ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ถือว่าเป็นประสบการณ์แรกในชีวิตของคน ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ต่างประเทศก็ไม่เป็นถึงขนาดนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ผมอายุ 70 ปีแล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็นเหมือนกัน
ส่วนหนึ่งต้องเห็นอกเห็นใจกัน ครั้งนี้คงต้องขอโทษขอโพยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ก็จะจำประสบการณ์และบทเรียนนี้ไปแก้ไข ว่าอย่าให้มีแบบนี้อีกต่อไป ถ้ายังเป็นอีกก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกัน”
เสียงทอดถอนใจตามมาด้วยคำขอโทษของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เป็นใบเสร็จที่ยืนยันถึงความล้มเหลวในการบริหารวิกฤตน้ำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างชัดเจนยิ่ง
เป็นบาปกรรมอีกครั้งที่คนกลุ่มนี้ร่วมกันปู้ยี่ปู้ยำ ทำร้ายประเทศชาติกับเพื่อนร่วมชาติ กล่าวเช่นนี้มิได้เกินเลยจากความจริง หรือมีคติแต่อย่างใด
เพราะสภาพการบริหารจัดการน้ำที่บอกกันว่ามากกว่าปกติ เป็นมวลน้ำที่มีพลังมหาศาลจนเกินกว่าจะป้องกันนั้น แท้จริงเป็นเพียงคำแก้ตัวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ไร้ความสามารถในการบริหารคลี่คลายวิกฤต มุ่งแต่บริหารการเมืองมากกว่าบ้านเมือง จนนำมาซึ่งความหายนะไปทุกหย่อมหญ้า
ปริมาณน้ำในเขื่อนที่อยู่ในขั้นวิกฤต กระทั่งต้องปล่อยน้ำจำนวนมหาศาลออกจากเขื่อนนั้น อยู่ในวิสัยที่จะบริหารจัดการเพื่อลดความเสียหายได้ แต่รัฐบาลชุดนี้กลับเลือกที่จะไม่ทำ
จะอ้างว่าปริมาณน้ำที่สูงขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงรอยต่อของรัฐบาลทำให้ไม่ทันตั้งตัวในการรับมือกับกองทัพน้ำ มองเผิน ๆ อาจจะฟังขึ้น แต่ถ้าพิจารณาในรายละเอียดจะเห็นว่าข้ออ้างนี้เป็นเรื่องที่น่าสมเพชเวทนาคนพูดอย่างยิ่ง
อย่าลืมว่า ผู้ที่บริหารจัดการน้ำคือ กรมชลประทาน ไม่ว่าฝ่ายการเมืองฟากไหนจะเข้ามาบริหารประเทศปัญหาเหล่านี้ย่อมต้องมีการรายงานให้ผู้มีอำนาจในระดับนโยบายได้รับทราบ เพื่อดำเนินการให้สอดรับกัน อีกทั้งผู้ที่ดูแลกระทรงเกษตรและสหกรณ์ ก็มิได้เปลี่ยนมือไปจากพรรคชาติไทยพัฒนา แถมรัฐมนตรีก็ทำงานต่อเนื่อง คือ ธีระ วงศ์สมุทร อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ที่เตี้ยบรรหารไว้ใจ
ไล่เรียงชัดๆ อย่างนี้ไม่ต้องหน้าด้านมาแก้ตัวกันอีก
เพราะหลักฐานมันฟ้องจากคำหลุดปากของยิ่งลักษณ์เอง ถึงต้นตอที่ทำให้น้ำท่วมเกือบทั้งประเทศว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
“เราดูแลมา 3-4 เดือนแล้ว บางส่วนเข้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และเจอพายุ 4 ลูกติดต่อกัน โดยปกติแล้วเจอพายุลูกหนึ่ง ก็จะถูกระบายผ่านเขื่อน และมีช่วงพักในการระบายน้ำ แต่วันนี้ไม่ใช่ เจอลูกหนึ่งก็เก็บไว้ๆ และเจออีกหลายลูก ก็ยังเก็บต่ออีก จึงกลายเป็นปริมาณน้ำที่สะสมมาถึง 4 ลูก”
นี่คือเครื่องยืนยันถึงนโยบายบริหารจัดการน้ำที่ล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่ต้น เพียงเพราะต้องการกักเก็บน้ำไม่ให้ท่วมที่นา หวังประโยชน์ทางการเมืองจากนโยบายรับจำนำข้าวเพื่อซื้อใจเกษตรกร แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีเกษตรกรรายใดได้รับประโยชน์เพราะนาล่มถ้วนหน้าแล้ว
