xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

หมดเวลานายกฯ สมองกลวง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พี่ดูไบ น้องดูโง่-ภาพประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนำถุงอีเอ็มบอลเตรียมใส่บาตรพระด้วยความไร้เดียงสา จนพระต้องรีบปิดฝาบาตรแล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนแทน ขณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วัดไผ่เขียว  ตลาดโกสุมรวมใจ หมู่บ้านบูรพา 7  เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คงจะไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า ในยุคที่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี คือยุคที่ประชาชนชาวไทยได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากมหาอุทกภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ขณะที่ประเทศชาติก็พินาศย่อยยับและฉิบหายชนิดไม่สามารถประเมินค่าได้

และถ้าหากถามว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยคนนี้มี “ความโดดเด่น” ที่ตรงไหนบ้าง เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ขณะที่หลายคนอาจจะทำหน้างงๆ เพราะคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่า เธอมีคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสมสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน

ยิ่งเมื่อประเทศชาติต้องเผชิญหน้ากับมหาอุทกภัย เราก็ยิ่งได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์มากขึ้นเป็นลำดับ

ไร้เดียงสา...
ขาดภาวะผู้นำ...
ฯลฯ

แน่นอน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สาเหตุที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยนั้น มีเหตุผลเพียงประการเดียวคือ เธอเป็นน้องสาวของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง และ นช.ทักษิณก็ไม่ไว้ใจใครให้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้นอกเสียจากน้องในไส้สุดที่รักของตัวเอง

ด้วยเหตุดังกล่าว เส้นทางในการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเธอจึงโรยด้วยกลีบกุหลาบ มิได้ใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองในการต่อสู้ดิ้นรน เพราะมีคนเตรียมการใส่พานเอาไว้ให้พร้อมสรรพเรียบร้อย

กล่าวคือ หลังจากที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติเลือก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เส้นทางในการเถลิงอำนาจของเธอก็เป็นไปอย่างราบรื่นและในท้ายที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมใจผู้เป็นพี่ชาย

เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีผู้มาประเคนตำแหน่งให้แทบเท้าโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร

เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยมีประวัติการทำงานการเมือง ทำงานเพื่อสังคมหรือทำงานเพื่อประเทศชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงทำอะไรไม่เป็น แถมคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลของเธอแต่ละคนยังเป็นรัฐมนตรีแถวสามแถวสี่ของระบอบทักษิณที่มิได้มีฝีไม้ลายมือเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่เมื่อเกิดวิกฤตน้ำท่วม คณะรัฐบาลชุดนี้จึงตกอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย” ที่ทำอะไรไม่เป็น

ที่สำคัญ สิ่งที่สังคมต้องไม่ลืมก็คือ นอกจากโคลนนิงผู้พี่จะมีประกาศิตให้เธอเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแล้ว แรงผลักประการสำคัญที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็คือ การก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองของ “คนเสื้อแดง” เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ผู้ “ดีแต่พูด”

ดังนั้น เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เถลิงอำนาจมาด้วย “ไฟ” นายห้างตราดูไบจึงจำเป็นที่จะตอบแทนบรรดาหัวหมู่ทะลวงฟันและแกนนำคนเสื้อแดงผู้จุดไฟเผาบ้านเผาเมืองด้วยตำแหน่งสำคัญๆ มากมาย ทั้งในรัฐบาล ทั้งในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ รวมกระทั่งถึงในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่เอาอ่าว

ทั้งนี้ เมื่อผู้นำรัฐบาลคือตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เองก็มิได้มีความสามารถ และเป็นเพียงหุ่นเชิดให้พี่ชายชี้นิ้วสั่งการ ดังนั้น ทุกครั้งที่เธอออกมาสื่อสารกับประชาชน จึงเป็นไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ ข้อมูลไม่ชัดเจน ประชาชนเกิดความสับสนกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น เพราะคำพูดของเธอไม่อยู่กับร่องกับรอย

