ASTVผู้จัดการรายวัน -"สุกำพล"ตั้ง"ธงทอง"ประธานสอบ"สุพจน์"ร่ำรวยผิดปกติ ให้เสร็จใน 30 วัน ด้าน ป.ป.ช.พร้อมอายัดเงินเพิ่ม หากตำรวจตามยึดได้อีก เตรียมเรียก"สุพจน์" มาให้ถ้อยคำ ปปง.ยันสอบการเงินทุกมิติ "ประพันธ์"ทีมปล้นเข้ามอบตัว ปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็น ปัดอมเงิน 9 ล้าน อ้างแค่พูดเล่น ขณะที่ตำรวจยืนยัน มีพยานหลักฐานชัดเจน
วานนี้(23 พ.ย.)พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว. คมนาคม เปิดเผยถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ร่ำรวยผิดปกติ ว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว มี นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยให้ดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นจะพิจารณาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ส่วนกรณีที่การสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า สายยางมัดเงินที่รัดของกลางนั้น ถูกเบิกมาจาก ธ.ทหารไทย เมื่อช่วงเดือน พ.ย. ปี 52 ทางกระทรวงคมนาคมจะต้องตรวจสอบย้อนไปหรือไม่ว่าในช่วงนั้นมีการอนุมัติเกี่ยวกับโครงการใดบ้าง พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.และคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจะพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายวานนี้ รมว.คมนาคม ได้เรียกประชุมด่วน หัวหน้าหน่วยงานเรื่องธรรมาภิบาล เพื่อกำชับให้ข้าราชการในสังกัด รักษาภาพลักษณ์การปฏิบัติหน้าที่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ส่งผลเสียต่อกระทรวงคมนาคมเป็นอย่างมาก
**"ธงทอง"เริ่มสอบศุกร์นี้
นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายสุพจน์ ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติว่า โดยระเบียบราชการต้องตั้งข้าราชการระดับเดียวกับผู้ที่ถูกกล่าวหา คือระดับซี 11 ขึ้นมาสอบ หากพบว่า มีความผิด ก็ต้องเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป โดยจะเชิญเจ้าตัวมาให้ข้อมูล คาดว่าจะเริ่มกระบวนตรวจสอบได้ภายในวันศุกร์นี้(25 พ.ย.) ทั้งนี้ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าต้องตรวจสอบแล้วเสร็จเมื่อไร ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระ แต่ก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
**ป.ป.ช.พร้อมอายัดเงินเพิ่ม**
นายอภินันท์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)กล่าวว่า หลังจากที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดเงินที่ถูกโจรกรรมไปจากบ้านของนายสุพจน์ ได้เพิ่มเติม ป.ป.ช.จะมีคำสั่งอายัดเงินดังกล่าวด้วย จากเดิมที่ได้มีคำสั่งอายัดไปแล้วจำนวน 16 ล้านบาท
นายอภินันท์ กล่าวว่า การไต่สวน ป.ป.ช.จะดูประเด็นการแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ในกรณีของนายสุพจน์ จะดูจากบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นมาทั้งหมด ส่วนกรณีร่ำรวยผิดปกติจะดูจากทรัพย์สินที่นายสุพจน์ ถูกโจรกรรมไปและจะได้กลับคืนมาว่าข้อเท็จจริงมีเงินเท่าใด มีการแสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้จะโยงกับเรื่องการปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ส่วนกรณีทุจริตก็จะพิจารณาจากการดำเนินการไต่สวนว่าหากข้อเท็จจริงพาดพิงไปถึงโครงการใดอย่างไรก็จะติดตามไปถึงโครงการนั้น
"กรณีการปกปิด แสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จมีอายุความ 5 ปี แต่ถ้ากรณีร่ำรวยผิดปกติไม่มีอายุความ และสำหรับกรณีการทุจริต หรือเรียกรับเงินสินบนมีอายุความ 15 ปีสูงสุด 20 ปี ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ที่คณะอนุกรรมการไต่สวนที่จะเริ่มดำเนินการสืบค้นเรื่อง ซึ่งอาจจะเชิญนายสุพจน์มาให้ถ้อยคำเองหรือไม่ทางอนุไต่สวนจะได้ดำเนินการต่อไป" นายอภินันท์ กล่าว
