xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“สนธิ ลิ้มทองกุล” เปิดใจ ในวันที่ ASTV จอดับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี (ASTV) ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2546 ได้หยุดแพร่สัญญาณภาพผ่านดาวเทียมที่เคยทำตามปกติ ตั้งแต่เวลาประมาณ 17.30 น. ของวันที่ 17 ต.ค. นั้น หลายคนสงสัยถึงข้อเท็จจริงอันเป็นต้นเหตุดังกล่าวว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัยอะไร

แน่นอน ผู้ที่จะตอบคำถามและไขข้อข้องใจถึงต้นสายปลายเหตุทั้งหมดได้ย่อมหนีไม่พ้น “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีที่ยืนหยัดทำสถานีโทรทัศน์เพื่อประชาชนแห่งนี้ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นตลอดช่วงระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา

1.ทำไม ASTV จอดับ?

        ทางเราค้างค่าดาวเทียม NSS-6 ประมาณ 6 เดือน คิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ ก็ประมาณ 4 แสนเหรียญฯ หรือราว 12 ล้านบาท ในข้อตกลงเดิมเราบอกว่าเราจะเอาเงิน 6 เดือนที่ค้างจ่ายรวดเดียวเลยตอนสิ้นปี ส่วนรายเดือนที่เกิดขึ้นประจำเดือนใหม่ก็จะจ่ายทุกเดือน ทีนี้ทางดาวเทียมเขามีเจ้าของใหม่ เจ้าของใหม่เขาก็ไม่ยอม ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเราต้องเอาเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงานก่อน สำหรับเราแล้วพนักงานเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด มันก็มีค่าใช้จ่ายต่างๆ

อย่างที่บอกว่าเอเอสทีวีเป็นทีวีที่ยืนอยู่บนความถูกต้อง แล้วก็ไม่ค่อยมีใครลงโฆษณาเพราะเราขายความจริง การทำเอเอสทีวีเราไม่ได้เอาเงินจากการคอร์รัปชั่นแล้วมาสร้างทีวีเพื่อสนับสนุนการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า ทีวีเสื้อแดงเขาก็มีเงินเข้ามาสนับสนุนตลอดเวลาไม่มีหยุด ส่วนทีวีอีกฝ่ายหนึ่งเขาก็มีเงินมีทองของเขา ส่วนของเรานี่เนื้อๆ เลยคือเราต้องกัดฟันต่อสู้ ส่วนตัวผมเองก็เป็นคนเดียวที่รับผิดชอบ หาเงินหาทอง แล้วก็เอาทรัพย์สินของตัวเองไปขาย เพื่อวัตถุประสงค์คือ ให้เอเอสทีวีเป็นทีวีที่ต่อสู้ให้กับประเทศไทย เราสู้มาตั้งแต่ปลายปี 2547 รวมเวลาแล้วก็เกือบ 7 ปีที่เราสู้มา ซึ่งเราก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเวลา มีคนที่จะเอาเงินเอาทองมาให้ โดยมีเงื่อนไขว่าให้เราเปลี่ยนจุดยืนเราก็ไม่เอา ... ผมก็พูดว่าผมทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นก็ละกัน เพราะเมื่อถึงวันนี้มันก็เป็นบทพิสูจน์ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นของผมคนเดียว