ที่สำคัญคือ สถานการณ์น้ำท่วมได้เริ่มก่อตัวทั่วประเทศตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม และก้าวเข้าสู่ภาวะระดับวิกฤตในเดือนกันยายน แต่ก็มิได้มีความเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารจัดการแต่อย่างได้ กระทั่งเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงเดือนตุลาคม นายกฯ ยิ่งลักษณ์จึงเพิ่งตื่นจากภวังค์และจัดตั้ง ศปภ.ขึ้นที่ดอนเมือง

จากนั้น เธอก็อ่านสคริปต์ที่มีคนเขียนให้และประกาศออกมาอย่างหน้าตาเฉยด้วยวลีที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยทั้งประเทศจดจำได้ดี “เอาอยู่ค่ะ” กับกรณีที่น้ำกรีธาทัพบุกนิคมอุตสาหกรรมนวนคร แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะเพียงชั่วข้ามคืน กองทัพน้ำก็บุกถล่มนวนครราบเป็นหน้ากลอง

ขณะที่การแถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งโฆษกน้ำยาขัดส้วมชื่อ “วิม” ก็ยิ่งทำให้สังคมเกิดความสับสนและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลทำให้ประชาชนหันไปพึ่งพิงข้อมูลผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์แทน

วอลล์สตรีทเจอร์นัลได้นำเสนอบทความชื่อ “Thai Turn to Social Media for Flood Updates” ว่า ประชาชนชาวไทยต่างเบื่อหน่ายกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งให้ข้อมูลแสนสับสนหรือเสนอรายงานที่ขัดแย้งกันเองภายในหน่วยงาน บางครั้งแถลงว่า ระดับน้ำกำลังลดลง แต่มวลน้ำกลับไหลทะลักกินบริเวณกว้างขึ้นในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายสังคมออนไลน์จึงกลายเป็นสื่อที่รายงานข้อมูลได้รวดเร็วที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในบางกรณี

ยิ่งนานวัน คนไทยก็ยิ่งเห็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยผู้นี้มากขึ้น ทั้งการใช้คนที่ไม่เหมาะสมกับงาน ดังกรณีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานศูนย์ ศปภ. ทั้งๆ ที่ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่คุมผู้ว่าราชการจังหวัด และควบคุมองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งประเทศ

ขณะที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองก็พิกลพิการเพราะนอกจากจะไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย พูดจาวกวนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แถมยังพูดจาโชว์รอยหยักในสมองอย่าง เรือดำน้ำ-เรือดันน้ำ หญ้าแพรก-หญ้าแฝก ให้เป็นที่ตลกขบขันกันทั้งบ้านทั้งเมือง

นอกจากนี้ เมื่อตอบคำถามไม่ได้ก็ใช้วิธีปิดปากเดินหนีนักข่าว จากนั้นก็ได้ส่งคนใกล้ชิดมาชี้แจงว่า เหตุที่นายกฯ ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ไม่ใช่เป็นเพราะงอนที่ถูกสื่อจี้ถามหลายๆ คำถาม แต่งอนผู้สื่อข่าวบางคนที่ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเกินไปโดยไม่ยิ้มแย้มแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้อำนาจสั่งการที่แท้จริงอีกต่างหาก

กรณีประตูระบายน้ำคลองสามวาคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะแม้กระทั่ง “นายวิชาญ มีนชัยนันท์” ผู้เป็นแค่เพียง ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็สามารถเอาใจม็อบด้วยการใช้อำนาจสั่งเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาสูงขึ้นอีก 1 เมตร ทั้งๆ ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เพิ่งยืนยันกับสื่อมวลชนไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าว่า ปัญหาม็อบคลองสามวาจบแล้ว โดยรัฐบาลจะเปิดให้ 80 ซม.

