นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI เปิดเผยผลงานไตรมาส 3 ปี 54 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 13,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนและมีผลขาดทุนสุทธิ 2,965 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 34,967 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 6 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีผลกำไรสุทธิ 1,395 ล้านบาท
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งเป็นรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนและเศษเหล็กรวม 10,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34 % จากไตรมาส 2 ปี 54 โดยมีปริมาณขายรวม 414 พันตัน เพิ่มขึ้น 26 % ราคาขายเฉลี่ย 24,504 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้น 6 % ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มเพียง 4% จากไตรมาส 2 ปี 54 โดยมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้า (Premium Value Product) ประมาณ
41% เป็นผลจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นและมาตรการฉุกเฉินป้องกันการทุ่มตลาดของภาครัฐ รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยที่ปรับสูงขึ้นตามตลาดโลก นอกเหนือจากนี้เป็นรายได้จากธุรกิจโรงถลุงเหล็กและอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
" ด้วยการดำเนินภายใต้สองยุทธศาสตร์หลักของบริษัทฯ ทำให้บริษัทฯสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 13,439 ล้านบาท เช่นเดียวกับการประสบความสำเร็จในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนปริมาณสะสมครบ 25 ล้านตันเป็นรายแรกของประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกันบริษัทฯมีบันทึกกำไรจากการซื้อธุรกิจซึ่งเกิดขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ 5,271 ล้านบาท "
อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน บริษัทฯมีการตั้งสำรองจากภาระผูกพันตามสัญญาซื้อวัตถุดิบ 129 ล้านบาทเพื่อสะท้อนราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน และสำหรับธุรกิจโรงถลุงเหล็กซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการปรับปรุงโรงถลุงและยังไม่ได้มีการผลิตเหล็ก บริษัทฯจึงมีต้นทุนพิเศษในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการผลิต ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ดอกเบี้ยจ่าย รวมกันเป็นเงิน 2,316 ล้านบาท ซึ่งต้นทุนส่วนนี้จะกลายเป็นต้นทุนปกติหลังจากที่บริษัทเริ่มทำการผลิตเหล็กแท่ง
นายวินกล่าวถึง โครงการปรับปรุงโรงงานและเริ่มผลิตเหล็กแท่งแบนที่โรงงานสหวิริยาสตีลทีไซด์ ประเทศอังกฤษว่ามีความคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่องซึ่งได้ปรับกำหนดการเริ่มผลิตเป็นวันที่ 6 ม.ค. 55 เนื่องจากพบงานปรับปรุงเตาเผาอากาศที่ต้องทำเพิ่มเติม โรงงานแห่งนี้มีเป้าหมายการผลิตเหล็กแท่งแบน 3.3 ล้านตัน โดยการผลิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับ 3.6 ล้านตันต่อปีในไตรมาส 4 ปี 55 และจะยืนอยู่ในระดับนี้ต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางรายได้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทฯในอนาคต รวมทั้งบริษัทฯได้เริ่มโครงการเครนหน้าท่า PPC ซึ่งจะติดตั้งเครนขนาด 100 ตัน 2 ตัวที่หน้าท่าเรือประจวบ เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งจากการที่สามารถใช้เรือบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยโครงการนี้จะแล้วเสร็จเดือนเมษายน 55
" สำหรับภาวะอุตสาหกรรมเหล็กโลกและภายในประเทศนั้น แนวโน้มราคาแร่เหล็กและราคาเหล็กในไตรมาสที่ 4 มีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดในเดือนตุลาคม เนื่องจากนโยบายการควบคุมเงินเฟ้อและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนและปัญหาเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป สำหรับตลาดในประเทศถึงแม้ปริมาณการใช้เหล็กอ่อนตัวลงไปมากเนื่องจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่และกระทบกับยอดขายของบริษัทฯในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาโอกาสระยะยาว คาดว่ากิจกรรมภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจะทยอยฟื้นตัวหลังจากนํ้าลด และจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผลของงบประมาณรัฐบาลในการซ่อมแซมสาธารณูปโภคและฟื้นฟูอุตสาหกรรม คาดว่าผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทฯ จะมีความต้องการอย่างมากในระยะกลางและระยะยาว "
