xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เขื่อนภูมิพล-เขื่อนสิริกิติ์ ลัทธิแดงปั้น “แพะ” ฉุด “ปูนิ่ม” พ้นมหาอุทกภัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจากที่ง่อยเปลี้ยเสียขาจนไม่สามารถบริหารจัดการมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทยได้ บรรดาลิ่วล้อ กองเชียร์ ตลอดรวมถึงเครือข่ายของระบอบทักษิณแห่งรัฐไทยใหม่ก็เริ่มปฏิบัติการหา “แพะ” เพื่อโบ้ยความผิดไปให้บุคคลอื่นก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

เพราะพวกเขาเริ่มตระหนักแล้วว่า มหาอุทกภัยดังกล่าวได้ทำให้สถานะภาพและความมั่นคงของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากขึ้นไปทุกที

แกนนำคนเสื้อแดงกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อลบภาพขบวนการเหลือบที่เกิดขึ้นในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ที่บรรดาหัวโจกเข้าไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในการบริหารจัดการของบริจาคจนแม้กระทั่งคนกันเองอย่าง “นายฉลอง เรี่ยวแรง” ยังทนไม่ได้จนต้องระเบิดอารมณ์ต่อหน้าสาธารณชนออกมา ก่อนที่จะพลิกลิ้นเพราะมีปัจจัยบางอย่างไปอุดปากไว้

แกนนำคนเสื้อแดงกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อลบภาพความเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีแห่งพรรคเพื่อไทยที่เวลานี้นอกจากจะเป็นตัวตลกในสายตาชายไทยและชาวโลกแล้ว ยังขยับนำรัฐบาลก้าวเข้าสู่ความเป็นรัฐล้มเหลวหรือ Failed State มากขึ้นทุกที

**จงใจกระทบชิ่งสถาบัน?

ปฏิบัติการหาแพะที่สร้างความเจ็บปวดในหัวใจปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ปรากฏขึ้นให้เห็นชัดเจนด้วยการที่ “สื่อเสื้อแดง” อย่าง “บางกอกทูเดย์” ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 พาดหัวตัวไม้เบ้อเริ่มเทิ้มว่า “2 เขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู! บทพิสูจน์น้ำ “หมื่นล้านคิว” มาจากไหน? ใครวางยา?”

หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ฉบับนี้ มี “นายเผด็จ ภูริปฏิภาณ” เจ้าของนามปากกา “พญาไม้” ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด เป็นผู้ดูแล และมี “นายไพวงษ์ เตชะณรงค์” เจ้าของโบนันซ่า รีสอร์ท เขาใหญ่ และ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นนายทุน ซึ่งที่ผ่านมามีจุดยืนสนับสนุน นช.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด

บางกอกทูเดย์ต้องการสื่อสารในเชิงสัญญะให้สังคมเข้าใจว่า มหาอุทกภัยที่สร้างความพินาศฉิบหายและความเดือดร้อนให้กับปวงชนชาวไทยไปทุกหย่อมหญ้าครั้งนี้มิใช่ความห่วยแตกหรือความเฮงซวยในการบริหารจัดการของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีแห่งพรรคเพื่อไทย หากแต่ถูกวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า หรือถูกวางยาโดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดปูแดงผู้นำสูงสุดของพวกเขา

พร้อมทั้งโบ้ยความผิดทั้งหมดโครมลงไปที่ 2 เขื่อนยักษ์ดังที่พวกเขาพาดหัวเอาไว้

พาดหัวเพื่อให้ประชาชนคิดต่อไปเองว่า ใครคิดกำจัดปู ใครคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วม เพราะทุกคนย่อมรับรู้ว่าชื่อของ 2 เขื่อนยักษ์ดังกล่าวคือ “เขื่อนภูมิพล” และ “เขื่อนสิริกิติ์”

แน่นอน นี่คืองานถนัดของ “แกนนำเสื้อแดง” ที่มิอาจประมาทได้โดยเด็ดขาด หลังจากก่อนหน้านี้เคยประสบความสำเร็จในการปลุกวาทกรรม “อำมาตย์” หรือ “สองมาตรฐาน” จนสามารถล้างสมองให้ประชาชนแห่งรัฐไทยใหม่ก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองและสามารถเถลิงอำนาจการปกครองแผ่นดินสำเร็จได้อีกครั้ง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกเขาพยายามสื่อเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นว่า ใครคือผู้ที่คิดกำจัดปู