แถมสุดท้ายก็มิได้มีความเด็ดขาดในการควบคุมฝูงชนที่ไปพังคันดินข้างประตูระบายน้ำคลองสามวา จนทำให้ประตูระบายน้ำแห่งนี้หมดสภาพที่จะควบคุมน้ำได้ในฉับพลันทันที จน กทม.ต้องเร่งรีบประสานงานในการซ่อมแซมในทันที และนั่นส่งผลทำให้ทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ต้องตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 นิคมอุตสาหกรรมที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ในขณะนี้ นั่นคือนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย และนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิสุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับสนามบินดอนเมืองอีกต่างหาก

รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวเพราะเป็นเพียงหุ่นเชิดซึ่งมีผู้มีอำนาจที่เหนือกว่าสั่งการแทนได้

แน่นอน ชาวบ้านที่ทนทุกข์อยู่กับน้ำท่วมขังและทนไม่ไหวจนเกิดม็อบกดดันย่อมไม่ใช่ผู้ผิด เพราะพวกเขาได้รับความเดือดร้อนจริง แต่คนที่ผิดก็คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มิมีปัญญาในการเจรจา มิมีปัญญาในการบริหารจัดการและช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านั้นให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงของปัญหา

อีกตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ประกาศยืนยันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า มวลน้ำใหญ่ไม่มีแล้ว แต่กระทั่งถึงวันที่ 3 พ.ย. ภาพที่สังคมได้เห็นก็คือการรุกคืบของมวลน้ำที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งธนบุรีที่น้ำท่วมรุกเข้าไปถึงย่านบางแค ด้านถนนพหลโยธินที่น้ำท่วมบุกมาถึงเมเจอร์รัชโยธิน เช่นเดียวกับถนนวิภาวดีรังสิต ที่มวลน้ำทะลุทะลวงมาถึงวัดเสมียนนารี และกำลังรวมตัวกันถล่มห้าแยกลาดพร้าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงกลายเป็น “ตัวตลก” ของประชาชนที่ไม่มีใครให้ความเชื่อถืออีกต่อไป

ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงยืนยันว่า ใจความสำคัญที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายผ่านทางสไกป์ (Skypeโปรแกรมสำหรับคุยโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต) โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมปรึกษาด้วยนั้น มิได้อยู่ที่แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม หากแต่อยู่ที่ประโยคเด็ดที่ว่า “ไม่อยากเป็นนายกฯ แล้ว พี่แม้วขา”

หรือหมายความว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถอดใจในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเอาเสียดื้อๆ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเมื่อผู้เป็นพี่ชายชักแม่น้ำทั้ง 5 อ้อนวอนขอให้ประคับประคองรัฐบาลนี้ต่อไป

ประกอบกับขุนพลที่อยู่รอบกายก็มิได้มีความสามารถสมกับเก้าอี้ที่ได้รับ เพราะการเลือกคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมิได้มองที่ความสามารถ หากแต่มุ่งใช้คนที่สามารถตอบสนองคำสั่งและช่วยเหลือนายใหญ่ดูไบให้เหยียบแผ่นดินไทยได้อีกครั้ง จึงทำให้รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วง หรือแม้กระทั่งบรรเทาปัญหามิให้หนักหนาสาหัสไปกว่าที่เป็นอยู่ก็ยังทำไม่ได้

ดังนั้น กลไกต่างๆ ของรัฐบาลจึงง่อยเปลี้ยเสียขา มิหนำซ้ำแต่ละคนยังเชียร์กันเองครื้นเครงอยู่ในกะลาดังข้อมูลที่ประชาชนรับทราบในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ ครม.ที่ปิดการประชุม ครม.ด้วยการทิ้งท้ายว่า “ท่านนายกฯ สู้” ตามต่อด้วยการที่บรรดารัฐมนตรีพร้อมใจกันปรบมือกึกก้องพร้อมกับลุกขึ้นมารายล้อมนายกฯ เพื่อพูดให้กำลังใจ

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ในขณะนี้บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงกำลังหาทางช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์กันอย่างจ้าละหวั่น ด้วยการหา “แพะ” เพื่อโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปให้อย่างไร้ยางอาย โดยที่ไม่ได้เคยคิดหันกลับไปทบทวนความผิดพลาดของตัวเองแล้วแก้ไขเลยแม้แต่น้อย

เพราะในความเป็นจริง ตอนที่เกิดปัญหาอุทกภัย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาทำหน้าที่ได้เกือบ 2 เดือนแล้ว