มีคนที่สนับสนุนเอเอสทีวีอยู่ พันธมิตรฯ ที่ พล.ต.จำลอง (ศรีเมือง) ออกประกาศให้ช่วยเหลือ ซึ่งก็ได้เงินประมาณเดือนละ 3-4 ล้านบาททั้งๆ ที่คนที่เป็นแฟนเอเอสทีวี หรือเป็นพันธมิตรฯ จริงๆ ผมว่าถ้าสักแสนสองแสนคน ช่วยกันคนละ 500 ก็ได้ 40-50 ล้านบาทแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายของเราเดือนนึงเอาจริงๆ ก็ตกประมาณ 30-40 ล้านบาท แม้การขายปุ๋ยของ พล.ต.จำลองจะช่วยได้เยอะ แต่มันก็ไม่แน่นอนเพราะว่าเดี๋ยวน้ำท่วมปุ๋ยก็ขายไม่ออก สินค้าเอเอสทีวีก็มีกำไรตกเดือนละล้านกว่าๆ เท่านั้นเอง SMS ASTV ก็มีสมาชิกประมาณ 4 หมื่นคน จากที่เคยตั้งเป้าไว้ 1-2 แสนคน โฆษณาอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเพราะไม่มีใครมาลง สาเหตุที่ไม่มีใครมาลงเพราะมันเป็นโทรทัศน์ที่นายทุนไม่อยากลงโฆษณาให้การสนับสนุน เพราะเราเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป ถ้าเราขายตัวขายอุดมการณ์สัก 30 เปอร์เซ็นต์ เราก็คงอยู่ได้ คงร่ำรวย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อประชาชนที่ดูเอเอสทีวีแล้วคิดว่าเอเอสทีวีเป็นทีวีที่ดี ประเทศไทยควรจะมีโทรทัศน์อย่างนี้ แต่ไม่ช่วยกันสนับสนุนให้เอเอสทีวีอยู่ได้ ผมคนเดียวแบกไม่ไหวหรอก ผมแบกมา 7 ปีแล้ว ผมทำได้เพียงแค่นี้ เกินกว่าที่มนุษย์คนนึงจะทำได้ เฉพาะส่วนตัวแล้วขายทรัพย์สินหมดไป 7 ปีนี้ก็พันกว่าล้านแล้ว ผมคิดว่าได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ส่วนอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องว่ากันไป

ณ วันนี้มีแต่คนเอาแต่ได้ ได้เอา แต่เสียสละไม่ยอม การทำเอเอสทีวีเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากเพราะเป็นอันตรายในเรื่องถูกฟ้องร้องเอย อันตรายในการถูกลอบทำร้ายเอย แล้วก็ยังต้องสูญเสียทรัพย์สินส่วนตัวอีก ผมคิดว่าผม ... คนคนหนึ่งโดนยิงอีก 200 นัด โดนคดีฟ้องในศาลอีก 70 กว่าคดี ผมคิดว่าในประเทศไทยหาคนอย่างผมคงไม่มีอีกแล้ว มิหนำซ้ำยังถูกใส่ร้ายป้ายสีอีก จากพวกพรรคประชาธิปัตย์ และแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์หาว่าผมไปรับเงินทักษิณมา นี่เดี๋ยวก็คงใส่ร้ายผมอีก หาว่าเพราะผมไปรับเงินมาก็เลยแกล้งปิดเอเอสทีวี แต่ความจริงคือเราค้างชำระค่าดาวเทียมเขามา 6 เดือนแล้ว ก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะยุบสภาเสียอีก

สมัยหนึ่ง แม้กระทั่งปัจจุบัน ทั้งโทรทัศน์ วิทยุที่ออกได้ทุกวันนี้มันออกก็เพราะว่ามันมีเงินสนับสนุนจากทางการเมือง แต่เงินทางการเมืองมาจากไหนล่ะ ก็คือเงินที่โกงกินคอร์รัปชั่นมา เพราะฉะนั้นเอเอสทีวีทุกข่าวเป็นข่าวที่บริสุทธิ์ จุดยืนทุกจุดยืนอยู่บนอุดมการณ์ บนเป้าหมายคือทำให้ชาติอยู่บนทำนองคลองธรรม เพราะฉะนั้นแล้วผมคิดว่าผมทำได้เพียงแค่นี้ ถามว่าผมเสียดายไหม ... ก็เสียดาย ถามว่าผมเสียใจไหม ผมไม่เสียใจ เหตุผลที่ไม่เสียใจก็เพราะว่า ผมคิดว่าไม่เสียชาติเกิดที่ได้ทำมาขนาดนี้แล้ว นอกจากนี้แล้วยังได้ร่วมขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อต่อสู้ให้กับบ้านเมือง สู้เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย สู้เพื่อเอาข่าวสารที่แท้จริงออกมาให้กับสังคมไทย ซึ่งสื่อมวลชน โทรทัศน์ทุกช่อง ไม่ได้มีข่าวสารที่แท้จริง และไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเอาความจริงมาเปิดเผย เพราะฉะนั้นแล้วผมจึงมีความรู้สึกว่าผมไม่เสียชาติเกิด

