xs
xsm
sm
md
lg

ประชาชนฟ้องรัฐคดีน้ำท่วม เพื่อไทยต้องหนุนไม่ใช่ขวาง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**ยังไม่ทันจะขยับ แค่คิดดังๆ ก็โดนพวกลิ่วล้อลูกสมุนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดิสเครดิตกันแล้ว
ในเรื่องที่จะมีประชาชนกลุ่มหนึ่งนำโดย นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อนและกลุ่มนักวิชาการนำโดย ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังดูความเป็นไปได้ในการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง รวมถึงเอาความผิดทั้งอาญา และแพ่ง
กรณีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารและตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องการป้องกันน้ำท่วม จนสร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนหลายล้านคน
แค่คิดและกำลังเตรียมการขยับ พรรคเพื่อไทยก็ส่ง พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคและส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก็ออกมาตีกันว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของนายศรีสุวรรณ และอาจารย์ณรงค์หวังผลทางการเมือง
มิหนำซ้ำ“เด็จพี่” ยังดำน้ำขุ่นๆ ว่าทำไมตอนสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 52-53 และเกิดแผ่นดินถล่มในภาคใต้ มีคนเสียชีวิตและเดือดร้อน แต่กลับไม่มีการฟ้องร้องแทนประชาชน มาครั้งนี้จะฟ้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งที่เป็นเรื่องน้ำท่วมเหมือนกัน
**โฆษกหน้าพลาสติกเลยบอกว่า เป็นการกระทำแบบสองมาตรฐาน
หลายคนรับรู้การตอบโต้ของโฆษกพรรคเพื่อไทยแล้ว จากเดิมที่อาจเฉยๆ กับเรื่องการฟ้องร้องดังกล่าว พอได้ยินแบบนี้เลยของขึ้น จากที่ไม่เคยคิดจะเอาเรื่อง ก็คิดอยากขอร่วมเป็นโจทก์ และผู้ร้องร่วมต่อศาลเอาด้วยซ้ำ
เพราะแม้กรณีน้ำท่วมภาคใต้ปี 53 กับน้ำท่วมปี 54 จะเป็นอุทกภัยเหมือนกัน แต่ความสูญเสียและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่นำมาสู่เหตุอุทกภัยแตกต่างกันอยู่มาก
ซึ่งในอุทกภัยที่เลวร้ายที่สุดในไทยครั้งนี้ เป็นผลจากการกระทำของคนที่อยู่ในอำนาจรัฐทั้งข้าราชการและนักการเมือง ร่วมกันกระหน่ำซ้ำเติมให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแจ้งเตือนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ถึงปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ต่อกรมชลประทานในช่วงรอยต่อที่รัฐบาลเพื่อไทย กำลังเข้าบริหารประเทศ
โดยที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้วสามารถตัดสินใจในเรื่องการระบายน้ำได้ทันทีเพื่อไม่ให้น้ำท่วม หรืออาจท่วมแต่ก็ไม่รุนแรงเท่านี้ เมื่อน้ำไหลบ่าผ่านทางมาจากภาคเหนือสู่ภาคกลาง น้ำท่วมรุนแรงมาตลอดทางก็ไม่เคยเตรียมการใดที่จะป้องกันปัญหาจากหนักให้เป็นเบา แต่กลับละเลย เพิกเฉยไม่เอาเรื่อง แต่พอน้ำจ่อกรุงเทพฯ ก็บอกว่า “เอาอยู่” แล้วก็เกิดสภาพอย่างที่เห็น น้ำท่วมทั่วทั้งเมืองหลวง ยกเว้นไม่กี่เขตพื้นที่
