“ปิงปอง” ทนรู้สึกผิดไม่ไหว โผล่สารภาพทั้งน้ำตา เป็นคนขับรถชนคนตายสองศพ เจ้าตัวขอโทษทุกคนที่โกหก พร้อมขอโทษลุงคนขับที่โยนบาปให้ ลั่นยินดีรับผิดทุกอย่างตามกฎหมาย บอกที่ผ่านมาเป็นทุกข์มากวันนี้ได้พูดความจริงเหมือนได้ปลดบาปในใจ
ถือเป็นเรื่องที่ชวนช็อกให้กับหลายต่อหลายคนไม่น้อย สำหรับนักแสดงสาว “ปิงปอง สะแกวัลย์ ยงใจยุทธ” หลังเจ้าตัวออกมายอมรับว่าเธอเป็นคนขับรถเองในเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนที่ จ.ชลบุรี เมื่อปลายปีที่แล้ว จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 2 ศพ!
ทั้งนี้ อุบัติเหตุดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มของวันที่ 16 ธันวาคม 2554 หลังรถยนต์ที่นักแสดงสาวนั่งมาพร้อมกับ นายมิตรชัย เขียวชอุ่ม อายุ 47 ปี ได้ชนประสานงาเข้าอย่างจังกับรถปิกอัพคันหนึ่งบริเวณถนนสายบ้านชากนา-คลองสิบแปด หมู่ที่ 3 ต.เขาซก อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
หลังเกิดเหตุ จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ศพ คือ นายมิตรชัย คนขับรถของดาราสาว และนายบุญเชิด บุญนากร วัย 51 ปี เจ้าของรถปิกอัพ ขณะที่นักแสดงสาวนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกหักหลายแห่งก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี โดยจากการสอบสวนจากผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า รถยนต์ของดาราสาวนั้นขับมาด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นทางขับขึ้นเนินจึงมองไม่เห็นรถกระบะที่ขับสวนทางจึงชนกันอย่างจัง เป็นเหตุให้เกิดไฟลุกท่วมจนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากข่าวที่ออกมาในระยะแรกๆ หลายคนต่างเข้าใจว่า นายมิตรชัย ซึ่งเป็นคนขับรถของนักแสดงสาวนั้นเป็นผู้ขับรถจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ ทว่า ล่าสุดทางด้านของสาวปิงปองซึ่งมีอาการดีขึ้นกลับออกมาเปิดเผยกับรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ทางช่อง 3 ออกอากาศในวันนี้ (30 ม.ค.) โดยระบุว่าในวันนั้นตนเป็นคนขับรถดังกล่าวด้วยตนเอง
โดยนักแสดงสาวยังบอกอีกว่า สาเหตุที่ต้องออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้ก็เพราะทนไม่ได้กับความรู้สึกผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งกับลุงคนขับรถที่ต้องมากลายเป็นคนผิดแทนตนเอง และหากจะมีผลอะไรตามมานั้นตนก็พร้อมจะยอมรับ
“ตอนนี้อาการดีขึ้นในระดับนึง เรื่องที่อยากจะพูดวันนี้ก็คือคนที่ชนคือเราเอง ไม่ใช่คุณลุง หนูเป็นคนขับไม่ใช่คุณลุงที่เป็นคนขับ นี่คือตราบาปที่อยู่ในใจตัวหนูมาตั้งแต่เราฟื้นแล้ว เราพอจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นคุณลุงขับ ดีใจมากที่วันนี้ได้พูดสักทีที่ได้ไถ่บาปให้คุณลุง ที่เก็บมาถึงวันนี้เป็นเพราะด้วยอาการเราเองก็ยังไม่พร้อม จิตใจเราเองก็ยังไม่พร้อม เรารู้สึกผิดตลอดมา ไม่ใช่ว่าที่เราเก็บนั้นเราเก็บด้วยความรู้สึกดีนะ เขาต้องมารับแทนเรา ไม่มีใครรู้ความจริงว่าคนขับคือเราเพราะเรายังสลบอยู่ ทุกคนเข้าใจว่าคนขับรถยังไงก็ต้องเป็นคนขับ หนูไม่ได้ออกมาให้ปากคำเองเพราะเราก็เจ็บหนัก เรารอดตายมาได้ก็บุญแล้ว หลังจากที่สลบไปเกือบ 2วัน”
ยืนยันไม่ได้ตั้งใจปกปิดความจริง แต่เพราะตอนนั้นตนอาการสาหัส ทำให้ญาติเข้าใจว่าคนที่ขับน่าจะเป็นคุณลุงคนขับรถไม่ใช่ตน