**ป.ป.ช.-ปปง. ถกที่มาของเงิน
นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในฐานะ ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีเงินสดในบ้านของนายสุพจน์ กล่าวว่า จะมีการประชุมวางแผนการทำงาน ส่วนการจะเรียกนายสุพจน์ มาให้ข้อมูลนั้น คงต้องเป็นในช่วงท้าย หรือภายหลังจากที่ได้พยานหลักฐานมาพอสมควรแล้ว
ส่วนการคุมตัวคนร้ายมาเป็นพยาน และกรณีผู้ร่วมกระทำผิดให้การเป็นประโยชน์ จนหาตัวการหลักมาเป็นพยานให้นำคดีขึ้นสู่ศาลได้ จึงจะเข้ากับกฎหมาย เช่นเดียวกับจำนวนเงินนั้น ยังไม่มีความชัดเจนตามที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่หนักใจในการทำคดีดังกล่าว แม้จะเป็นคดีใหญ่ จะทำงานอย่างยุติธรรม เป็นกลาง โดยถูกต้องตามกฎหมาย และไม่มีการกลั่นแกล้งใคร
ด้าน พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า แม้ ป.ป.ช.จะมีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนที่มาที่ไปของเงินสดจำนวนมากในบ้านของนายสุพจน์ แล้ว รวมทั้งจะใช้อำนาจตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ตรวจสอบธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องเอง แต่ ปปง.ยังมีหน้าที่ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่อรวบรวม และวิเคราะห์ธุรกรรมการเงิน เพื่อส่งให้ ป.ป.ช.ทั้งนี้ เนื่องจาก ป.ป.ช.อาจไม่มีความชำนาญ ทักษะ หรือเครื่องมือพิเศษในการตรวจวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เช่นเดียวกับ ปปง.
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปปง.ได้ประสานความร่วมมือใกล้ชิดกับตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน ทำให้มีข้อมูลในชั้นสอบสวนพอสมควร ในขั้นต่อไป จะเป็นการสืบสวนทางการเงิน ซึ่งรายละเอียดของวิธีการ ไม่สามารถ อธิบายหรือเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เนื่องจากการทำงาน ต่างจากตำรวจ และป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวถามถึงเงินของกลาง 15 ล้านบาท ซึ่งบางมัดมีสายรัดธนบัตรของธนาคารทหารไทย ที่เบิกมาตั้งแต่ปี 52 จะสอบสวนขยายผลอย่างไร พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า ปปง.จะสอบสวนทุกมิติทางการเงิน ไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงปึกเงินของกลางที่ปรากฏเท่านั้น แต่ยอมรับว่าเงินในปึกที่ไม่มีสายรัดธนบัตร จะสอบสวนถึงที่มาที่ไปได้ยากกว่า แต่คงไม่เกินความสามารถของ ปปง.
**มอบตัวเพิ่ม-ปัดอมเงิน 9 ล้าน**
ส่วนความคืบหน้าด้านคดี วันเดียวกันเวลา 13.30 น. ที่ บก.สส.บช.น. นายประพันธ์ หรือพันธ์ เรียงเครือ อายุ 42 ปี พร้อมด้วย นายประจวบ เรียงเครือ อายุ 59 ปี พี่ชาย ซึ่งเป็นทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผบช.น. เจ้าหน้าจึงนำตัวเข้าไปสอบสวนโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้น พล.ต.ต.อิทธิพล แถลงข่าวว่า นายประพันธ์ ได้เดินทางเข้ามอบตัว หลังถูกออกหมายจับพร้อมกับพี่ชายซึ่งเป็นทนายความ โดยไม่มีเงินสดที่อ้างว่ามีอยู่จำนวน 9 ล้านบาทมาด้วย เนื่องจากนายประพันธ์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีปล้นบ้านนายสุพจน์ แต่ยอมรับว่ารู้จักกับนายบุญสืบ จริงเนื่องจากทำงานอยู่ที่เดียวกัน