เกิดความสูญเสียต่างๆ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ของประชาชนและภาคธุรกิจมากมายมหาศาลเกินกว่าจะนับคำนวณได้แน่ชัดในเวลานี้ เพราะทุกอย่างยังไม่จบ ก้อนน้ำมวลใหญ่ระลอกใหม่กำลังจะโถมเข้ามา ถ้าบิ๊กแบ็กเอาไม่อยู่ ด้วยประการใดๆไม่ว่าจะคนเหนือคันกั้นเข้ามารื้อ หรือแนวบิ๊กแบ็กพ่ายต่อพลังน้ำ สถานการณ์น้ำท่วมก็จะรุนแรงแซงโค้งที่เป็นอยู่ในวันนี้ที่ว่าหนักแล้วก็จะหนักกว่านี้หลายเท่า
ดังนั้นเมื่อเทียบแล้ว สมัยน้ำท่วมปี 53 ก็ไม่รุนแรงเท่านี้ ความพินาศที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
หลายคนก็เห็นแล้วว่า หากได้รัฐบาลและผู้นำประเทศที่มีการบริหารจัดการที่ดี แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติและเหตุสุดวิสัยในการรับมือ จำเป็นต้องปล่อยน้ำให้เข้าพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครเพื่อระบายน้ำลงทะเล และแม่น้ำเจ้าพระยา แต่รัฐบาลย่อมมีวิธีซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายรุนแรงแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ ถ้าประชาชนมีรัฐบาลที่มีวุฒิภาวะสติปัญญาในการแก้ปัญหา ตัดสินใจและวางแผน
** ยิ่งหากรัฐบาลเพื่อไทย มั่นใจว่า ต้นตอของเรื่องนี้ เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารระบบการจัดเก็บและระบายน้ำในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนอย่างที่ส.ส.เพื่อไทยทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-วรชัย เหมมะ –สถาพร มณีรัตน์ พากันลุกขึ้นอภิปรายปกป้องยิ่งลักษณ์
และถึงขั้นบอกว่า เป็นแผนของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในช่วงการเป็นรัฐบาลรักษาการที่เก็บน้ำเอาไว้ในเขื่อนจำนวนมาก เพื่อไว้รอสร้างปัญหาในช่วงรัฐบาลเพื่อไทย คนจะได้เดือดร้อน ประชาชนลำบากจนอยู่ไม่ได้ จะออกมาขับไล่รัฐบาลเพื่อไทย ตอนเดือนธันวาคม ตามจินตนาการสร้างเรื่องเพ้อฝันของส.ส.เพื่อไทย ที่ยิ่งกว่าปั้นน้ำเป็นตัว
หากมั่นใจในข้อมูลเรื่องรัฐบาลประชาธิปัตย์วางยาเพื่อไทยเก็บกักน้ำเอาไว้ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ก็ยิ่งที่เพื่อไทย และนายกรัฐมนตรี ต้องแสดงท่าทีสนับสนุนการฟ้องร้องของประชาชน เอาผิดฐานทำละเมิดกับหน่วยงานรัฐด้วยซ้ำ
จะได้เคลียร์กันไปให้เห็นดำเห็นแดง เพราะการพูดไปมาในสภาฯ มันไม่มีน้ำหนักอะไร ก็แค่เกมการเมือง ฝ่ายค้านก็อัดรัฐบาล รัฐบาลก็ปกป้องนายกรัฐมนตรี แล้วก็โยนขี้ฝ่ายค้าน อภิปรายกัน 4-5 วัน ปิดสภาฯ ก็แล้วกันไป กลับบ้านใครบ้านมัน ประชาชนก็ไม่รู้ความจริง ว่า ใครกันแน่ เป็นต้นเหตุของปัญหาน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้
เพราะไอ้ที่ ส.ส.ทั้งรัฐบาล –ฝ่ายค้าน ยืนอภิปรายแล้วทำเป็นถือเอกสารบอกว่ามีหลักฐานสำคัญเรื่องน้ำท่วม ทำหน้าตาขึงขัง หวังสร้างความน่าเชื่อถือแล้วอ่านไปเรื่อย ก็ไม่รู้เป็นเอกสารเปล่าหรือข่าวหนังสือพิมพ์เอามาอ่าน ไม่ได้มีเอกสารข้อมูลอะไรทั้งสิ้น