“หลังจากนั้นพี่สาวมาถามว่าตกลงใครขับ เธอหรือคุณลุง เราก็บอกว่าเราขับ พี่สาวก็ตกใจบอกตายแล้ว พี่อ้อย จิรวดี เพิ่งให้ข่าวไปว่าเธอไม่ได้เป็นคนขับ ซึ่งเราขอแก้ข่าวแทนพี่อ้อยเลยว่าแกไม่รู้จริงๆ พี่อ้อยเองก็ยังเข้าใจว่าคนขับรถต้องเป็นคนขับ พี่อ้อยไม่ได้มีเจตนาจะบิดเบือนอะไรให้เลย แกก็เข้าใจตามนั้นจริงๆ”
“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้เลยค่ะ พี่สาวเราด้วยความที่เป็นแม่บ้านเขาก็กลัวว่าเราจะติดคุก กลัวไปหมด ตอนนั้นเองหนูร่างกายก็ไม่พร้อมด้วย บางวันก็เหมือนคนมีสติ บางวันก็ไม่มี บอกตรงๆ ตอนนี้ร่างกายเราก็ไม่เหมือนเดิม การมาพูดวันนี้ก็เหมือนเราได้ปลดบาปในใจของเราว่าเราเป็นคนขับไม่ใช่คุณลุง อย่าไปโทษคุณลุงเขาเลย ทางเรื่องค่าใช้จ่ายของบ้านคุณลุงไม่ต้องห่วงเพราะทางเจ้าของรถน่ารักมาก เขาก็รักเราเหมือนน้อง บอกเดี๋ยวแกจะดูแลเองทางนั้น แต่ทางครอบครัวของคู่กรณีเราก็จะเป็นคนรับผิดชอบ”
“ที่ไม่เก็บเพราะมันทรมาน มันเป็นบาปในใจเรา เรานอนไม่หลับ เพราะคิดอยู่ตลอดเวลา เราเองไม่ได้คิดจะปิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่รอเวลาที่เราพร้อม เราดีใจและโล่งใจที่ได้ออกมาพูดอย่างเป็นทางการเสียที ดีใจที่ได้ออกมาแก้ต่างขอโทษคุณลุงที่เขาเสียไป จริงๆ ก็มีคนห้ามนะไม่ให้เราพูด แต่มันก็ไม่ได้ เรายินดีทำทุกอย่างอะไรก็ได้ให้เรื่องทุกอย่ามันเคลียร์ เรายินดีรับทุกอย่างจะทำยังไงก็ได้ให้เรื่องราวมันจบ”
“พี่สาวก็กลัวว่าเราจะติดคุก เขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เราก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ วันที่เราฟื้นวันแรกว่าทำไมไม่พูดความจริงไป เพื่อนทุกคนก็รู้เพราะเราบอกทุกคนว่าเราผิด พี่สาวถามต่อหน้าเพื่อนๆ ทุกคนว่าใครขับ เราก็ยอมรับตรงนั้นว่าน้องขับเอง ฉันเป็นคนขับ ถามเพื่อนทุกคนก็ได้ว่าเราพูดอย่างนี้รึเปล่า”
“ฝากคุณป้าครอบครัวคุณลุงด้วยไม่ต้องห่วงนะคะหนูไม่ได้อยากจะบิดพลิ้วคดี หนูขอโทษด้วยนะคุณลุงที่ต้องมารับผิดแทนหนู คุณลุงไม่ต้องห่วงนะคะ คุณลุงหลับให้สบายค่ะ หนูเต็มใจรับทุกอย่าง และเตรียมใจไว้แล้ว จริงๆ เราเต็มใจที่ได้ออกมาพูด ให้หนูเก็บไว้อย่างนี้ไม่ตลอดชีวิตทนไม่ไหวหรอก เราเองอยู่ในสื่อมาก่อน ใครผิดอะไรเราก็พูดไปตรงๆ แล้ววันนึงจะให้เรามาทำอย่างนั้นเองมันไม่ได้ มันไม่ใช่นิสัยเรา”
“จริงๆ ถ้าเราไม่พูดมันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็จะมองเราในแง่ดีว่าน่าสงสารจัง แต่ตัวเรามันรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่รับไม่พอยังไปโยนให้คนอื่นอีกอย่างนี้ทำไม่ได้หรอก เราทำไม่ได้ มันเป็นตราบาปเราไปทั้งชีวิต เราดีใจมากที่วันนี้หนูได้ออกมาพูดสักที เดือนนึงที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้ เราคิดทุกวันเช้าเย็นไปชนเขาตายแล้วเขายังต้องมารับโทษแทนเรา มันก็เป็นบาปอยู่นั่นแหละ คุณลุงหนูไม่ได้ตั้งใจนะ มันเป็นอุบัติเหตุอย่าเกลียดอย่าโกรธหนูเลย หนูยินดีจะรับ หนูเป็นคนขับเองหนูยินดีทุกอย่างที่จะรับผิดชอบทุกสิ่งที่ทำ”
เผยหมอบอกต้องรักษาตัวอีก 3 เดือน ตอนนี้กำลังหัดเดิน บอกเครียดอยากออกจากโรงพยาบาลอาละวาดจนหมอให้พบจิตเวช