พล.ต.ต.อิทธิพล กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายประพันธ์ แต่ทางตำรวจก็ต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากตำรวจมีข้อมูลทั้งพยานบุคคล และพยานวัตถุที่เชื่อว่านายประพันธ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ไม่เช่นนั้นศาลคงไม่อนุมัติออกหมายจับให้ แต่คดีนี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อนจึงต้องสอบสวนอย่างรอบคอบ และต้องแถลงข่าวให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบ เพราะทุกคนยังสงสัยว่าจำนวนเงินที่ถูกปล้นไปมีเท่าไรแน่ จะได้ไม่ถูกครหา แต่จากการสอบปากคำผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้แล้วทั้งหมดให้การว่ามีเงินที่ปล้นไปนำมาแบ่งกัน 50 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ยอดทั้งหมดที่แท้จริงมีเท่าไรแน่ ต้องติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังถูกออกหมายจับอีก 3 คนให้ได้เสียก่อน ส่วนนายประพันธ์ เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา ร่วมกันปล้นทรัพย์ และรับของโจร หลังสอบปากคำเสร็จจะให้พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง มารับตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติม และควบคุมตัวไว้ ก่อนนำตัวไปฝากขังที่ศาลต่อไป
ด้านนายประพันธ์ กล่าวว่า ขอให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการปล้นในครั้งนี้ เพราะไม่เคยรู้จักกับพวกที่ถูกจับกุมและถูกออกหมายจับมาก่อน มีเพียงนายบุญสืบที่รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะทำงานอยู่แผนกสโตร์การบินไทยด้วยกัน วันเกิดเหตุ ก็วิ่งเรือรับจ้างอยู่ที่ อ.ลำลูกกา คลอง 3 ไม่ได้ไปไหน แต่ที่ก่อนหน้านี้ได้บอกตำรวจว่ามีเงินอยู่ที่ตัว 9 ล้านบาทนั้น เพราะคิดว่านายบุญสืบ โทรศัพท์มาอำ โดยหลังเกิดเหตุนายบุญสืบได้โทรศัพท์เข้ามาหาแล้วบอกว่า ให้เอาเงิน 9 ล้านบาทไปคืนเขาได้แล้ว จึงคิดว่านายบุญสืบ อำเล่นเลยตอบกลับไปว่า “เฮ้ยมีแค่ 8.5 ล้านบาทเท่านั้น” ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกออกหมายจับและพัวพันกับเรื่องดังกล่าว
นายประพันธ์ กล่าวว่า ต่อมามีโทรศัพท์เข้ามาอีก โดยสอบถามเรื่องเงิน ตนก็คิดว่าเป็นนายบุญสืบโทรศัพท์มาอำอีก จึงบอกไปว่ามีเงินอยู่ที่ตนเองและกำลังจะเอาเงินไปปล่อยกู้จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะมาทราบภายหลังว่าคนที่โทรมาหานั้นเป็นตำรวจไม่ใช่นายบุญสืบ จึงรีบปรึกษาพี่ชายซึ่งเป็นทนายความว่าจะทำอย่างไรดี จากนั้นได้ข้อสรุปว่า จะติดต่อขอมอบตัวสู้คดี ส่วนที่นายบุญสืบ ซัดทอดว่าตนมีส่วนรู้เห็นและมีเงินอยู่ที่ตัวนั้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงพูดอย่างนั้น ซึ่งตนก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับนายบุญสืบ มาก่อน ขอยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวซักถามนายประพันธ์ มีท่าทางตื่นเต้น และพูดจาติดขัด ก่อนจะให้พี่ชายซึ่งเป็นทนายความตอบคำถามแทนตลอด นอกจากนี้ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบปากคำนายประพันธ์ อยู่นั้น มีการนำหลวงพ่อโสธรทองคำขนาดใหญ่หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว มาตั้งไว้ตรงหน้านายประพันธ์ด้วย เนื่องจากนายประพันธ์ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองและกล้าที่จะสาบาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำพระพุทธรูปเข้ามาวางไว้ตรงหน้า พร้อมให้นายประพันธ์ กล่าวคำสาบานต่อหน้าพระพุทธรูปดังกล่าว
**ปูด 2 นักการเมืองซ่อนเงิน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยในฐานะโฆษกพรรค แถลงว่า ตนขอสนับสนุนกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (คค.) มีคำสั่งแต่งตั้งนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ และตนในฐานะประธานตรวจสอบ 172 โครงการของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จะตรวจสอบเรื่องนี้คู่ขนานกันไปอย่างใกล้ชิด เพราะตั้งข้อสังเกตว่าเงินดังกล่าวน่าจะมีที่มามิชอบและน่าจะเกี่ยวโยงกับโครงการเมกกะโปรเจ็กต์ ทั้งนี้ ทราบว่านักการเมืองอย่างน้อย 2 คนที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังกังวลกรณีที่นายสุพจน์ถูกสอบสวน จึงได้เตรียมขนย้ายเงินชนิดที่รถสิบล้อก็ขนไม่หมดด้วยวิธีการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เรากำลังจับจ้องคนเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อหาข้อมูลเชิงลึก หากความจริงปรากฏอาจถึงขั้นช็อกโลกก็ได้
วานนี้(23 พ.