ASTVผู้จัดการรายวัน-อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ร้อง "พาณิชย์"ทบทวนเก็บเซอร์ชาร์จกระดาษและกระดาษแข็งเคลือบ จาก 5 ประเทศ เกรงทำให้เกิดการผูกขาด และราคากระดาษในประเทศแพงขึ้น
นายทวีชัย เตชะวิเชียร ประธานสหพันธ์อุตสาหกรรมการพิมพ์ เปิดเผยว่า สหพันธ์ฯ ได้เรียกประชุมสมาชิก กรณีที่กรมการค้าต่างประเทศได้ประกาศเรียกเก็บเงินส่วนต่าง (เซอร์ชาร์จ) เบื้องต้นกับสินค้ากระดาษและกระดาษแข็งเคลือบที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่นและไต้หวัน ในอัตราที่แตกต่างกัน และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วนั้น และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) ซึ่งหากมีการประกาศอัตราเอดีไม่ว่าจะเป็นอัตราใดก็ตาม สหพันธ์ฯ เห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ทำให้ต้องปรับราคาสูงขึ้น ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้สิ่งพิมพ์ และเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการพิมพ์ทั้งระบบ
ขณะเดียวกัน จะทำให้เสียความสามารถทางด้านการแข่งขันกับต่างประเทศ จนทำให้ยอดการส่งออกสิ่งพิมพ์ที่เคยเติบโตอย่างต่อเนื่องมาหลายปี อาจต้องสะดุดและลดต่ำลง หรืออาจจะสูญเสียความเป็นผู้นำของการเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ของภูมิภาคอาเซียนได้ รวมทั้งยังเป็นการสวนทางกับนโยบายการสนับสนุนให้คนไทยรักการอ่านหนังสือด้วย
"เราเห็นว่าอาจจะเกิดความโกลาหลอันเนื่องมาจากการขาดแคลนกระดาษภายในประเทศ เพราะว่าผู้ผลิตกระดาษดังกล่าวรายเดียวของไทย ซึ่งคือผู้ร้อง ไม่สามารถผลิตกระดาษได้เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ และเกรงจะเกิดการผูกขาด เพราะผู้ร้องเป็นผู้ผลิตกระดาษชนิดที่ขอคุ้มครองแต่เพียงรายเดียวของประเทศ ซึ่งอาจจะปรับราคาสินค้าสูงขึ้นตามที่ตัวเองต้องการได้ตลอดเวลา โดยไม่สนใจสภาพหรือกลไกราคากระดาษที่แท้จริงของตลาดโลก"นายทวีชัยกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท เอสซี จี จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นคำร้องต่อกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขอให้เรียกเก็บเอดีสำหรับสินค้ากระดาษและกระดาษแข็งเคลือบนำเข้าจาก 5 ประเทศข้างต้น โดยให้เหตุผลว่าได้รับความเสียหายจากการทุ่มตลาด และคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ได้มีมติให้เปิดไต่สวนการทุ่มตลาดตามคำร้องขอไปแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนเพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงจากผู้ผลิตภายในประเทศ ผู้ส่งออกต่างประเทศ และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ซึ่งหากพบว่ามีการทุ่มตลาดและก่อให้เกิดความเสียหายจริง ก็จะประกาศเรียกเก็บอากรเอดีต่อไป
นายทวีชัย เตชะวิเชียร ประธานสหพันธ์อุตสาหกรรมการพิมพ์ เปิดเผยว่า สหพันธ์ฯ ได้เรียกประชุมสมาชิก กรณีที่กรมการค้าต่างประเทศได้ประกาศเรียกเก็บเงินส่วนต่าง (เซอร์ชาร์จ) เบื้องต้นกับสินค้ากระดาษและกระดาษแข็งเคลือบที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่นและไต้หวัน ในอัตราที่แตกต่างกัน และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วนั้น และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) ซึ่งหากมีการประกาศอัตราเอดีไม่ว่าจะเป็นอัตราใดก็ตาม สหพันธ์ฯ เห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ทำให้ต้องปรับราคาสูงขึ้น ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้สิ่งพิมพ์ และเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการพิมพ์ทั้งระบบ
ขณะเดียวกัน จะทำให้เสียความสามารถทางด้านการแข่งขันกับต่างประเทศ จนทำให้ยอดการส่งออกสิ่งพิมพ์ที่เคยเติบโตอย่างต่อเนื่องมาหลายปี อาจต้องสะดุดและลดต่ำลง หรืออาจจะสูญเสียความเป็นผู้นำของการเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ของภูมิภาคอาเซียนได้ รวมทั้งยังเป็นการสวนทางกับนโยบายการสนับสนุนให้คนไทยรักการอ่านหนังสือด้วย
"เราเห็นว่าอาจจะเกิดความโกลาหลอันเนื่องมาจากการขาดแคลนกระดาษภายในประเทศ เพราะว่าผู้ผลิตกระดาษดังกล่าวรายเดียวของไทย ซึ่งคือผู้ร้อง ไม่สามารถผลิตกระดาษได้เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ และเกรงจะเกิดการผูกขาด เพราะผู้ร้องเป็นผู้ผลิตกระดาษชนิดที่ขอคุ้มครองแต่เพียงรายเดียวของประเทศ ซึ่งอาจจะปรับราคาสินค้าสูงขึ้นตามที่ตัวเองต้องการได้ตลอดเวลา โดยไม่สนใจสภาพหรือกลไกราคากระดาษที่แท้จริงของตลาดโลก"นายทวีชัยกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท เอสซี จี จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นคำร้องต่อกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขอให้เรียกเก็บเอดีสำหรับสินค้ากระดาษและกระดาษแข็งเคลือบนำเข้าจาก 5 ประเทศข้างต้น โดยให้เหตุผลว่าได้รับความเสียหายจากการทุ่มตลาด และคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ได้มีมติให้เปิดไต่สวนการทุ่มตลาดตามคำร้องขอไปแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนเพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงจากผู้ผลิตภายในประเทศ ผู้ส่งออกต่างประเทศ และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ซึ่งหากพบว่ามีการทุ่มตลาดและก่อให้เกิดความเสียหายจริง ก็จะประกาศเรียกเก็บอากรเอดีต่อไป