เอเอฟพี – พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ต่างโทษกันวุ่นว่าเป็นต้นเหตุการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปแผนลดยอดขาดดุลล่ม ทางด้านเอสแอนด์พีประกาศคงเรทติ้งสหรัฐฯ ที่ AA+ แต่เตือนถ้าคองเกรสล้มเลิกแผนจำกัดการใช้จ่ายที่ตกลงกันไว้แล้ว อาจทำให้เกิดความกดดันแง่ลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ขณะที่ฟิตช์ขอรอดูสถานการณ์ถึงปลายเดือน
แพตตี้ เมอร์เรย์ วุฒิสมาชิกเดโมแครต และเจ๊บ เฮนซาร์ลิง ส.ส.รีพับลิกัน ประธานร่วมของคณะกรรมาธิการพิเศษ (super committee) ของรัฐสภาสหรัฐฯ แถลงแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงลดยอดขาดดุลงบประมาณได้ เมื่อวันจันทร์ (21)
สมาชิกซูเปอร์ คอมมิตตี ที่ประกอบด้วยสมาชิกจากรีพับลิกันและเดโมแครตฝ่ายละ 6 คน พยายามครั้งสุดท้ายด้วยการประชุมลับหลังผ่านเที่ยงคืนวันอาทิตย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ความเคลื่อนไหวนี้ตอกย้ำการคาดการณ์อย่างกว้างขวางที่ว่า ภารกิจของคณะกรรมาธิการพิเศษในการลดยอดขาดดุลของสหรัฐฯ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี จะไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลท่ามกลางความแตกร้าวของสองพรรคการเมืองหลัก เกี่ยวกับการขึ้นภาษีคนรวยและการลดการใช้จ่ายด้านสังคม
ตลาดการเงินตอบรับข่าวนี้อย่างระมัดระวัง โดยที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียปิดลดลงเพียงเล็กน้อยในวันอังคาร (23) ขณะที่ตลาดหุ้นฟากยุโรปเปิดในแดนบวก
สำหรับดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 2.1% ในวันจันทร์ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวของซูเปอร์คอมมิตตี
เป็นที่คาดว่า ความล้มเหลวนี้จะกระตุ้นความไม่พอใจในหมู่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงก่อนที่ถึงการเลือกตั้งใหญ่ปลายปีหน้า ในเรื่องการแบ่งพรรคพวกในวอชิงตันจนกระทั่งปล่อยให้ปัญหาประเทศชาติค้างคา
ภายใต้กฎหมายในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นที่มาของคณะกรรมาธิการพิเศษชุดนี้ ความล้มเหลวของซูเปอร์คอมมิตตีนี้จะนำไปสู่การลดการใช้จ่ายภายในประเทศและการใช้จ่ายทางการทหารโดยอัตโนมัติตั้งแต่เดือนมกราคม 2013 เว้นแต่สมาชิกรัฐสภาเพิกถอนข้อกำหนดนี้ หรือมีทางเลือกอื่นในการลดยอดขาดดุลงบประมาณ
ทางด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ออกมาแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว กล่าวโทษว่า ความล้มเหลวนี้เป็นฝีมือของรีพับลิกันที่ ‘ไม่ยอมขยับเขยื้อน’ จากการคัดค้านแนวทางที่สมดุลที่กำหนดให้ตัดลดสวัสดิการทางสังคมในสัดส่วนเทียบเท่าการขึ้นภาษีคนรวย พร้อมเตือนว่าหากมีความพยายามในการเพิกถอนกลไกการลดการใช้จ่ายอัตโนมัติ เขาก็จะใช้อำนาจยับยั้ง
โอบามายังหวังว่า สภาจะบรรลุข้อตกลงได้ และพยายามฟื้นความมั่นใจของตลาดโดยกล่าวว่า แม้มีหนี้กว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ แต่สหรัฐฯ ไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ในระยะเวลาอันใกล้นี้แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ไว้ที่ AA+ แต่เตือนว่าถ้าสมาชิกสภาล้มเลิกแผนจำกัดการใช้จ่ายที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ อาจทำให้เกิดความกดดันแง่ลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ
ส่วนฟิตช์บอกว่า จะรอจนถึงสิ้นเดือนนี้เพื่อทบทวนเรทติ้งของตราสารหนี้สหรัฐฯ
ความล้มเหลวในการเสนอแผนลดยอดขาดดุลยังจุดชนวนสงครามปากระหว่างสองพรรค
มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของรีพับลิกันในวุฒิสภา โจมตีว่าสาเหตุมาจากการที่เดโมแครตยืนกรานอย่างน่าสงสัยให้เก็บภาษีผู้สร้างงานท่ามกลางวิกฤตการจ้างงาน
ด้านแฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของเดโมแครตในสภาสูง กล่าวหารีพับลิกันว่า ฟังแต่เสียงตะโกนในพรรคแทนที่จะฟังเหตุผล และพยายามหารางวัลแจกคนรวยบนความทุกข์ยากของชนชั้นกลาง
ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้การเจรจาล่มคือการที่รีพับลิกันปฏิเสธขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากคนรวยแลกเปลี่ยนกับการที่เดโมแครตยอมลดโครงการสวัสดิการสังคม
รีพับลิกันอ้างว่าการขึ้นภาษีดังกล่าวจะเหนี่ยวรั้งการลงทุนเพื่อสร้างงานในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจที่บอบบางต้องต่อสู้กับอัตราว่างงานที่ค้างเติ่งอยู่ที่ 9%
ด้านเดโมแครตปักหลักต่อสู้เพื่อขยายสวัสดิการการว่างงานและการลดภาษีเงินเดือนที่จะสิ้นสุดลงปลายปีนี้ ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือแรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาด้วยการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดย รีด เตือนว่า หากไม่สามารถต่ออายุมาตรการเหล่านี้อาจทำให้สหรัฐฯ กลับสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
นอกจากนั้น รีพับลิกันยังพยายามเพิกถอนกลไกการลดการใช้จ่ายด้านกลาโหมอัตโนมัติ โดยอ้างอิงคำกล่าวของรัฐมนตรีกลาโหม ลีออน พาเน็ตตา ที่เตือนว่ากลไกดังกล่าวจะทำให้กองทัพ ‘อืดอาด อ่อนแอ และเล็กลง’ กว่ายุคสมัยใดๆ นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำให้กองกำลังอเมริกันไม่สามารถคงภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้
แพตตี้ เมอร์เรย์ วุฒิสมาชิกเดโมแครต และเจ๊บ เฮนซาร์ลิง ส.ส.รีพับลิกัน ประธานร่วมของคณะกรรมาธิการพิเศษ (super committee) ของรัฐสภาสหรัฐฯ แถลงแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงลดยอดขาดดุลงบประมาณได้ เมื่อวันจันทร์ (21)
สมาชิกซูเปอร์ คอมมิตตี ที่ประกอบด้วยสมาชิกจากรีพับลิกันและเดโมแครตฝ่ายละ 6 คน พยายามครั้งสุดท้ายด้วยการประชุมลับหลังผ่านเที่ยงคืนวันอาทิตย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ความเคลื่อนไหวนี้ตอกย้ำการคาดการณ์อย่างกว้างขวางที่ว่า ภารกิจของคณะกรรมาธิการพิเศษในการลดยอดขาดดุลของสหรัฐฯ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี จะไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลท่ามกลางความแตกร้าวของสองพรรคการเมืองหลัก เกี่ยวกับการขึ้นภาษีคนรวยและการลดการใช้จ่ายด้านสังคม
ตลาดการเงินตอบรับข่าวนี้อย่างระมัดระวัง โดยที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียปิดลดลงเพียงเล็กน้อยในวันอังคาร (23) ขณะที่ตลาดหุ้นฟากยุโรปเปิดในแดนบวก
สำหรับดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 2.1% ในวันจันทร์ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวของซูเปอร์คอมมิตตี
เป็นที่คาดว่า ความล้มเหลวนี้จะกระตุ้นความไม่พอใจในหมู่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงก่อนที่ถึงการเลือกตั้งใหญ่ปลายปีหน้า ในเรื่องการแบ่งพรรคพวกในวอชิงตันจนกระทั่งปล่อยให้ปัญหาประเทศชาติค้างคา