ย.)พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว. คมนาคม เปิดเผยถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ร่ำรวยผิดปกติ ว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว มี นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยให้ดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นจะพิจารณาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ส่วนกรณีที่การสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า สายยางมัดเงินที่รัดของกลางนั้น ถูกเบิกมาจาก ธ.ทหารไทย เมื่อช่วงเดือน พ.ย. ปี 52 ทางกระทรวงคมนาคมจะต้องตรวจสอบย้อนไปหรือไม่ว่าในช่วงนั้นมีการอนุมัติเกี่ยวกับโครงการใดบ้าง พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.และคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจะพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายวานนี้ รมว.คมนาคม ได้เรียกประชุมด่วน หัวหน้าหน่วยงานเรื่องธรรมาภิบาล เพื่อกำชับให้ข้าราชการในสังกัด รักษาภาพลักษณ์การปฏิบัติหน้าที่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ส่งผลเสียต่อกระทรวงคมนาคมเป็นอย่างมาก
**"ธงทอง"เริ่มสอบศุกร์นี้
นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายสุพจน์ ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติว่า โดยระเบียบราชการต้องตั้งข้าราชการระดับเดียวกับผู้ที่ถูกกล่าวหา คือระดับซี 11 ขึ้นมาสอบ หากพบว่า มีความผิด ก็ต้องเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป โดยจะเชิญเจ้าตัวมาให้ข้อมูล คาดว่าจะเริ่มกระบวนตรวจสอบได้ภายในวันศุกร์นี้(25 พ.ย.) ทั้งนี้ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าต้องตรวจสอบแล้วเสร็จเมื่อไร ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระ แต่ก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
**ป.ป.ช.พร้อมอายัดเงินเพิ่ม**
นายอภินันท์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)กล่าวว่า หลังจากที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดเงินที่ถูกโจรกรรมไปจากบ้านของนายสุพจน์ ได้เพิ่มเติม ป.ป.ช.จะมีคำสั่งอายัดเงินดังกล่าวด้วย จากเดิมที่ได้มีคำสั่งอายัดไปแล้วจำนวน 16 ล้านบาท
นายอภินันท์ กล่าวว่า การไต่สวน ป.ป.ช.จะดูประเด็นการแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ในกรณีของนายสุพจน์ จะดูจากบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นมาทั้งหมด ส่วนกรณีร่ำรวยผิดปกติจะดูจากทรัพย์สินที่นายสุพจน์ ถูกโจรกรรมไปและจะได้กลับคืนมาว่าข้อเท็จจริงมีเงินเท่าใด มีการแสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้จะโยงกับเรื่องการปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ส่วนกรณีทุจริตก็จะพิจารณาจากการดำเนินการไต่สวนว่าหากข้อเท็จจริงพาดพิงไปถึงโครงการใดอย่างไรก็จะติดตามไปถึงโครงการนั้น
"กรณีการปกปิด แสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จมีอายุความ 5 ปี แต่ถ้ากรณีร่ำรวยผิดปกติไม่มีอายุความ และสำหรับกรณีการทุจริต หรือเรียกรับเงินสินบนมีอายุความ 15 ปีสูงสุด 20 ปี ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ที่คณะอนุกรรมการไต่สวนที่จะเริ่มดำเนินการสืบค้นเรื่อง ซึ่งอาจจะเชิญนายสุพจน์มาให้ถ้อยคำเองหรือไม่ทางอนุไต่สวนจะได้ดำเนินการต่อไป" นายอภินันท์ กล่าว
