“The public are sick and tired of politics, they are sick and tired of the machinations of elected office in a media age, and I think it’s quite good having a Head of State that’s completely to one side of that. ประชาชนเบื่อหน่ายและเหม็นขี้หน้านักการเมือง เบื่อหน่ายและเอือมระอากับกลไกที่มาจากการเลือกตั้งกับยุคสื่อในยุคปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่ายังดีที่เรามีประมุขแห่งรัฐที่อยู่คนละฝั่งกับการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด” (Simon Upton, รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมนิวซีแลนด์, มีนาคม 1994)
“การถวายคืนพระราชอำนาจเป็นโอกาสที่เราจะสังคายนาการเมืองไทย อย่ากลัวว่าในหลวงจะทรงใช้ผิดครรลองประชาธิปไตย แม้ถวายอำนาจที่ผิดให้ก็จะไม่ทรงรับ ตัวอย่างรัฐธรรมนูญที่ผมร่วมร่าง (2516) ให้องคมนตรีลงนามสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก ทรงส่งคืนพร้อมกับพระราชวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ พระมหา กษัตริย์ต้องเป็นกลาง”
“ขณะนี้น้ำท่วม คนไทยโหยหาอยากพึ่งบารมีและพระอัจฉริยะของในหลวง และเห็นแล้วว่าความอืดอาดยืดยาดทำไปกินไปของนักการเมืองนั้นเป็นอย่างไร”
ข้อความข้างบนนี้ ตอกย้ำความฉลาดของคนนิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับคนแคนาดา และออสเตรเลียที่เขาเลือกอยู่ใต้ระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ทั้งที่กษัตริย์ต้องไปยืมมาจากอังกฤษ และนานๆ จึงจะมาเยี่ยมประชาชนที ทั้งนี้ เพราะเขาไม่อยากตกอยู่ใต้นักการเมืองเลือกตั้งที่ทำให้เบื่อหน่ายเอือมระอา คนแล้วคนเล่า
ผมได้เขียนบทความเรื่อง “น้ำท่วมฉิบหาย ตายกันเป็นเบือ เบื่อนักการเมืองโว้ย ” ลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ผมได้ย้ำให้ท่านผู้อ่านได้คิดถึงความสำคัญของ “ความเชื่อ” ในทางการเมือง ซึ่งมักจะมีความสำคัญมากกว่า “ความจริง” เสียอีก
“ความเชื่อ” อย่างหนึ่งที่คนไทยไม่น้อยพากันเชื่อ หรืออยากจะเชื่อ ก็คือ อาเพศของการมีผู้นำประเทศเป็นหญิง โดยมีผู้ยกเอาคำทำนายรัตนโกสินทร์ ฉบับปรับปรุงใหม่ที่อ้าง (และปฏิเสธแล้ว) ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นผู้ลิขิต ดังนี้ “ ผู้ปกครอง จะเป็นหญิง พึงระวัง สายน้ำหลั่ง กรากเชี่ยว หวาดเสียวใจ” มีผู้คนไม่น้อยที่ด่าทอสาปแช่งยิ่งลักษณ์ในเรื่องที่มิใช่ความผิดของนาง
ในขณะที่ผมเสียใจและเห็นใจอย่างยิ่งกับความสูญเสียของพี่น้องชาวไทย ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากการเมือง ภาวะผู้นำ และการบริหารจัดการวิกฤตของประเทศเราดีกว่านี้ บ้านเมืองคงจะไม่ต้องล่มจมกว่านี้ หรือคงไม่ถึงกับจะต้องเอาอิสตรีที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินมาผูกโบใส่กล่องสีแดง ตะแบงขึ้นนั่งบัลลังก์ ผู้คนคงจะไม่พากันแตกตื่นเล่าลือกันในทางเหลวไหลมากมาย
