้างกุศล ด้วยเข้าใจและปฏิบัติตั้งแต่มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ มีความเพียร มีสติ ฯลฯ แต่ผู้นำทางการเมืองของไทยเท่าที่มีให้เห็นยอมขาดศีลแต่ไม่ยอมขาดสิน ไม่มีสมาธิในการบำเพ็ญภาวนาแต่มีสมาธิในการโกงกิน เมื่อเกิดวิกฤตต่างๆ จึงไม่มีความหวั่นไหวใดๆ ในเมื่อมีเหตุการณ์แบบไหนๆ ก็โกงได้เหมือนเดิม
เมื่อผู้นำขาดปัญญา เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทุกปัญหาไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับประชาชนที่ต้องการเห็นการพัฒนาประเทศในทางที่ดีขึ้น เพราะปัญญาในมิติของผู้นำต่างมีเพื่อตัวเอง เพื่อพวกพ้อง การจะให้รู้จริงรู้แจ้งเพื่อแสวงหาการหลุดพ้นหรือเข้าใจถึงเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นเป็นไปไม่ได้เลย
จากการที่ผู้นำไทยขาดไตรสิกขาและไม่ได้พัฒนาการรับรู้นอกกรอบผลประโยชน์ของตนเองแล้ว ทำให้สังคมไทยไม่เพียงหันหลังเข้าคลอง แต่กำลังลงคลอง ด้วยสังคมไทยวันนี้ยังอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่มีการอธิบายแบบศรีธนญชัย ให้คนไทยรู้สึกซึมซับ และเฉื่อยชาต่อการต่อต้านพฤติกรรมที่ทำลายสังคมไทย อย่างการคอร์รัปชันที่เยาวชนไทยกว่า 73 เปอร์เซ็นต์บอกว่ารับได้ ถ้าตนเองได้รับผลประโยชน์ด้วย หรือรัฐบาลไหนๆ ใครมาก็โกงยอมรับมันเสียเถอะ ฯลฯ ซึ่งการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดๆ นี้ทำให้คนดีที่รักชาติบ้านเมืองอยากที่จะหลบหลีกปัญหาที่มาเผชิญหน้า หรือหนีข้อเท็จจริงที่ตามรังควาญจิตใจ ดังนั้นเพื่อการพาตัวเองให้หลุดรอดจากปัญหา นำพาสังคมให้หลุดพ้นจากวงจรชั่วร้ายนี้ คนดีคนกล้าในสังคมไทยต้องรวมตัวกันเข้าสู้ต่อความล้มเหลวที่สั่งสมมายาวนาน และมีสำนึกร่วมกันว่า
“การยอมจำนนต่อผู้นำที่โกงชาติ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ระบบชั่วดำรงอยู่ต่อไป แต่ยังเป็นการซ้ำเติม ร่วมทำลายสังคมที่ดีที่ยังมีอนาคต”