**ป.ป.ช.-ปปง. ถกที่มาของเงิน
นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในฐานะ ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีเงินสดในบ้านของนายสุพจน์ กล่าวว่า จะมีการประชุมวางแผนการทำงาน ส่วนการจะเรียกนายสุพจน์ มาให้ข้อมูลนั้น คงต้องเป็นในช่วงท้าย หรือภายหลังจากที่ได้พยานหลักฐานมาพอสมควรแล้ว
ส่วนการคุมตัวคนร้ายมาเป็นพยาน และกรณีผู้ร่วมกระทำผิดให้การเป็นประโยชน์ จนหาตัวการหลักมาเป็นพยานให้นำคดีขึ้นสู่ศาลได้ จึงจะเข้ากับกฎหมาย เช่นเดียวกับจำนวนเงินนั้น ยังไม่มีความชัดเจนตามที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่หนักใจในการทำคดีดังกล่าว แม้จะเป็นคดีใหญ่ จะทำงานอย่างยุติธรรม เป็นกลาง โดยถูกต้องตามกฎหมาย และไม่มีการกลั่นแกล้งใคร
ด้าน พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า แม้ ป.ป.ช.จะมีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนที่มาที่ไปของเงินสดจำนวนมากในบ้านของนายสุพจน์ แล้ว รวมทั้งจะใช้อำนาจตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ตรวจสอบธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องเอง แต่ ปปง.ยังมีหน้าที่ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่อรวบรวม และวิเคราะห์ธุรกรรมการเงิน เพื่อส่งให้ ป.ป.ช.ทั้งนี้ เนื่องจาก ป.ป.ช.อาจไม่มีความชำนาญ ทักษะ หรือเครื่องมือพิเศษในการตรวจวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เช่นเดียวกับ ปปง.
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปปง.ได้ประสานความร่วมมือใกล้ชิดกับตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน ทำให้มีข้อมูลในชั้นสอบสวนพอสมควร ในขั้นต่อไป จะเป็นการสืบสวนทางการเงิน ซึ่งรายละเอียดของวิธีการ ไม่สามารถ อธิบายหรือเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เนื่องจากการทำงาน ต่างจากตำรวจ และป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวถามถึงเงินของกลาง 15 ล้านบาท ซึ่งบางมัดมีสายรัดธนบัตรของธนาคารทหารไทย ที่เบิกมาตั้งแต่ปี 52 จะสอบสวนขยายผลอย่างไร พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า ปปง.จะสอบสวนทุกมิติทางการเงิน ไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงปึกเงินของกลางที่ปรากฏเท่านั้น แต่ยอมรับว่าเงินในปึกที่ไม่มีสายรัดธนบัตร จะสอบสวนถึงที่มาที่ไปได้ยากกว่า แต่คงไม่เกินความสามารถของ ปปง.
**มอบตัวเพิ่ม-ปัดอมเงิน 9 ล้าน**
ส่วนความคืบหน้าด้านคดี วันเดียวกันเวลา 13.30 น. ที่ บก.สส.บช.น. นายประพันธ์ หรือพันธ์ เรียงเครือ อายุ 42 ปี พร้อมด้วย นายประจวบ เรียงเครือ อายุ 59 ปี พี่ชาย ซึ่งเป็นทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผบช.น. เจ้าหน้าจึงนำตัวเข้าไปสอบสวนโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้น พล.ต.ต.อิทธิพล แถลงข่าวว่า นายประพันธ์ ได้เดินทางเข้ามอบตัว หลังถูกออกหมายจับพร้อมกับพี่ชายซึ่งเป็นทนายความ โดยไม่มีเงินสดที่อ้างว่ามีอยู่จำนวน 9 ล้านบาทมาด้วย เนื่องจากนายประพันธ์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีปล้นบ้านนายสุพจน์ แต่ยอมรับว่ารู้จักกับนายบุญสืบ จริงเนื่องจากทำงานอยู่ที่เดียวกัน
พล.ต.ต.อิทธิพล กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายประพันธ์ แต่ทางตำรวจก็ต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากตำรวจมีข้อมูลทั้งพยานบุคคล และพยานวัตถุที่เชื่อว่านายประพันธ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ไม่เช่นนั้นศาลคงไม่อนุมัติออกหมายจับให้ แต่คดีนี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อนจึงต้องสอบสวนอย่างรอบคอบ และต้องแถลงข่าวให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบ เพราะทุกคนยังสงสัยว่าจำนวนเงินที่ถูกปล้นไปมีเท่าไรแน่ จะได้ไม่ถูกครหา แต่จากการสอบปากคำผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้แล้วทั้งหมดให้การว่ามีเงินที่ปล้นไปนำมาแบ่งกัน 