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนเสื้อแดงมีเจตนาที่จะทำเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าหากใครมีโอกาสเข้าร่วมวงสนทนาของคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่างๆ ก็จะพบข้อความหรือบทสนทนาในทำนองเดียวกันนี้อย่างแพร่หลาย รวมกระทั่งถึงเว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายของคนเสื้อแดง

บทสนทนาที่ว่านี้ คงไม่สามารถเปิดเผยอย่างชัดๆ ได้ แต่เชื่อว่า สังคมคงจะคาดเดาได้ว่า เป็นบทสนทนาที่เชื่อมโยงไปถึง “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” อย่างที่คนเสื้อแดงมิอาจปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวได้

ทั้งนี้ ลัทธิความเชื่อดังกล่าวก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเมื่อ “สื่อค่ายประชาชื่น” ที่สนับสนุนลัทธิเสื้อแดงและกำลังถูกน้ำกรีฑาทัพเข้าถล่มได้นำภาพคนจมน้ำมิดหัวแล้วชูมือขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วในมือของชายคนนั้นถือธนบัตรใบละ 100 บาทและใบละ 20 บาท อย่างละหนึ่งใบที่ปรากฏพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมพาดหัวว่า “พลีชีพเพื่อคน กทม.” ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วทั้งแผ่นดินถึงจิตเจตนาและความเหมาะสมในการนำเสนอ

ตามต่อด้วยการที่ “แกนนำหมายเลข 1 ของคนเสื้อแดง” ที่ชื่อ “จตุพร พรหมพันธุ์” ค่อยๆ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่อง 2 เขื่อนดังกล่าวมากขึ้นและชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ

"ผมติดตามสถานการณ์ พยายามมองโลกในแง่ดี ในการวางแผนจัดการระบบน้ำก่อนที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้ามาบริหารประเทศ มีเรื่องที่น่าสงสัยอยู่หลายประการ เพราะในทางวิชาการ ผมยกตัวอย่างว่าบริเวณท่าเรือทุกแห่งสามารถคาดการณ์น้ำขึ้นน้ำลงล่วงหน้าถึง 3 เดือน และในแต่ละชั่วโมงขึ้นเท่าไหร่ มีอัตรากันอย่างไร ในทางวิชาการไม่ว่ากรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา หรือว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการเก็บกักน้ำ อย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตทุกคนย่อมจะรู้เช่นกัน และคาดการณ์ที่จะเก็บกักน้ำเอาไว้ เมื่อฝนตกลงมาจะมีปริมาณที่พอดี แต่ทั้งหมดนั้น 1.ถ้าเป็นความบังเอิญหรือเป็นความเจตนาดี กลัวฝนจะไม่ตกก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ว่าไม่รู้ 2.ถ้าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา และคิดว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผมขอประณามเลยว่า เป็นการกระทำที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด"

จากนั้น นายจตุพรก็ตอกย้ำแนวความคิดนี้อีกครั้งในงาน “ไพร่แดง ลมหายใจที่ไม่แพ้”ที่จ.เชียงราย โดยระบุถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมว่า “สาเหตุที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่กทม.ในครั้งนี้นั้น เป็นเพราะรัฐบาลยุคพรรคประชาธิปัตย์ ได้วางยากักน้ำเอาไว้เต็มเขื่อนหลายแห่งนั่นเอง ส่วนการที่ทหารขอเข้ามาช่วยเหลือน้ำท่วม น.ส.ยิ่งลักษณ์ รู้ทันจึงให้ดูแลพื้นที่เพียง 5จังหวัด แต่ถ้าการช่วยเหลือน้ำท่วมล้มเหลวทหารต้องรับไป ถึง50%”

นอกจากนี้นายจตุพร ยังได้กล่าวต่ออีกว่า ในเดือน ธ.ค.นี้มีขบวนการที่เตรียมล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วย แต่มาเกิดน้ำท่วมเสียก่อนจึงทำไม่ได้และเลื่อนไปเป็นกลางปี 2555 แทน

แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ กระทรวงที่ควบคุมกรมชลประทานและคุมเขื่อนโดยตรงในรัฐบาลชุดที่แล้วก็คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี “นายธีระ วงศ์สมุทร” อดีตอธิบดีกรมชลประทานจากพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นรัฐมนตรี และปัจจุบันก็ยังนั่งเก้าอี้ตัวเดิมอยู่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน

ส่วน “นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” ในรัฐบาลชุดที่แล้วก็เป็น รมต.กระทรวงพลังงาน ซึ่งคุมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่ดูแลเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งในปัจจุบัน นพ.วรรณรัตน์ก็ยังเป็น รมต.อุตสาหกรรมร่วมรัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์