**หากต้องการให้ความจริงถูกชำระล้าง จะได้รู้กันว่าใครหน้าไหน ทำความวิบัติให้แผ่นดินครั้งใหญ่ ก็ควรต้องไปสู้กันในศาล พิสูจน์ความจริงกันไปเลยดีกว่า
จะได้เอาความจริงทั้งหมดทั้งจากฝ่ายรัฐบาล-ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.)-กรมชลประทาน-การไฟฟ้าฝายผลิตแห่งประเทศไทย –ฝายประชาธิปัตย์-ส.ส.เพื่อไทย รวมถึงข้อมูลจากภาคประชาชน และผู้ประสบภัย ไปต่อสู้คดีกันในชั้นศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล ก็จะเป็นการเปิดเวทีให้พิสูจน์ความจริง ถ้าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลอภิสิทธิ์จริง แม้อภิสิทธิ์ จะไม่ใช่ผู้ถูกร้อง แต่ข้อมูลต่างๆ ก็ต้องมีการเปิดเผย และสู้กันในศาล ที่อาจมีหลายเรื่องที่ประชาชนไม่เคยรับรู้ ก็จะได้รู้กันไปเลย ส่วนนายอภิสิทธิ์ ก็ต้องนำข้อมูลมายันกันในศาลให้ถึงที่สุด
หลายเรื่องความจริงจะได้กระจ่าง เช่นวิธีการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ตั้งแต่วันแรกที่มีอุทกภัย จนถึงวันที่กรุงเทพมหานครจมบาดาล รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำงานอย่างไร ล่าช้าและตัดสินใจผิดพลาดจริงหรือไม่ หรือข้อมูลการกักเก็บน้ำ และการระบายน้ำของกรมชลประทาน มีเรื่องการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ก็น่าจะได้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันในชั้นศาล
ซึ่งดีกว่าที่จะมานั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอะไรให้ยุ่งยากเสียเวลา เพราะหากรัฐบาลใช้วิธีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง สังคมก็ต้องกังขาอีกว่า จะเชื่อถือได้หรือไม่ จะทำงานเป็นกลางหรือไม่ จะสอบสวนนานแค่ไหน และจะหาแพะรับบาปแทนพวกนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงหรือไม่ อย่างไร
ก็ควรให้ ศาล เป็นที่พึ่งของประชาชนในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดีกว่า เพื่อจะได้ให้เรื่องนี้เป็นคดีตัวอย่าง คดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นที่สนใจของประชาชนและศาลปกครองทั่วโลกแน่นอน
เพราะหากผลการพิจารณาคดีออกมา ไม่ว่าจะออกมาแบบไหน มันก็จะเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยต่อไป
ว่าการเป็นรัฐบาล และคัดเลือกคนเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่สักแต่อ้างว่าได้รับเลือกตั้งมา พรรคส่งมาเป็นรัฐมนตรี เสียงข้างมากโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็จบ
จะเอาหมูหมากาไก่ที่ไหนมาเป็นรัฐมนตรีบริหารประเทศก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถและความเหมาะสมในการทำงาน
ครั้นพอมีเรื่องใหญ่ประเทศเกิดปัญหา รัฐมนตรีที่ไม่ได้มีความรู้ ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะมาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่ตัวเองนั่ง แต่ได้เป็นรัฐมนตรีเพราะจ่ายเงินให้พรรค หรือได้ตามโควต้า ทำงานถูกใจผู้มีอำนาจในพรรค ก็ทำงานแก้ไขปัญหาไม่ได้ วางแผนรับมือกับปัญหาผิดพลาด
** ผลก็คือ ประชาชนต้องรับกรรมจากการทำงานของนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี และรัฐบาลเฮงซวยเหล่านี้
** จึงควรอย่างยิ่งที่หากประชาชน ผู้ประสบภัย ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมจากน้ำท่วมครั้งนี้ จะเคลื่อนไหวทำเรื่องนี้แบบจริงจัง ไม่ว่าสุดท้ายยื่นฟ้องไปแล้ว กระบวนการจะจบลงแบบไหนก็ตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น