ยังกระจายความเดือด้อนไปทุกภาคส่วนจากการบริหารสถานการณ์ผิดพลาด...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เริ่มจากการตั้งบุคลากรที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านน้ำมาทำหน้าที่ใน ศปภ. จนทำให้การประเมินสถานการณ์ผิดพลาดซ้ำซาก แถมยังใช้ ศปภ.เป็นหน่วยงานเล่นเกมการเมือง มากกว่าการบริหารบ้านเมือง ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก
ที่น่าสังเวชใจคือ แทนที่ยิ่งลักษณ์ และพวกจะได้ตระหนักถึงความล้มเหลวและเร่งแก้ไข กลับคิดวางแผนใช้ความทุกข์แสนสาหัสของประชาชน มาสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานเสียงของตัวเอง บนความแตกแยกของแผ่นดิน อย่างเหี้ยมโหดที่สุด
ของบริจาคด้วยใจบริสุทธิ์ ถูกใส่สีแดงนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองให้ทักษิณ ชินวัตร โดยมีน้องสาวนายกรัฐมนตรีไทย เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
เลวร้ายไปกว่านั้น คือการทำให้คนกรุงเทพฯ กลายเป็นไก่ในเข่งที่ถูกล้อมรอบด้วยน้ำ และมองเห็นอนาคตอันใกล้ได้ว่า เมืองหลวงจะมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรจากอยุธยาที่กรุงแตกถูกน้ำผ่ากลางอกไปก่อนหน้านี้
ทำใจรับสภาพกันไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า คนกรุงเทพฯ จะลอยคออยู่ในน้ำไม่ต่ำกว่า 2 เดือน ไม่ใช่แค่ สองสัปดาห์ -หนึ่งเดือน อย่างที่ ยิ่งลักษณ์ ตาลีตาเหลือกปากคอสั่น บอกกับประชาชน
ที่มั่นใจเช่นนี้เพราะมีบทพิสูจน์จากโมเดลอยุธยามาเป็นแบบอย่าง ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทย์ฯ ยอมรับตรง ๆ ว่าปล่อยน้ำท่วมชาวบ้านเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม แต่สุดท้ายก็จมน้ำไปทั้ง 7 แห่ง
สาเหตุที่น้ำผ่ากลางเมืองหลวงให้คนกรุงเทพฯชั้นในจมน้ำ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ รักษาฐานเสียงรอบนอกของตัวเอง นิคมอุตสาหกรรม และหัวใจสำคัญคือ สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้คลองระบายน้ำด้านใต้ ของคลองหกวา สายล่างตั้งแต่ คลอง 8 ถึงคลอง 12 ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
ข่าววงในยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับปัญหาเทคนิคใดๆ แต่เป็นนโยบายที่ทำอย่างเป็นระบบ เพราะระบบสูบน้ำฝั่งตะวันออก ทั้งเครื่องสูบน้ำกลางคลองหกวาสายล่าง กลางคลองแสนแสบ และสถานีสูบน้ำกลางคลองประเวศน์ รวมถึงสถานีสูบน้ำด้านทิศใต้ บริเวณคลองชายทะเล
อันได้แก่ สถานีสูบน้ำ บางตำหรุ บางปลาร้า บางปลา เจริญราษฎร์ สุวรรณภูมิ คลองด่าน ชลหาร พิจิตร และนางหงษ์ ล้วนไม่มีการสูบน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อรักษานิคมอุตสาหกรรมบางชัน ลาดกะบัง และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงไม่ระบายน้ำไปบริเวณดังกล่าว
ได้สองเด้งบนความทุกข์แสนสาหัสของคนกรุง ด้านหนึ่งคือทำลายฐานเสียงพรรคการเมืองคู่แข่งในกรุงเทพฯ แล้วรัฐบาลจะมาฉวยโอกาสเป็นแม่พระเยียวยาภายหลัง
หนักกว่านั้นคือ เปลี่ยนวิบัติของตัวเองให้เป็นชัยชนะในทางการเมือง ก้าวสู่รัฐไทยใหม่ เริ่มจากสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับหนึ่ง ปลุกระดมผ่านหน้าหนึ่งเป็นภาพมือโผล่จากน้ำ ชูแบงก์ พร้อมคำบรรยาย “พร้อมพลีเพื่อ กทม.” หวังกระทบถึงใครไม่ต้องอธิบาย ตามมาด้วยการปลุกระดมต่อเนื่องว่า กทม. ต้องท่วมได้เหมือนต่างจังหวัด
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่าน ผบ.ทบ. ไม่ให้ดูแลเขตพระราชฐานเป็นพิเศษ และทรงห่วงใยพสกนิกรอย่างยิ่ง คงทำให้ใครที่คิดวางแผนให้เกิดภาพ “ไพร่จมน้ำเจ้าสุขสบาย” ต้องผิดหวัง