50 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ยอดทั้งหมดที่แท้จริงมีเท่าไรแน่ ต้องติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังถูกออกหมายจับอีก 3 คนให้ได้เสียก่อน ส่วนนายประพันธ์ เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา ร่วมกันปล้นทรัพย์ และรับของโจร หลังสอบปากคำเสร็จจะให้พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง มารับตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติม และควบคุมตัวไว้ ก่อนนำตัวไปฝากขังที่ศาลต่อไป
ด้านนายประพันธ์ กล่าวว่า ขอให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการปล้นในครั้งนี้ เพราะไม่เคยรู้จักกับพวกที่ถูกจับกุมและถูกออกหมายจับมาก่อน มีเพียงนายบุญสืบที่รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะทำงานอยู่แผนกสโตร์การบินไทยด้วยกัน วันเกิดเหตุ ก็วิ่งเรือรับจ้างอยู่ที่ อ.ลำลูกกา คลอง 3 ไม่ได้ไปไหน แต่ที่ก่อนหน้านี้ได้บอกตำรวจว่ามีเงินอยู่ที่ตัว 9 ล้านบาทนั้น เพราะคิดว่านายบุญสืบ โทรศัพท์มาอำ โดยหลังเกิดเหตุนายบุญสืบได้โทรศัพท์เข้ามาหาแล้วบอกว่า ให้เอาเงิน 9 ล้านบาทไปคืนเขาได้แล้ว จึงคิดว่านายบุญสืบ อำเล่นเลยตอบกลับไปว่า “เฮ้ยมีแค่ 8.5 ล้านบาทเท่านั้น” ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกออกหมายจับและพัวพันกับเรื่องดังกล่าว
นายประพันธ์ กล่าวว่า ต่อมามีโทรศัพท์เข้ามาอีก โดยสอบถามเรื่องเงิน ตนก็คิดว่าเป็นนายบุญสืบโทรศัพท์มาอำอีก จึงบอกไปว่ามีเงินอยู่ที่ตนเองและกำลังจะเอาเงินไปปล่อยกู้จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะมาทราบภายหลังว่าคนที่โทรมาหานั้นเป็นตำรวจไม่ใช่นายบุญสืบ จึงรีบปรึกษาพี่ชายซึ่งเป็นทนายความว่าจะทำอย่างไรดี จากนั้นได้ข้อสรุปว่า จะติดต่อขอมอบตัวสู้คดี ส่วนที่นายบุญสืบ ซัดทอดว่าตนมีส่วนรู้เห็นและมีเงินอยู่ที่ตัวนั้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงพูดอย่างนั้น ซึ่งตนก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับนายบุญสืบ มาก่อน ขอยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวซักถามนายประพันธ์ มีท่าทางตื่นเต้น และพูดจาติดขัด ก่อนจะให้พี่ชายซึ่งเป็นทนายความตอบคำถามแทนตลอด นอกจากนี้ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบปากคำนายประพันธ์ อยู่นั้น มีการนำหลวงพ่อโสธรทองคำขนาดใหญ่หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว มาตั้งไว้ตรงหน้านายประพันธ์ด้วย เนื่องจากนายประพันธ์ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองและกล้าที่จะสาบาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำพระพุทธรูปเข้ามาวางไว้ตรงหน้า พร้อมให้นายประพันธ์ กล่าวคำสาบานต่อหน้าพระพุทธรูปดังกล่าว
**ปูด 2 นักการเมืองซ่อนเงิน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยในฐานะโฆษกพรรค แถลงว่า ตนขอสนับสนุนกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (คค.) มีคำสั่งแต่งตั้งนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ และตนในฐานะประธานตรวจสอบ 172 โครงการของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จะตรวจสอบเรื่องนี้คู่ขนานกันไปอย่างใกล้ชิด เพราะตั้งข้อสังเกตว่าเงินดังกล่าวน่าจะมีที่มามิชอบและน่าจะเกี่ยวโยงกับโครงการเมกกะโปรเจ็กต์ ทั้งนี้ ทราบว่านักการเมืองอย่างน้อย 2 คนที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังกังวลกรณีที่นายสุพจน์ถูกสอบสวน จึงได้เตรียมขนย้ายเงินชนิดที่รถสิบล้อก็ขนไม่หมดด้วยวิธีการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เรากำลังจับจ้องคนเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อหาข้อมูลเชิงลึก หากความจริงปรากฏอาจถึงขั้นช็อกโลกก็ได้