รวมทั้งก่อนหน้านี้ นายจตุพรยังตั้งข้อสงสัยว่า กองทัพไทยได้ใช้กำลังคน ยุทโธปกรณ์ครบถ้วนในพื้นที่รับผิดชอบแล้วหรือยัง ถ้าทหารได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือประชาชน ไม่มีการกั๊ก เทใจ และไม่คิดหวังผลรอวันหายนะ จากการแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่สำเร็จของรัฐบาล จะเป็นเหตุของการปฏิวัติรัฐประหารเอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นเหตุของการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่

แน่นอน ตรรกะของนายจตุพรคือตรรกะที่โหลยโท่ยเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพที่ประชาชนคนไทยเห็นและสัมผัสได้ก็คือ ทหารคือองค์กรที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนจนสายตัวแทบขาดในทุกๆ พื้นที่ที่มีปัญหา ต่างจากรัฐบาลที่นอกจากมิได้ทำอะไรแล้ว ยังปลุกปั่นยุยงให้มวลชนของตนเองไปพังคันกั้นน้ำตามจุดต่างๆ อีกต่างหาก

และประจักษ์พยานที่ชัดเจนคือคำให้สัมภาษณ์ของ “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่กล่าวว่า “กองทัพต้องการให้ ศปภ.แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน เพราะขณะนี้ปัญหาได้ขยายพื้นที่เป็นวงกว้าง การกำหนดพื้นที่ที่รับผิดชอบจะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น ...ขาดการประสานงานและยังมีความล่าช้า หรือมีหน่วยงานอื่นมาเบิกของตัดหน้าไปก่อน ตัวอย่างน้ำเข้าในพื้นที่สนามบินดินเมือง ได้ประสาน ศปภ.เพื่อขอแบริเออร์ ทรายและกระสอบทราย กว่าจะได้ของผ่านไป 1 วัน”

แน่นอน ความคิดของนายจตุพรคือสิ่งที่เหมือนกับถ้อยคำที่กระเด็นหลุดออกมาจากปากของสองผัวเมียแกนนำคนสำคัญของคนเสื้อแดงอย่าง “นพ.เหวง โตจิราการ” และ “นางธิดา ถาวรเศรษฐ์” อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

  กระทั่งในที่สุด ความชัดเจนก็ปรากฏเห็นเป็นรูปธรรมเมื่อ “บางกอกทูเดย์” สื่อสังกัดคนเสื้อแดงพาดหัวตัวไม้และลงรายละเอียดวิเคราะห์อย่างชัดแจ้ง ซึ่งนั่นทำให้สังคมเข้าใจเป้าหมายและปฏิบัติการของแกนนำคนเสื้อแดงที่กำลังมุ่งขยายแนวความคิดเพื่อหาทางช่วยเหลือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้รอดพ้นจากการขับไล่ของประชาชนและทำให้แผนการสถาปนารัฐไทยใหม่ของพวกเขาพังครืนลงไปต่อหน้าต่อตาได้

ทั้งนี้ รายงานของบางกอกทูเดย์อ้างว่า ประชาชนผู้ที่เดือดร้อนมีข้อสงสัยว่า น้ำจำนวนกว่า 1.1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรนั้น มาจากไหน ทั้งๆ ที่กระจายไปกว่า 30 จังหวัดแล้ว ยังคงมีมวลน้ำอยู่มากมาย ชนิดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่มั่นใจว่า หากปล่อยให้เข้ามาท่วมกรุงเทพฯ เพื่อช่วยประชาชนในต่างจังหวัดและปริมณฑลแล้ว จะสามารถลดทอนน้ำในที่ต่างๆ ได้แค่ไหน

“บางกอกทูเดย์ ไม่ได้ต้องการโทษความผิดให้ใคร แต่ต้องการให้ได้เรียนรู้จากความจริง และใช้เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะน้ำจำนวนมหาศาลเป็นหมื่นๆ ล้านลูกบาศก์เมตรในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการบริหารน้ำในเขื่อนสำคัญคือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ นั่นเอง” รายงานระบุ

       เป้าประสงค์ของบางกอกทูเดย์ชัดเจนยิ่งเมื่อพวกเขาตัดสินใจพาดหัวตัวไม้ว่า “2 เขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู!”