กรุงเทพฯ จะยังเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย ไม่มีใครย้ายไปอยู่อุดรธานีได้
ส่วนหนึ่งต้องเห็นอกเห็นใจกัน ครั้งนี้คงต้องขอโทษขอโพยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ก็จะจำประสบการณ์และบทเรียนนี้ไปแก้ไข ว่าอย่าให้มีแบบนี้อีกต่อไป ถ้ายังเป็นอีกก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกัน”
เสียงทอดถอนใจตามมาด้วยคำขอโทษของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เป็นใบเสร็จที่ยืนยันถึงความล้มเหลวในการบริหารวิกฤตน้ำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างชัดเจนยิ่ง
เป็นบาปกรรมอีกครั้งที่คนกลุ่มนี้ร่วมกันปู้ยี่ปู้ยำ ทำร้ายประเทศชาติกับเพื่อนร่วมชาติ กล่าวเช่นนี้มิได้เกินเลยจากความจริง หรือมีคติแต่อย่างใด
เพราะสภาพการบริหารจัดการน้ำที่บอกกันว่ามากกว่าปกติ เป็นมวลน้ำที่มีพลังมหาศาลจนเกินกว่าจะป้องกันนั้น แท้จริงเป็นเพียงคำแก้ตัวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ไร้ความสามารถในการบริหารคลี่คลายวิกฤต มุ่งแต่บริหารการเมืองมากกว่าบ้านเมือง จนนำมาซึ่งความหายนะไปทุกหย่อมหญ้า
ปริมาณน้ำในเขื่อนที่อยู่ในขั้นวิกฤต กระทั่งต้องปล่อยน้ำจำนวนมหาศาลออกจากเขื่อนนั้น อยู่ในวิสัยที่จะบริหารจัดการเพื่อลดความเสียหายได้ แต่รัฐบาลชุดนี้กลับเลือกที่จะไม่ทำ
จะอ้างว่าปริมาณน้ำที่สูงขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงรอยต่อของรัฐบาลทำให้ไม่ทันตั้งตัวในการรับมือกับกองทัพน้ำ มองเผิน ๆ อาจจะฟังขึ้น แต่ถ้าพิจารณาในรายละเอียดจะเห็นว่าข้ออ้างนี้เป็นเรื่องที่น่าสมเพชเวทนาคนพูดอย่างยิ่ง
อย่าลืมว่า ผู้ที่บริหารจัดการน้ำคือ กรมชลประทาน ไม่ว่าฝ่ายการเมืองฟากไหนจะเข้ามาบริหารประเทศปัญหาเหล่านี้ย่อมต้องมีการรายงานให้ผู้มีอำนาจในระดับนโยบายได้รับทราบ เพื่อดำเนินการให้สอดรับกัน อีกทั้งผู้ที่ดูแลกระทรงเกษตรและสหกรณ์ ก็มิได้เปลี่ยนมือไปจากพรรคชาติไทยพัฒนา แถมรัฐมนตรีก็ทำงานต่อเนื่อง คือ ธีระ วงศ์สมุทร อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ที่เตี้ยบรรหารไว้ใจ
ไล่เรียงชัดๆ อย่างนี้ไม่ต้องหน้าด้านมาแก้ตัวกันอีก
เพราะหลักฐานมันฟ้องจากคำหลุดปากของยิ่งลักษณ์เอง ถึงต้นตอที่ทำให้น้ำท่วมเกือบทั้งประเทศว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
“เราดูแลมา 3-4 เดือนแล้ว บางส่วนเข้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และเจอพายุ 4 ลูกติดต่อกัน โดยปกติแล้วเจอพายุลูกหนึ่ง ก็จะถูกระบายผ่านเขื่อน และมีช่วงพักในการระบายน้ำ แต่วันนี้ไม่ใช่ เจอลูกหนึ่งก็เก็บไว้ๆ และเจออีกหลายลูก ก็ยังเก็บต่ออีก จึงกลายเป็นปริมาณน้ำที่สะสมมาถึง 4 ลูก”
นี่คือเครื่องยืนยันถึงนโยบายบริหารจัดการน้ำที่ล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่ต้น เพียงเพราะต้องการกักเก็บน้ำไม่ให้ท่วมที่นา หวังประโยชน์ทางการเมืองจากนโยบายรับจำนำข้าวเพื่อซื้อใจเกษตรกร แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีเกษตรกรรายใดได้รับประโยชน์เพราะนาล่มถ้วนหน้าแล้ว
ยังกระจายความเดือด้อนไปทุกภาคส่วนจากการบริหารสถานการณ์ผิดพลาด...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เริ่มจากการตั้งบุคลากรที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านน้ำมาทำหน้าที่ใน ศปภ. จนทำให้การประเมินสถานการณ์ผิดพลาดซ้ำซาก แถมยังใช้ ศปภ.เป็นหน่วยงานเล่นเกมการเมือง มากกว่าการบริหารบ้านเมือง ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก
ที่น่าสังเวชใจคือ แทนที่ยิ่งลักษณ์ และพวกจะได้ตระหนักถึงความล้มเหลวและเร่งแก้ไข กลับคิดวางแผนใช้ความทุกข์แสนสาหัสของประชาชน มาสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานเสียงของตัวเอง บนความแตกแยกของแผ่นดิน อย่างเหี้ยมโหดที่สุด
ของบริจาคด้วยใจบริสุทธิ์ ถูกใส่สีแดงนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองให้ทักษิณ ชินวัตร โดยมีน้องสาวนายกรัฐมนตรีไทย เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
เลวร้ายไปกว่านั้น คือการทำให้คนกรุงเทพฯ กลายเป็นไก่ในเข่งที่ถูกล้อมรอบด้วยน้ำ และมองเห็นอนาคตอันใกล้ได้ว่า เมืองหลวงจะมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรจากอยุธยาที่กรุงแตกถูกน้ำผ่ากลางอกไปก่อนหน้านี้
ทำใจรับสภาพกันไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า คนกรุงเทพฯ จะลอยคออยู่ในน้ำไม่ต่ำกว่า 2 เดือน ไม่ใช่แค่ สองสัปดาห์ -หนึ่งเดือน อย่างที่ ยิ่งลักษณ์ ตาลีตาเหลือกปากคอสั่น บอกกับประชาชน
ที่มั่นใจเช่นนี้เพราะมีบทพิสูจน์จากโมเดลอยุธยามาเป็นแบบอย่าง ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทย์ฯ ยอมรับตรง ๆ ว่าปล่อยน้ำท่วมชาวบ้านเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม แต่สุดท้ายก็จมน้ำไปทั้ง 7 แห่ง
สาเหตุที่น้ำผ่ากลางเมืองหลวงให้คนกรุงเทพฯชั้นในจมน้ำ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ รักษาฐานเสียงรอบนอกของตัวเอง นิคมอุตสาหกรรม และหัวใจสำคัญคือ สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้คลองระบายน้ำด้านใต้ ของคลองหกวา สายล่างตั้งแต่ คลอง 8 ถึงคลอง 12 ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
ข่าววงในยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับปัญหาเทคนิคใดๆ แต่เป็นนโยบายที่ทำอย่างเป็นระบบ เพราะระบบสูบน้ำฝั่งตะวันออก ทั้งเครื่องสูบน้ำกลางคลองหกวาสายล่าง กลางคลองแสนแสบ และสถานีสูบน้ำกลางคลองประเวศน์ รวมถึงสถานีสูบน้ำด้านทิศใต้ บริเวณคลองชายทะเล
อันได้แก่ สถานีสูบน้ำ บางตำหรุ บางปลาร้า บางปลา เจริญราษฎร์ สุวรรณภูมิ คลองด่าน ชลหาร พิจิตร และนางหงษ์ ล้วนไม่มีการสูบน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อรักษานิคมอุตสาหกรรมบางชัน ลาดกะบัง และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงไม่ระบายน้ำไปบริเวณดังกล่าว
ได้สองเด้งบนความทุกข์แสนสาหัสของคนกรุง ด้านหนึ่งคือทำลายฐานเสียงพรรคการเมืองคู่แข่งในกรุงเทพฯ แล้วรัฐบาลจะมาฉวยโอกาสเป็นแม่พระเยียวยาภายหลัง
หนักกว่านั้นคือ เปลี่ยนวิบัติของตัวเองให้เป็นชัยชนะในทางการเมือง ก้าวสู่รัฐไทยใหม่ เริ่มจากสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับหนึ่ง ปลุกระดมผ่านหน้าหนึ่งเป็นภาพมือโผล่จากน้ำ ชูแบงก์ พร้อมคำบรรยาย “พร้อมพลีเพื่อ กทม.” หวังกระทบถึงใครไม่ต้องอธิบาย ตามมาด้วยการปลุกระดมต่อเนื่องว่า กทม. ต้องท่วมได้เหมือนต่างจังหวัด
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่าน ผบ.ทบ. ไม่ให้ดูแลเขตพระราชฐานเป็นพิเศษ และทรงห่วงใยพสกนิกรอย่างยิ่ง คงทำให้ใครที่คิดวางแผนให้เกิดภาพ “ไพร่จมน้ำเจ้าสุขสบาย” ต้องผิดหวัง
กรุงเทพฯ จะยังเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย ไม่มีใครย้ายไปอยู่อุดรธานีได้