“แขนมันใช้งานไม่ได้ นี่ผ่านมาเดืนนึงแล้ว กระดูกหักสามท่อนต้องใส่เหล็กไว้ แล้วแขนก็จะร้อนอยู่ตลอดเวลา มันยืดไม่ได้ เป็นแค่ข้างเดียว ไหล่ก็บิด ขาก็เหมือนจะเดินไม่ค่อยได้ ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนจะหายรึเปล่าด้วย อวัยวะภายในก็หลุดเต็มไปหมดเลย มีปอด 2 ข้าง ซี่โครง 4 ซี่ ตับม้ามช้ำ ไตฉีก ก้นกบแตกละเอียด เบ้าสะโพกหัวเข่าแตก ขาทั้งสองข้างต้องเจาะกระดูกเพื่อจะดึงในส่วนที่มันแตกละเอียดนั้นประสานกัน แล้วก็ห้อยน้ำหนักไว้ 10กิโลกรัม อีกข้างไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มันก็เริ่มมีผลแล้ว อย่างตอนเริ่มหัดเดินหรือนอนนานๆ เราก็จะเจ็บเหมือนมันรับทุกอย่างๆ ไว้แค่ข้างเดียว”
“ถามคุณหมอทุกวันว่าทำหนูถึงเจ็บกระดูก เจ็บสะโพก ถามวนอย่างนี้ทุกๆ วันจนคุณหมอจะให้ไปพบจิตเวช คุณหมอบอกว่าต้องใช้เวลาอยู่อย่างนี้อีก 3เดือน แต่เราจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เพราะเราไม่ไหว เคลียร์ อยู่ไม่ได้ อยากเห็นโลกข้างนอก คนตายน่าจะเป็นเราไม่ใช่คุณลุง เราอยู่ไม่ได้จริงๆ หลายครั้งที่เราอาละวาดต้องขอโทษพยาบาลด้วยจริงๆ ขอโทษคุณหมอด้วย บางทีตี2ก็อาละวาดขอออก ก็โทรเรียกร่วมกตัญญูมารับ คุณหมอก็บอกว่าถึงขั้นนี้แล้วก็ให้ออก แต่ต้องไปพบจิตเวชก่อน”
“คิดอยู่ทุกวันว่าคนที่ตายไปทำไมไม่เป็นเรา คนที่อยู่รอดนี่ทรมานกว่าอีก ตอนอยู่ไอซียูไม่ได้คิดหรอกว่าจะเป็นอย่างนี้ พอมีสติก็คิดอยู่อย่างนี้มันทรมานนะ ทรมานมากด้วย คิดทุกวันทำไมเราไม่ตายๆ ไป น้ำอยู่ข้างหน้าเรา เรายังหยิบไม่ได้ ต้องให้คนอื่นมาหยิบให้เราดื่ม คิดถึงแต่ก่อนที่เราเคยทำอะไรได้ แล้วราก็เป็นคนไฮเปอร์มาวันนี้ต้องมารับสภาพตัวเองที่เป็นแบบนี้”
“นอนร้องไห้คนเดียวทุกวัน สงสารก็แต่พี่สาวหนูที่เขาต้องมาดูแลเรา เราตายก็คงจะดีเขาจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อย ตอนนี้ดีใจมากที่ได้พูด เรายินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทุกคนไม่ได้รับความเสียหายไม่ต้องห่วง จะรับหมดทุกอย่างไม่บิดพลิ้วแน่นอน”
ช่วงท้ายเจ้าตัวได้ฝากขอโทษทุกคนที่เคยโกหกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนขับรถ บอกวันนี้รู้สึกดีกับตัวเองแล้วที่ได้พูดความจริงออกไป
“แล้วอยากจะขอโทษพี่นก สินจัย พี่นก ฉัตรชัย เพราะเขาช่วยและเอ็นดูเรามาก เขาเองไม่รู้เรื่องพวกนี้ วันนี้ก็อยากจะบอกเขาพี่นกเองก็ถามว่าใครขับ แต่เราก็บอกไปว่าเป็นคุณลุง เราไม่ยอมพูดความจริง พอพี่นกเดินออกไปเราก็เครียด คิดตลอดว่าทำไมเราถึงไม่พูด ต้องขอโทษพี่จริงๆ และขอบคุณที่พี่ช่วยเหลือเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพี่ติที่พยายามคอยเตือนหนูอยู่ตลอดเวลาว่าเราควรจะทำในสิ่งที่ถูก และเพื่อนๆ น้องๆ ดาราทุกคนที่มาเยี่ยมขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้บอกความจริง”
“คือเวลาที่คนอื่นมาถามก็พยายามเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในช็อตที่ข้ามๆ คุณลุงไป แม้เพื่อนๆ จะถามถึง เหมือนเราเองก็พยายามโทษด้วย ตอนนี้เราพูดได้หมดแล้ว เราอยากพูด บางคนก็เอาไปพูดว่าเราเมา บางคนก็บอกว่าเราออกมาซื้อเบียร์ พอเบรกกองวันนั้นเรารับอาสาไปซื้อเค้กเอง แล้วต้องกลับไปถ่ายละครต่อตอน 4 โมงเย็นเราจะไปกินเหล้าทำไม เพราะจะดื่มก็ดื่มกลางคืนก็ได้เพราะยังไงก็ต้องมีเลี้ยงวันเกิดน้องในกองเขาอยู่แล้ว วันนี้ได้พูดแล้วก็เหมือนได้รักษาจิตใจ แม้จะไม่ได้มาก แต่ก็เยอะแล้วกับวันนี้”