ส่วนใหญ่คงจะมิใช่เป็นเพราะพื้นฐานการศึกษา ความฉลาดหรือความโง่ซึ่งไม่น่าจะต่างกันนักหนา แต่เห็นจะเป็นเพราะ “ความเชื่อ” หรือ “การเลือกข้าง” ทางการเมืองมากกว่า ความเชื่อทางการเมืองนี้ทำให้คนหลับหูหลับตาได้ ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงเป็นนายแพทย์หรือดุษฎีบัณฑิตจบนอกจบใน ก็ไม่วิเศษกว่าตาสีตาสาสักกี่มากน้อย (อันนี้ ผมยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง มิใช่ความเชื่อ)
ความเชื่อว่าน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำท่วมที่ล้มเหลวอย่างแรงคราวนี้ เป็นความผิดหรือจะโทษใครดี ผมได้ยินหรือประสบมาด้วยตนเองมีถึง 4-5 อย่าง เรียงลำดับตามความบ่อยของการได้เห็นหรือได้ยิน
1. โทษเขื่อนภูมิพลและโทษเขื่อนสิริกิติ์ ตลอดจนผู้พระราชทานนามว่าต้องการแกล้งทักษิณ รัฐบาลและสมุนบริวารเสื้อแดง การเผยแพร่ความเชื่อแบบคาบลูกคาบดอกนี้ปรากฏทั้งอยู่ในยูทูป วิทยุชุมชนและการบอกเล่าของคนขับแท็กซี่ ที่หน้าบ้านผมเอง เจ้าของร้านอาหารถึงกับจะวางมวยไม่ยอมขายให้เจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างที่เลือดสีแดงเต็มตัวต้องการเผยแพร่ความเชื่อของตนเองให้ปรากฏ
2. ดร.ไสว บุญมา จากธนาคารโลก วอชิงตัน ดี.ซี. กลับมาเยี่ยมบ้าน ก็ได้รับรายงานฉอดๆ จากคนขับรถแท็กซี่ว่าสาเหตุที่บ้านเมืองน้ำท่วมก็เพราะ “ไอ้มาร์ค” กับ “พรรคประชาธิปัตย์” มันวางยาไว้รัฐบาลจะได้เสียหน้าอยู่ไม่ได้ พร้อมทั้งยืนยันว่า ถ้าไม่จริงวิทยุชุมชนเขาจะเอาที่ไหนมาพูด
3. รัฐบาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีไร้เดียงสาขาดภาวะผู้นำ ความรู้ต่ำอ่อนด้อยต้องคอยฟังคำสั่ง และถูกรายล้อมด้วยนักการเมือง ข้าราชการขอรับกระผม และนักวิชาการปัญญาอ่อน จึงมิสามารถนำหลักการนักวิชาการและเครื่องมือที่ถูกต้องแท้จริงและมีอยู่พร้อมในประเทศไทยมาใช้ให้ได้ผลทันท่วงทีได้
4. นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นตลอดจนหน่วยราชการที่เป็นทาสคอยเกาะกิน พากันแทรกแซงซ้ำเติมการป้องกัน-บรรเทา สงเคราะห์และการเตรียมรื้อฟื้นด้วยการโยกโย้ โยกย้าย ถ่วงดึงการทำงานเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในการงาบและเบียดบังงบประมาณตลอดจนการหาเสียงและป้องกันฐานเสียงของตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่าง สุพรรณบุรี
5. ระบอบทักษิณวางแผนทอนกำลังและทำลายความเชื่อถือของประชาชนที่มีอยู่กับทุกสถาบัน เพื่อทำให้เกิดความเสียหายอย่างถึงที่สุด เกิดสภาพโกรธแค้น สิ้นหวังชิงชัง และมองหาทางออกอื่นมิได้นอกจากการพึ่งทักษิณคนเดียว เป็นการปูทางให้ทักษิณสามารถกลับสู่อำนาจและทำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบรัฐใหม่ของฝ่ายแดงได้
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อะไรจะจริง อะไรจะเท็จ หรือข้อใดจะบวกกับข้ออื่นได้อย่างไรบ้างหรือไม่นั้น สังคมไทยมีสิทธิ์จะใคร่ครวญ วิเคราะห์วิจารณ์ หรือสำรวจหาข้อมูลและความจริงได้
แต่ที่เราจะต้องยอมรับกัน ณ วันนี้โดยไม่มีข้อแก้ตัวก็คือ การป้องกันภัยพิบัติด้วยการวางแผนล่วงหน้าที่พอเพียง การเตือนภัยที่เชื่อถือได้ การบรรเทาความเสียหายและเดือดร้อนมิให้ลุกลาม ด้วยระบบการจัดการ กลไกและเทคโนโลยีที่เหมาะสมนั้นได้ล้มเหลวลงและเชื่อถือไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