นี่จึงเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบที่น่าอัปยศอดสู

สถานภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในเวลานี้จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคำว่า “รัฐล้มเหลว” หรือ “Failed State” เนื่องเพราะเป็นรัฐที่ไม่สามารถรักษาความมั่นคงภายในหน่วยงานของรัฐ และไม่สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของปวงชนชาวไทยได้

ยิ่งกับกรณีล่าสุดในการเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วัดไผ่เขียว ตลาดโกสุมรวมใจ หมู่บ้านบูรพา 7 ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของ “นายการุณ โหสกุล” เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโชว์รอยหยักที่มีอยู่น้อยนิดในสมองจนเป็นที่น่าขบขันถึงความไร้เดียงสา

กล่าวคือขณะที่คณะนายกรัฐมนตรีได้สวนกับเรือของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาต น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นิมนต์พระสงฆ์รูปหนึ่งเพื่อนำถุงยังชีพใส่บาตร และยังได้หยิบถุงบรรจุอีเอ็มบอล จำนวน 2 ถุงขึ้นมา พร้อมอธิบายสรรพคุณของอีเอ็มบอลให้พระสงฆ์ฟัง เมื่ออธิบายจบก็เตรียมจะนำถุงอีเอ็มบอลใส่ลงในบาตร แต่ขณะนั้นพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้รีบปิดฝาบาตร แล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนถุงอีเอ็มบอลจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทัน และพระรูปดังกล่าวได้ขอให้นายกฯ แยกออกต่างหาก

พระเจ้าช่วยกล้วยทอด นี่หรือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

สุดท้ายคงต้องฝากบทกวี “ปูดำรำพัน” ที่กำลังกระหึ่มโซเชียลเน็ตเวิร์กในขณะนี้ ซึ่งได้สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้อย่างชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องหาคำใดๆ มาอธิบายเพิ่มเติม

หนูก็แค่ ทำตาม พี่เค้าสั่ง
ไม่อยากดัง แต่ขัดพี่ นี้ไม่ได้
พี่เค้าบอก ให้หนู ทำเพื่อไทย
หนูเลยกลาย เป็นนายก ตลกดี

หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายอย่าง
คนรอบข้าง บอกให้ทำ อย่างนั้น-นี้
หนูก็งง และก็มั่ว ในบางที
ก็อย่างที่ หญ้าแฝก หญ้าแพรกไง

หนูไม่กล้า พูดสด กดดันมาก
สคริปต์ยาก อ่านไม่ทัน มันไม่ไหว
ก็เลยต้อง โยนคนโน้น คนนี้ไป
ให้ถามไป กระทรวงใคร กระทรวงมัน

งานเยอะแยะ ทำไม่ทัน ดันน้ำท่วม
หนูก็อ่วม จะทำไง ซ้ายขวาหัน
กั้นตรงโน้น แก้ตรงนี้ พังทุกวัน
ก็หนูมัน ไม่เคย เลยนี่นา

คนรอบข้าง เก่งหรือไม่ หนูไม่รู้
เท่าที่ดู เก่งทางปาก หลายคนหนา
ทั้งพี่ปอด พี่ตู่ เจ๊สุดา
เก่งแต่หา เรื่องให้หนู อยู่ทุกวัน

หนูโดนด่า ในเน็ต ในเฟซหนู
ตั้งกระทู้ ด่ากระจาย หลายเวอร์ชั่น
สุดจะทน โดนด่า ว่าทุกวัน
หนูอัดอั้น แต่พี่เค้า ให้อดทน

ไม่อยากเปน นายกแล้ว พี่แม้วขา
ช่วยกลับมา จากดูไบ หนูไม่สน
ใครอยากเปน ก็เปนไป หนูไม่ทน
พี่เปนคน สร้างปัญหา ต้องมาเคลียร์

หนูขอกลับ ไปเปนปู อยู่อย่างเก่า
คิดแล้วเรา อยู่ไป ไม่คุ้มเสีย
ทุกวันนี้ หนูเหนื่อย หนูอ่อนเพลีย
พี่เปนเชี่ย อะไร ไม่กลับมา...

กำลังโหลดความคิดเห็น