เสมือนหนึ่งต้องการสื่อให้ประชาชนรับทราบว่า กรณีน้ำท่วมที่เกิดขึ้นนั้นมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า โดยมีเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เป็นจำเลยสำคัญและเป็นปริศนาลับที่ต้องการจำกัดรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้พ้นทางออกไป

**หลักฐานชัด “ปู” เกรียน ไม่สนใจบริหารจัดการน้ำ

        ขณะเดียวกันบางกอกทูเดย์ก็แก้ตัวแทนรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างน้ำขุ่นๆ โดยที่มิได้วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารจัดการน้ำให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ด้วยการอ้างว่า “ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม มีการเลือกตั้ง ทำให้เกิดช่วงสุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลรักษาการอยู่จนถึงต้นเดือนสิงหาคม ทำให้การดูแลระดับน้ำในเขื่อนอยู่ในการดูแลรับผิดชอบของกรมชลประทาน เนื่องจากกว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ จะสามารถทำหน้าที่ได้ ก็เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม เวลาประมาณ 21.30 น.ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากนั้นในวันที่ 10 ส.ค.นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จึงได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 ร.พ.ศิริราช”    
     
บางกอกทูเดย์มิได้เคยสนใจใยดีที่จะนำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อต่างประเทศ รวมทั้งข้อเท็จจริงเรื่องรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้แม้แต่เพียงนิดเดียวจนตกอยู่ในภาวะ “เป็ดง่อย” ที่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชนแต่อย่างใด     

เพราะต้องไม่ลืมว่านับจากวันแรกที่รัฐบาลคนเสื้อแดงรับรู้สถานการณ์น้ำท่วมก่อนที่น้ำจะไหล่บ่าเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดต่างๆ ก่อนหน้านี้นั้นกินเวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือน แต่รัฐบาลชุดนี้ก็มิได้ใยดีที่จะแก้ปัญหาให้เป็นเรื่องเป็นราว ทำเพียงแค่ประดิษฐ์ถ้อยคำเพื่อหวังผลทางการตลาดอย่าง “บางระกำโมเดล” ขึ้นมาพอเป็นพิธี ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นฯโมเดลที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ส่วนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องน้ำในเขื่อนมีอยู่ว่า หลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีอำนาจบริหารราชแผ่นดินเต็มในวันที่ 10 ส.ค. ขณะนั้นน้ำในเขื่อนภูมิพลอยู่ที่ 69% ส่วนเขื่อนสิริกิติ์อยู่ที่ 85% ถัดจากนั้นอีก 10 วันคือวันที่ 20 ส.ค.นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็สั่งการให้กรมชลประทานสำรวจพื้นที่รับน้ำเพิ่มและใช้บางระกำโมเดลแก้ปัญหา โดยขณะนั้นน้ำในเขื่อนภูมิพลอยู่ที่ 73% และเขื่อนสิริกิติ์อยู่ที่ 89%

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับรู้ข้อมูลมาโดยตลอด แต่กลับมิได้บริหารจัดการอะไร ทั้งๆ ที่หลังจากนั้นอีกไม่วันกรมชลประทานได้เตือนเรื่องระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลนี้กลับไม่ได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนอีกราว 1 เดือนถัดมาพายุ 3 ลูกใหญ่คือพายุไถ่ทาง เนสาดและนาลแกก็บุกโจมตีและทำให้สถานการณ์วิกฤตมากขึ้นเรื่อย ครม.ยิ่งลักษณ์ถึงเพิ่งประกาศตั้ง ศปภ.ขึ้นเมื่อวันที่ 3 ต.ค.

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มิได้สนใจใยดี แถมเมื่อวันที่ 2 พ.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโกหกหน้าตาเฉยอีกต่างหากว่า “ตอนที่มารับตำแหน่ง เขื่อนเต็มหมดแล้ว แล้วจะเอาน้ำไประบายตรงไหน ต้องล้นแน่นอน และเราเจอปัญหาพายุ 5 ลูกติดต่อกัน เขื่อนก็เก็บน้ำไว้หมด”

นอกจากนี้ สิ่งที่สังคมเห็นก็คือ ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะโยกย้ายพรรคพวกของตัวเองเข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ รวมถึงทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ และการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหมเพื่อแทรกแซงการโยกย้ายแต่งตั้งนายทหารระดับสูง

สอดรับกันอย่างพอดิบพอดีกับการที่นักโทษชายหนีคดี “ทักษิณ ชินวัตร” โผล่หัวออกมาทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @Thaksinlive แก้ตัวแทนน้องสาว พร้อมมั่วนิ่มเพื่อโชว์ความชาญฉลาดของตัวเองในการแก้ปัญหาด้วยการโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปที่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นคำแก้ตัวที่คนเสื้อแดงทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำใช้แก้ตัวกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยที่มิได้เคยมองดูถึงความผิดพลาดในการทำงานของตนเองและวงศ์วานว่านเครือแม้แต่เพียงนิดเพียว