ภัยหลังน้ำท่วม ต่อระบบการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ลูกหลานบ้านเมืองและประชาชนจะหนักยิ่งขึ้นกว่าเก่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ยังไม่เห็นมีหน้าไหนจะมีปัญญา ความกล้าหาญ และความเสียสละที่จะออกมากอบกู้ช่วยเหลือได้
นอกจากประชาชนและพระสยามเทวาธิราช ใครจะช่วยประเทศไทยได้
“การถวายคืนพระราชอำนาจเป็นโอกาสที่เราจะสังคายนาการเมืองไทย อย่ากลัวว่าในหลวงจะทรงใช้ผิดครรลองประชาธิปไตย แม้ถวายอำนาจที่ผิดให้ก็จะไม่ทรงรับ ตัวอย่างรัฐธรรมนูญที่ผมร่วมร่าง (2516) ให้องคมนตรีลงนามสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก ทรงส่งคืนพร้อมกับพระราชวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ พระมหา กษัตริย์ต้องเป็นกลาง”
“ขณะนี้น้ำท่วม คนไทยโหยหาอยากพึ่งบารมีและพระอัจฉริยะของในหลวง และเห็นแล้วว่าความอืดอาดยืดยาดทำไปกินไปของนักการเมืองนั้นเป็นอย่างไร”
ข้อความข้างบนนี้ ตอกย้ำความฉลาดของคนนิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับคนแคนาดา และออสเตรเลียที่เขาเลือกอยู่ใต้ระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ทั้งที่กษัตริย์ต้องไปยืมมาจากอังกฤษ และนานๆ จึงจะมาเยี่ยมประชาชนที ทั้งนี้ เพราะเขาไม่อยากตกอยู่ใต้นักการเมืองเลือกตั้งที่ทำให้เบื่อหน่ายเอือมระอา คนแล้วคนเล่า
ผมได้เขียนบทความเรื่อง “น้ำท่วมฉิบหาย ตายกันเป็นเบือ เบื่อนักการเมืองโว้ย ” ลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ผมได้ย้ำให้ท่านผู้อ่านได้คิดถึงความสำคัญของ “ความเชื่อ” ในทางการเมือง ซึ่งมักจะมีความสำคัญมากกว่า “ความจริง” เสียอีก
“ความเชื่อ” อย่างหนึ่งที่คนไทยไม่น้อยพากันเชื่อ หรืออยากจะเชื่อ ก็คือ อาเพศของการมีผู้นำประเทศเป็นหญิง โดยมีผู้ยกเอาคำทำนายรัตนโกสินทร์ ฉบับปรับปรุงใหม่ที่อ้าง (และปฏิเสธแล้ว) ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นผู้ลิขิต ดังนี้ “ ผู้ปกครอง จะเป็นหญิง พึงระวัง สายน้ำหลั่ง กรากเชี่ยว หวาดเสียวใจ” มีผู้คนไม่น้อยที่ด่าทอสาปแช่งยิ่งลักษณ์ในเรื่องที่มิใช่ความผิดของนาง
ในขณะที่ผมเสียใจและเห็นใจอย่างยิ่งกับความสูญเสียของพี่น้องชาวไทย ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากการเมือง ภาวะผู้นำ และการบริหารจัดการวิกฤตของประเทศเราดีกว่านี้ บ้านเมืองคงจะไม่ต้องล่มจมกว่านี้ หรือคงไม่ถึงกับจะต้องเอาอิสตรีที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินมาผูกโบใส่กล่องสีแดง ตะแบงขึ้นนั่งบัลลังก์ ผู้คนคงจะไม่พากันแตกตื่นเล่าลือกันในทางเหลวไหลมากมาย
ส่วนใหญ่คงจะมิใช่เป็นเพราะพื้นฐานการศึกษา ความฉลาดหรือความโง่ซึ่งไม่น่าจะต่างกันนักหนา แต่เห็นจะเป็นเพราะ “ความเชื่อ” หรือ “การเลือกข้าง” ทางการเมืองมากกว่า ความเชื่อทางการเมืองนี้ทำให้คนหลับหูหลับตาได้ ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงเป็นนายแพทย์หรือดุษฎีบัณฑิตจบนอกจบใน ก็ไม่วิเศษกว่าตาสีตาสาสักกี่มากน้อย (อันนี้ ผมยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง มิใช่ความเชื่อ)
