“ธงทอง” เริ่มสอบ “สุพจน์” รวยผิดปกติ ศุกร์นี้ “สุกำพล” ลั่นต้องจบใน 30 วัน พร้อมเรียกประชุมด่วนส่วนราชการ เพื่อถกด้านธรรมาภิบาลบ่ายวันนี้ หลังคดีฉาวที่เกิดขึ้น ได้สร้างภาพลักษณ์เสียหายต่อกระทรวงคมนาคม อย่างมาก
นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กล่าวว่า โดยระเบียบราชการต้องตั้งข้าราชการระดับเดียวกับผู้ที่ถูกกล่าวหา คือ ระดับซี 11 ขึ้นมาสอบ แต่ในส่วนนี้เป็นเพียงการพิจารณา ว่า จะต้องดำเนินการสอบวินัยกับนายสุพจน์ หรือไม่ หากตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีความผิด ก็ต้องเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป โดยจะมีการเชิญเจ้าตัวมาให้ข้อมูล โดยคาดว่าจะเริ่มกระบวนตรวจสอบได้ภายในวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2554 นี้
นายธงทอง กล่าวต่อว่า ไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าต้องตรวจสอบแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระ แต่ก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอวิจารณ์ตามที่หลายคนตั้งข้อสงสัยความผิดปกติของคดี เพราะจะกลายเป็นว่าคณะกรรมการมีการตั้งธงไว้แล้ว
พล.อ.อ.สฺกำพล สฺวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้ให้เวลาคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งขึ้น อย่างน้อย 30 วัน เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงคดี นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทวงคมนาคม ร่ำรวยผิดปกติ
“หลังจากตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี นายสุพจน์ ร่ำรวยผิดปกติ จะให้เวลาคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของกระทรวงคมนาคม ชุดที่มี นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ให้ดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นจะพิจารณาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจดำเนินการขั้นต่อไป”
ส่วนกรณีที่การสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.นั้น รมว.คมนาคม กล่าวว่า ให้เป็นอำนาจสอบสวนขององค์กรอิสระ
ส่วนกรณี สายมัดเงินที่รัดเงินของกลางนั้น ถูกเบิกมาจากธนาคารทหารไทย เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 นั้น จะทำให้กระทรวงคมนาคมต้องตรวจสอบย้อนไปหรือไม่ว่าช่วงนั้นมีการอนุมัติ เกี่ยวโครงการใดบ้าง พล.อ.อ.สุกำพล ระบุว่า จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.และคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
ขณะเดียวกัน ในช่วงบ่ายวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เรียกประชุมด่วนหัวหน้าหน่วยงาน เรื่องธรรมาภิบาล เพื่อกำชับข้าราชการในสังกัด ให้รักษาภาพลักษณ์การปฏิบัติหน้าที่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นขณะนี้ นับว่าส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์กระทรวงคมนาคมมาก