แต่ว่าเอเอสทีวีก็ยังออกอยู่ คนก็ยังสามารถที่จะดูได้อยู่ผ่านอินเทอร์เน็ต ส่วนคนที่อเมริกาก็ยังดูได้ เพราะว่าเราส่งสัญญาณผ่านอินเทอร์เน็ตไปที่อเมริกาและขึ้นดาวเทียมที่อเมริกา ค่าใช้จ่ายก็ยังพอจะจ่ายได้ เพราะว่ามีสมาชิกที่อเมริกาเขาจ่ายเงินให้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟังว่า ถ้าเรามีแฟนพันธุ์แท้เอเอสทีวีหรือพันธมิตรฯ สักแสนคนจากจำนวนล้านคน ซึ่งน่าจะหาได้ ไม่ต้องอะไรแค่รับเป็นสมาชิก SMS เราเดือนละ 200 บาท เราก็อยู่ได้แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ มีแค่ 4 หมื่นคน เพราะฉะนั้นแล้ว ... (หยุดคิด) ผมก็เห็นใจเขานะ ผมก็เลยคิดเสียว่าวันนี้ไม่มีคนดูเอเอสทีวีผ่านดาวเทียมก็แล้วกัน ถ้าใครอยากดูก็ดูผ่านอินเทอร์เน็ตเอา

2.ในส่วนของทีมข่าวและรายการจะยังคงดำเนินการต่อไปหรือไม่?

ยังทำอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่ช่องทางการออกจะออกทางอินเทอร์เน็ตแทน แล้วก็ถ่ายทอดเสียงผ่านทางวิทยุเอฟเอ็ม 97.75 MHz นอกเสียจากว่า ... เพราะเงินเดือนพนักงาน 2 เดือนที่แล้วผมก็เพิ่งขายที่ดินส่วนตัวไปผืนหนึ่ง เพื่อเอาเงินจากการขายที่มาจ่ายเงินเดือน ส่วนอุดมการณ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น เราเสียอยู่อย่างเดียวคือเราไม่มีเงิน ถ้าเรามีเงินเราจะสามารถพัฒนาเอเอสทีวีไปได้อีกหลายระดับและจะช่วยชาติบ้านเมืองได้ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ... ในสังคมไทยเราเป็นคนปกติ ที่อยู่ในสังคมที่ไม่ปกติ

ตอนนี้พันธมิตรฯ หรือ คนที่เชียร์เอเอสทีวีที่เชียร์แต่ปาก ไม่ได้ช่วยอะไร ก็รบกวนไปดูช่องฟรีทีวี 3, 5, 7, 9, 11 แล้วกัน แต่พนักงานของเอเอสทีวีก็จะอยู่เหมือนเดิม เราก็จะต่อสู้หาเงินมาจ่าย แต่อย่างน้อยเราก็ลดต้นทุนการจ่ายค่าช่องสัญญาณดาวเทียมได้ ส่วนช่องอื่นๆ อีก 2 ช่อง คือ ช่อง Super บันเทิง กับช่องภาษาอังกฤษที่ออกทรูวิชั่นส์นั้น เขามีรายได้ของเขาเองสามารถดูแลตัวเองได้ เพราะฉะนั้นที่จะต้องดูแลก็คือช่อง นิวส์วัน แล้วก็ยังโชคดีที่มีอินเทอร์เน็ต มีเว็บไซต์ข่าวที่คนเข้าเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย

เอเอสทีวีเป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ชัดว่า คนไทยชอบเชียร์ แต่พอถึงเวลาต้องลงเงินลงแรงให้ของดีๆ ต้องมีอยู่ต่อไปก็จะเฉยๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรให้แล้ว ก็กลับไปสู่ยุคเดิม ยุคสมัยก่อนที่ผมทำเอเอสทีวี ... ถ้าไม่มีเอเอสทีวีเมืองไทยก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แล้ววันนี้ก็ไม่มีเอเอสทีวีอีกต่อไป เมืองไทยก็คงจะเปลี่ยนแปลงยากเหมือนกัน”
       
3.ที่ผ่านมา ทุกๆ เดือน ใช้เงินส่วนตัวมาโปะเอเอสทีวีจำนวนเท่าไหร่?