ความเชื่อว่าน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำท่วมที่ล้มเหลวอย่างแรงคราวนี้ เป็นความผิดหรือจะโทษใครดี ผมได้ยินหรือประสบมาด้วยตนเองมีถึง 4-5 อย่าง เรียงลำดับตามความบ่อยของการได้เห็นหรือได้ยิน
1. โทษเขื่อนภูมิพลและโทษเขื่อนสิริกิติ์ ตลอดจนผู้พระราชทานนามว่าต้องการแกล้งทักษิณ รัฐบาลและสมุนบริวารเสื้อแดง การเผยแพร่ความเชื่อแบบคาบลูกคาบดอกนี้ปรากฏทั้งอยู่ในยูทูป วิทยุชุมชนและการบอกเล่าของคนขับแท็กซี่ ที่หน้าบ้านผมเอง เจ้าของร้านอาหารถึงกับจะวางมวยไม่ยอมขายให้เจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างที่เลือดสีแดงเต็มตัวต้องการเผยแพร่ความเชื่อของตนเองให้ปรากฏ
2. ดร.ไสว บุญมา จากธนาคารโลก วอชิงตัน ดี.ซี. กลับมาเยี่ยมบ้าน ก็ได้รับรายงานฉอดๆ จากคนขับรถแท็กซี่ว่าสาเหตุที่บ้านเมืองน้ำท่วมก็เพราะ “ไอ้มาร์ค” กับ “พรรคประชาธิปัตย์” มันวางยาไว้รัฐบาลจะได้เสียหน้าอยู่ไม่ได้ พร้อมทั้งยืนยันว่า ถ้าไม่จริงวิทยุชุมชนเขาจะเอาที่ไหนมาพูด
3. รัฐบาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีไร้เดียงสาขาดภาวะผู้นำ ความรู้ต่ำอ่อนด้อยต้องคอยฟังคำสั่ง และถูกรายล้อมด้วยนักการเมือง ข้าราชการขอรับกระผม และนักวิชาการปัญญาอ่อน จึงมิสามารถนำหลักการนักวิชาการและเครื่องมือที่ถูกต้องแท้จริงและมีอยู่พร้อมในประเทศไทยมาใช้ให้ได้ผลทันท่วงทีได้
4. นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นตลอดจนหน่วยราชการที่เป็นทาสคอยเกาะกิน พากันแทรกแซงซ้ำเติมการป้องกัน-บรรเทา สงเคราะห์และการเตรียมรื้อฟื้นด้วยการโยกโย้ โยกย้าย ถ่วงดึงการทำงานเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในการงาบและเบียดบังงบประมาณตลอดจนการหาเสียงและป้องกันฐานเสียงของตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่าง สุพรรณบุรี
5. ระบอบทักษิณวางแผนทอนกำลังและทำลายความเชื่อถือของประชาชนที่มีอยู่กับทุกสถาบัน เพื่อทำให้เกิดความเสียหายอย่างถึงที่สุด เกิดสภาพโกรธแค้น สิ้นหวังชิงชัง และมองหาทางออกอื่นมิได้นอกจากการพึ่งทักษิณคนเดียว เป็นการปูทางให้ทักษิณสามารถกลับสู่อำนาจและทำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบรัฐใหม่ของฝ่ายแดงได้
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อะไรจะจริง อะไรจะเท็จ หรือข้อใดจะบวกกับข้ออื่นได้อย่างไรบ้างหรือไม่นั้น สังคมไทยมีสิทธิ์จะใคร่ครวญ วิเคราะห์วิจารณ์ หรือสำรวจหาข้อมูลและความจริงได้
แต่ที่เราจะต้องยอมรับกัน ณ วันนี้โดยไม่มีข้อแก้ตัวก็คือ การป้องกันภัยพิบัติด้วยการวางแผนล่วงหน้าที่พอเพียง การเตือนภัยที่เชื่อถือได้ การบรรเทาความเสียหายและเดือดร้อนมิให้ลุกลาม ด้วยระบบการจัดการ กลไกและเทคโนโลยีที่เหมาะสมนั้นได้ล้มเหลวลงและเชื่อถือไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
ภัยหลังน้ำท่วม ต่อระบบการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ลูกหลานบ้านเมืองและประชาชนจะหนักยิ่งขึ้นกว่าเก่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ยังไม่เห็นมีหน้าไหนจะมีปัญญา ความกล้าหาญ และความเสียสละที่จะออกมากอบกู้ช่วยเหลือได้
นอกจากประชาชนและพระสยามเทวาธิราช ใครจะช่วยประเทศไทยได้