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งเป็นรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนและเศษเหล็กรวม 10,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34 % จากไตรมาส 2 ปี 54 โดยมีปริมาณขายรวม 414 พันตัน เพิ่มขึ้น 26 % ราคาขายเฉลี่ย 24,504 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้น 6 % ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มเพียง 4% จากไตรมาส 2 ปี 54 โดยมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้า (Premium Value Product) ประมาณ
41% เป็นผลจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นและมาตรการฉุกเฉินป้องกันการทุ่มตลาดของภาครัฐ รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยที่ปรับสูงขึ้นตามตลาดโลก นอกเหนือจากนี้เป็นรายได้จากธุรกิจโรงถลุงเหล็กและอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
" ด้วยการดำเนินภายใต้สองยุทธศาสตร์หลักของบริษัทฯ ทำให้บริษัทฯสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 13,439 ล้านบาท เช่นเดียวกับการประสบความสำเร็จในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนปริมาณสะสมครบ 25 ล้านตันเป็นรายแรกของประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกันบริษัทฯมีบันทึกกำไรจากการซื้อธุรกิจซึ่งเกิดขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ 5,271 ล้านบาท "
อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน บริษัทฯมีการตั้งสำรองจากภาระผูกพันตามสัญญาซื้อวัตถุดิบ 129 ล้านบาทเพื่อสะท้อนราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน และสำหรับธุรกิจโรงถลุงเหล็กซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการปรับปรุงโรงถลุงและยังไม่ได้มีการผลิตเหล็ก บริษัทฯจึงมีต้นทุนพิเศษในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการผลิต ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ดอกเบี้ยจ่าย รวมกันเป็นเงิน 2,316 ล้านบาท ซึ่งต้นทุนส่วนนี้จะกลายเป็นต้นทุนปกติหลังจากที่บริษัทเริ่มทำการผลิตเหล็กแท่ง
นายวินกล่าวถึง โครงการปรับปรุงโรงงานและเริ่มผลิตเหล็กแท่งแบนที่โรงงานสหวิริยาสตีลทีไซด์ ประเทศอังกฤษว่ามีความคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่องซึ่งได้ปรับกำหนดการเริ่มผลิตเป็นวันที่ 6 ม.ค. 55 เนื่องจากพบงานปรับปรุงเตาเผาอากาศที่ต้องทำเพิ่มเติม โรงงานแห่งนี้มีเป้าหมายการผลิตเหล็กแท่งแบน 3.3 ล้านตัน โดยการผลิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับ 3.6 ล้านตันต่อปีในไตรมาส 4 ปี 55 และจะยืนอยู่ในระดับนี้ต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางรายได้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทฯในอนาคต รวมทั้งบริษัทฯได้เริ่มโครงการเครนหน้าท่า PPC ซึ่งจะติดตั้งเครนขนาด 100 ตัน 2 ตัวที่หน้าท่าเรือประจวบ เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งจากการที่สามารถใช้เรือบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยโครงการนี้จะแล้วเสร็จเดือนเมษายน 55
" สำหรับภาวะอุตสาหกรรมเหล็กโลกและภายในประเทศนั้น แนวโน้มราคาแร่เหล็กและราคาเหล็กในไตรมาสที่ 4 มีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดในเดือนตุลาคม เนื่องจากนโยบายการควบคุมเงินเฟ้อและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนและปัญหาเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป สำหรับตลาดในประเทศถึงแม้ปริมาณการใช้เหล็กอ่อนตัวลงไปมากเนื่องจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่และกระทบกับยอดขายของบริษัทฯในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาโอกาสระยะยาว คาดว่ากิจกรรมภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจะทยอยฟื้นตัวหลังจากนํ้าลด และจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผลของงบประมาณรัฐบาลในการซ่อมแซมสาธารณูปโภคและฟื้นฟูอุตสาหกรรม คาดว่าผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทฯ จะมีความต้องการอย่างมากในระยะกลางและระยะยาว "