        เฉลี่ยเดือนละ 20-30 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินส่วนตัว ที่ติดลบประมาณเดือนละ 20 ล้านบาท ปีหนึ่งก็ 240 ล้านบาท คำนวณ 6-7 ปีที่ผ่านมาก็ลองคูณเข้าไปว่าเท่าไหร่ คือ ผมเหมือนคนบ้า คนอื่นก็บอกว่าไอ้สนธินี่มันบ้า เก็บเงินเก็บทองไว้ดีกว่า ประเทศชาติไม่ใช่ของมึงคนเดียว ไปแบกไว้ทำไม ช่อง 3 ช่อง 7 รวยจะตายไม่เห็นเขาออกมาทำอะไร เขาก็เน้นข่าวบันเทิง ละครต่างๆ เขาก็ร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมือง ... สังคมไทยเป็นสังคมที่แปลก สื่อมวลชนที่ไม่พูดความจริง บิดเบือนกลับอยู่ได้ เพราะคนไทยชอบ แต่สื่อมวลชนที่กล้าพูดความจริง ตรงไปตรงมา กลับโดนรังเกียจ หรือถ้าไม่รังเกียจก็เชียร์กันด้วยปาก ที่พูดไม่ได้หมายถึงพันธมิตรฯ ทุกคน เพราะก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังช่วยบริจาค ยังสมัครรับข่าวสารผ่าน SMS ASTV ซึ่งจำนวน 4 หมื่นกว่าคนนี่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่มันยังไม่พอมันต้องแสนถึงแสนห้าหมื่นคน

ก็ถามต่อว่าแล้วพันธมิตรฯ จริงๆ มีถึงแสนห้าหมื่นคนไหม ก็ต้องตอบว่ามีถึงล้านคน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพันธมิตรฯ หน้าจอซึ่งนั่งเชียร์ ซึ่งผมก็เห็นใจเขา บางคนก็บอกว่าธุรกิจก็ไม่ดี เศรษฐกิจก็ไม่ดี ผมก็มองในมุมกลับเหมือนกันว่า 6-7 ปีที่ผ่านมา ผมเสียเงินไปพันกว่าล้านเพื่อชาติบ้านเมืองนี่ผมเสียไปเพื่ออะไร ... แต่ผมไม่ได้เสียดายเงินนะ ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุด ทำมา 6-7 ปี เสียเงินพันกว่าล้าน ประเทศชาติได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร อย่างน้อยก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แล้วก็ได้เห็นข้อเท็จจริงในสังคม แล้วก็เปลี่ยนทัศนคติ แนวความคิด มีความรู้สึกรักชาติรักแผ่นดินขึ้น แต่เผอิญที่สื่อตัวนี้เป็นสื่อที่ต้องได้รับการสนับสนุน เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุน ผมต้องแบกรับคนเดียวเป็นหลัก มันก็ถึงจุดสุดท้ายที่มันต้องหยุด เพราะมันไม่มีให้ (หยุดคิด) ก็อาจจะมีทรัพย์สินอีกชิ้นหนึ่งที่ยังรอขาย ถ้ายังขายได้ก็อาจจะเอาเงินมาทำต่อ แต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็ยังคงดูผ่านดาวเทียมไม่ได้ต่อไป ต้องดูผ่านอินเทอร์เน็ต แต่การขายของ ณ เวลานี้ก็ไม่ง่าย” 
       
4.มีโอกาสที่จะออกอากาศผ่านดาวเทียมดวงอื่นหรือไม่?

        ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ดาวเทียมดวงอื่น เพราะเมื่อเราค้างหนี้เขาเราก็ต้องใช้เขา ถึงจะไปเช่าดาวเทียมดวงอื่น หนี้เก่าเราก็ยังต้องใช้คืนเขา ... เขา (ผู้ให้บริการดาวเทียม) ไม่ได้ผิดอะไร เราค้างหนี้เขา เราใช้บริการเขา ตกลงกันแล้วว่าจะจ่ายเดือนละเท่าไหร่ แต่ช่วงนั้นโชคร้ายที่เราต้องเอาเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงานก่อน เพราะพนักงานทุกคนเขาก็มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขาอยู่ เขาต้องกินข้าว มีบ้านต้องเช่า ต้องผ่อนส่ง รถต้องผ่อน ต้องเลี้ยงดูลูกเมีย ตอนนี้เอเอสทีวีก็เลยต้องกลายเป็นทีวีผ่านอินเทอร์เน็ตกับวิทยุชุมชนไป

ผมคงแบกความรับผิดชอบแบบนี้คนเดียวต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เพราะผมไม่มีแล้ว หลังหักแล้ว อย่างที่ผมเคยบอกว่าผมจะทำต่อไปจนไม่มีแรงทำ แล้ววันนี้ก็มาถึงแล้ว ... ไม่มีแรงแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น