     “ถ้าท่านจำกันได้ตอนปี 2548 ผมเคยมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เชิญต่างประเทศมาลงทุนให้ก่อนแล้วผ่อนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งมีเรื่องน้ำรวมอยู่ด้วยแต่ผมถูกปฏิวัติเสียก่อน เหตุการณ์ครั้งนี้เราเสียหายรวมกันทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐเฉพาะทางตรงน่าจะร่วมๆ สองแสนล้านบาท แต่ก็อยากให้สบายใจว่าหาเงินมาแก้ปัญหาได้” อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุกระบุ       

เฉกเช่นเดียวกับการที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชีย อัพเดท ซึ่งเป็นสื่อมวลชนในเครือข่ายกลุ่ม นปช.และพรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่รายงานพิเศษในหัวข้อ “หยุดกวนน้ำให้ขุ่นขวางรัฐบาลแก้อุทกภัย” โดย นายบูรพา เล็กล้วนงาม ซึ่งกล่าวว่า นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่อ้างว่าได้รับการแก้ไขแล้ว การสร้างสถานการณ์ซ้ำเติมโดยคนบางกลุ่มยังเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล โดยกล่าวโจมตีว่าคนบางกลุ่มนำประเด็นน้ำท่วม มาเป็นเครื่องมือลดความน่าเชื่อถือของ ศปภ.และรัฐบาล พร้อมกับระบุว่า โทรทัศน์ช่องต่างๆ มีการรายงานสถานการณ์น้ำเกินจริง ทั้งที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกน้ำท่วมเลยแม้เพียงระดับตาตุ่ม

ทั้งนี้ ความพยายามดังกล่าวของแกนนำเสื้อแดงเริ่มบรรลุผลมากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 26 ภายหลังลงกรวดน้ำท่วมพื้นที่ถนนจรัลสนิทวงศ์ว่า “ท่านทรงเป็นห่วงประชาชน อยากให้เป็นไปตามธรรมชาติ นี่พระมหากรุณาธิคุณ ท่านห่วงประชาชนตลอด ท่านก็บอกว่าให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ ท่านจึงไม่ทรงโปรด และทรงรับสั่งว่า เป็นน้ำท่วมก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยากให้มีอะไรเป็นพิเศษ” 

สอดรับกับการที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีพระดำรัสต่อประชาชนละแวกพระตำหนักจักรีบงกช จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 31 ต.ค.หลังประทับเรือเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรสภาพพระตำหนักซึ่งถูกน้ำท่วมหนัก พร้อมพระราชทานถุงยังชีพให้กับประชาชนที่มาเข้าเฝ้าว่า “ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะไม่ปั๊มน้ำออกจากบ้านเพื่อให้น้ำแห้ง ข้าพเจ้ายอมจมน้ำเหมือนประชาชนทุกคน และเราจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนี้ไปด้วยกัน ข้าพเจ้าได้สั่งแม่บ้านของข้าพเจ้าแล้วให้ทำอาหารส่งหมู่บ้านทีห่างไกล ได้ทราบว่าแม่บ้านได้ทำอาหารแจกชาวบ้านโดยรอบ 1,000 กล่องต่อวัน ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะกลับมาทุกสัปดาห์จนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ ขอใจทุกคนสู้อดทน พวกเราจะฝ่าวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกัน”

นี่คือพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่ปวงชนชาวไทยเคารพสักการะซึ่งหาที่เปรียบมิได้

….แน่นอน จากข้อมูลทั้งหลายทั้งปวง เชื่อเถอะว่า คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยก็ยังคงเชื่อในปฏิบัติการจิตวิทยาของแกนนำครั้งนี้ด้วยความงมงายเหมือนเดิมโดยไม่มีเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเขาถูกล้างสมองไปเรียบร้อยแล้วว่า คนเสื้อแดงทำอะไรก็ไม่ผิด พลังของคนเสื้อแดงคือกฎหมายสูงสุดของบ้านนี้เมืองนี้

มหาอุทกภัยครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

เพราะถ้าหากไปตรวจสอบตามเว็บไซต์ต่างๆ ของคนเสื้อแดงก็จะเห็นการโพสต์ข้อความไปในท่วงทำนองเดียวกันกับแกนนำคนเสื้อแดงและสื่อของคนเสื้อแดงอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น