ภายใต้กฎหมายในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นที่มาของคณะกรรมาธิการพิเศษชุดนี้ ความล้มเหลวของซูเปอร์คอมมิตตีนี้จะนำไปสู่การลดการใช้จ่ายภายในประเทศและการใช้จ่ายทางการทหารโดยอัตโนมัติตั้งแต่เดือนมกราคม 2013 เว้นแต่สมาชิกรัฐสภาเพิกถอนข้อกำหนดนี้ หรือมีทางเลือกอื่นในการลดยอดขาดดุลงบประมาณ
ทางด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ออกมาแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว กล่าวโทษว่า ความล้มเหลวนี้เป็นฝีมือของรีพับลิกันที่ ‘ไม่ยอมขยับเขยื้อน’ จากการคัดค้านแนวทางที่สมดุลที่กำหนดให้ตัดลดสวัสดิการทางสังคมในสัดส่วนเทียบเท่าการขึ้นภาษีคนรวย พร้อมเตือนว่าหากมีความพยายามในการเพิกถอนกลไกการลดการใช้จ่ายอัตโนมัติ เขาก็จะใช้อำนาจยับยั้ง
โอบามายังหวังว่า สภาจะบรรลุข้อตกลงได้ และพยายามฟื้นความมั่นใจของตลาดโดยกล่าวว่า แม้มีหนี้กว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ แต่สหรัฐฯ ไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ในระยะเวลาอันใกล้นี้แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ไว้ที่ AA+ แต่เตือนว่าถ้าสมาชิกสภาล้มเลิกแผนจำกัดการใช้จ่ายที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ อาจทำให้เกิดความกดดันแง่ลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ
ส่วนฟิตช์บอกว่า จะรอจนถึงสิ้นเดือนนี้เพื่อทบทวนเรทติ้งของตราสารหนี้สหรัฐฯ
ความล้มเหลวในการเสนอแผนลดยอดขาดดุลยังจุดชนวนสงครามปากระหว่างสองพรรค
มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของรีพับลิกันในวุฒิสภา โจมตีว่าสาเหตุมาจากการที่เดโมแครตยืนกรานอย่างน่าสงสัยให้เก็บภาษีผู้สร้างงานท่ามกลางวิกฤตการจ้างงาน
ด้านแฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของเดโมแครตในสภาสูง กล่าวหารีพับลิกันว่า ฟังแต่เสียงตะโกนในพรรคแทนที่จะฟังเหตุผล และพยายามหารางวัลแจกคนรวยบนความทุกข์ยากของชนชั้นกลาง
ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้การเจรจาล่มคือการที่รีพับลิกันปฏิเสธขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากคนรวยแลกเปลี่ยนกับการที่เดโมแครตยอมลดโครงการสวัสดิการสังคม
รีพับลิกันอ้างว่าการขึ้นภาษีดังกล่าวจะเหนี่ยวรั้งการลงทุนเพื่อสร้างงานในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจที่บอบบางต้องต่อสู้กับอัตราว่างงานที่ค้างเติ่งอยู่ที่ 9%
ด้านเดโมแครตปักหลักต่อสู้เพื่อขยายสวัสดิการการว่างงานและการลดภาษีเงินเดือนที่จะสิ้นสุดลงปลายปีนี้ ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือแรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาด้วยการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดย รีด เตือนว่า หากไม่สามารถต่ออายุมาตรการเหล่านี้อาจทำให้สหรัฐฯ กลับสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
นอกจากนั้น รีพับลิกันยังพยายามเพิกถอนกลไกการลดการใช้จ่ายด้านกลาโหมอัตโนมัติ โดยอ้างอิงคำกล่าวของรัฐมนตรีกลาโหม ลีออน พาเน็ตตา ที่เตือนว่ากลไกดังกล่าวจะทำให้กองทัพ ‘อืดอาด อ่อนแอ และเล็กลง’ กว่ายุคสมัยใดๆ นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำให้กองกำลังอเมริกันไม่สามารถคงภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้
