กลุ่มไทย-ตปท.เล็งย้ายฐานเข้าแปดริ้ว เหตุเสี่ยงน้อย-น้ำไม่ท่วม

ฉะเชิงเทรา - เมืองแปดริ้วเนื้อหอม หลังน้ำไม่ท่วม ทำนักลงทุนเล็งแห่ย้ายฐานที่มั่นการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเข้าพื้นที่ จากที่มีความเสี่ยงน้อย ประธานสภาอุตฯแนะให้ภาครัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วม เผยต่างชาติยังไม่ถอย คาดภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่โตต่อเนื่อง

น.ส.อรพินท์ เสริมประภาศิลป์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวถึงกรณีโรงงานอุตสาหกรรมในย่านลุ่มน้ำภาคกลางส่วนใหญ่ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ ว่า สำหรับภาคอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่ได้รับผลกระทบหรือกระทบน้อยมาก เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดที่เป็นพื้นที่ของการประกอบกิจการด้านโรงงานอุตสาหกรรมไม่ถูกน้ำท่วม จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่จะมีปัญหาในด้านการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกันของบางอุตสาหกรรม ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนในการผลิตบางอย่างจากโรงงานที่อยู่ในพื้นที่ถูกน้ำท่วมบ้างเท่านั้น

“มั่นใจว่า ภาคอุตสาหกรรมและโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้”

ส่วนด้านการลงทุน จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเวลานี้ กลับส่งผลดีต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นอย่างมาก เพราะโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งที่ถูกน้ำท่วมในภาคกลาง มีการเตรียมแผนระยะยาวที่จะย้ายฐานการผลิตหรือที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาในพื้นที่ฉะเชิงเทรา ที่ไม่ถูกน้ำท่วม รวมทั้งกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกอีกหลายจังหวัดมากขึ้นด้วย

น.ส.อรพินท์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นักลงทุนจากต่างชาติรายใหม่ๆ ที่กำลังตัดสินใจลงทุนก็สามารถตัดสินใจในการเลือกที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้น และให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนยังในเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง ซึ่งไม่ถูกน้ำท่วมเป็นพิเศษ จึงส่งผลทำให้ภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ปกติแล้ว ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ภาคอุตสาหกรรมจะเติบโตอย่างต่อเนื่องมากอยู่แล้ว ถึงปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ และจากผลกระทบการเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง ยิ่งจะทำให้การเติบโตในภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดฉะเชิงเทราเติบโตมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวด้วย

น.ส.อรพินท์ กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ในพื้นที่แล้วกว่า 2,100 โรงงาน ในอนาคตอันใกล้นี้จึงคาดว่าจะมีโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันอยากจะฝากไปถึงรัฐบาล ว่า ขอให้เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติที่ขณะนี้ยังไม่ถอย ซึ่งตนมองเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้น รัฐบาลสามารถบริหารจัดการแก้ไขปัญหาได้ เนื่องจากประเทศไทยยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นจุดแข็ง ที่ช่วยยึดเหนี่ยวนักลงทุนไว้ได้ คือ อัธยาศัยไมตรีของคนไทย ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ที่อาจหาที่อื่นได้ยาก

ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลยังไม่เร่งกอบกู้สร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาโดยเร็ว ก็อาจจะเสียเปรียบต่อประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น ประเทศอินโดนีเซีย ที่การเมืองนิ่งกว่าเรามาอย่างยาวนานแล้วถึงกว่า 7-8 ปี จะเป็นสิ่งหนึ่งที่จะดูดนักลงทุนไปจากประเทศไทยได้