xs
xsm
sm
md
lg

อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ผลสำรวจในช่วงหลังๆของสำนักโพลต่างๆทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ทัศนคติของคนไทยยอมรับการโกงอย่างเปิดเผยกันมากขึ้น หลายครั้งผลสำรวจออกมาว่า

“คนไทยส่วนใหญ่รับได้กับนักการเมืองขี้โกงทุจริตคอร์รัปชั่นแต่ขอให้ทำงานเป็น” และ

“คนไทยส่วนใหญ่รับได้กับนักการเมืองขี้โกง ทุจริตคอร์รัปชั่นแต่ขอให้เราได้รับประโยชน์ด้วย”


ด้วยเหตุนี้เองทำให้สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ไม่สนใจความถูกผิด แต่สนใจมากกว่าว่าใครเป็นพวกใคร และใครเส้นใหญ่กว่าใคร !?

ใครมีพวกมากกว่า มีเส้นมากกว่า ต่อให้ทำความผิดแค่ไหนก็ต้องไม่ผิด ในขณะที่คนซึ่งอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามทำอะไรต้องผิดตลอดกาล

ทัศนคติแบบนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกองเชียร์ของแต่ละฝ่ายเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงนักวิชาการ สื่อมวลชน องค์กรอิสระ และตุลาการ ที่ใช้สำหรับเป็นเครื่องมือปกป้องพวกพ้องของตัวเองและทำลายฝ่ายตรงกันข้าม

แต่สังคมที่ยอมรับได้กับการขี้โกงของนักการเมืองได้ ก็แสดงว่าเป็นสังคมที่เห็นเงินเป็นใหญ่มากขึ้น อีกหน่อยคนที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่แท้จริงต่อไปในอนาคตก็คือ...

“คนที่รวยที่สุด และโกงมากที่สุด”

เมื่อสังคมไทยยึดถือ “เงินเป็นใหญ่” นักวิชาการ สื่อมวลชน องค์กรอิสระ และตุลาการ ถูกซื้อได้ และการเมืองขั้วหนึ่งจึงจำเป็นต้องถูกกำจัดออกไปก่อนหน้านี้ด้วยข้ออ้างว่าเป็นภัยต่อชาติ

แต่การเมืองอีกขั้วหนึ่งก็ปล่อยให้มีการโกงกินกันอย่างมโหฬารและทำอะไรก็ไม่มีวันผิดได้ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อเอาเงินไปสู้กับนักการเมืองขั้วที่เป็นภัยต่อชาติ เช่นกัน


ส่วนประชาชนที่อยู่ข้างนักการเมืองของตัวเองต่างชื่นชมและปกป้องพวกพ้องของตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา และก่นด่าสาปแช่งฝ่ายตรงกันข้ามว่า ขี้โกง ครอบงำองค์กรอิสระ และใช้เงินและเส้นในกระบวนการตุลาการ

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมันก็ “ขี้โกง” และ “ใช้เส้น” กันทั้งสองขั้ว เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งใช้เงินนำหน้าสร้างเครือข่ายพรรคพวกของตัวเอง ส่วนอีกฝ่ายใช้เครือข่ายของพรรคพวกตัวเองนำหน้าในการปกป้องการโกงกิน เท่านั้น

ความเป็นจริงมันก็คือ “ความอยุติธรรม” ของทั้งสองขั้ว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อใดสังคมก็ไม่มีทางสงบสุขเพราะจะเกิดการต่อต้านและลุกขึ้นสู้จากอีกขั้วหนึ่งเสมอ ยิ่งมีความอยุติธรรมมากก็ยิ่งเป็นการขยายมวลชนผู้ต่อต้านมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

สังคมที่วิ่งแต่หาเงิน และหาเส้น จะเป็นสังคมที่ขาดความเป็นมืออาชีพ และการพัฒนาตัวเองในความเป็นวิชชาชีพ แต่จะแข่งกันด้วยการ วิ่งเต้น สอพลอ ประจบประแจง ปลิ้นปล้อน กระล่อน หลอกลวง ถึงจะโง่ ขี้เกียจ และเลวทรามแค่ไหนก็จะก้าวหน้าได้ถ้ามีเงินและเส้น

ขนาดเรื่อง “การเสียดินแดน” สังคมไทยส่วนใหญ่ก็ดูเฉยๆไม่เดือดร้อนอะไร ส่วนหนึ่งเพราะสื่อมวลชนไม่ทำหน้าที่ อีกส่วนหนึ่งเพราะสังคมไทยส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องไกลตัวบ้าง สนใจแต่เรื่องค้าขายชายแดนบ้าง สนใจกันอย่างเดียวว่าตัวเองจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเท่านั้น

ยิ่งถ้านักการเมืองของพวกตัวเองไปทำผิดถลำลึกที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนทั้งสองขั้วด้วยแล้ว เหล่าประชาชนผู้สนับสนุนนักการเมืองสองขั้วจะพร้อมใจกันหาเหตุผลพูดอธิบายว่า นักการเมืองที่ตัวเองชื่นชอบนั้นถูกใส่ร้าย ไทยยังไม่เสียดินแดน, ประเทศไทยยังไม่เสียเปรียบ, เป็นประเทศเพื่อนบ้านกันค้าขายกันดีกว่าเรื่องดินแดนเรื่องเล็ก ฯลฯ

จะต่างกันตรงที่ว่าใครจะแนบเนียนในการยกดินแดนให้ต่างชาติกว่ากัน ฝ่ายหนึ่งตื้นเขินไปยอมยกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียว อีกฝ่ายล้ำลึกกว่าเพราะจะยืมมือองค์กรนานาชาติมาช่วยประทับตรารับรองแทน

ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ไม่ได้ยึดความเป็นพรรคพวกกับนักการเมือง แต่ต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น และสู้กับกระบวนการทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน จึงเป็น “คนส่วนน้อย” ในสังคม ที่นักการเมืองและผู้สนับสนุนนักการเมืองทุกฝ่ายหันมาโจมตีให้ร้ายและทำลายตามสัญชาตญาณของนักการเมืองทุกยุคทุกสมัย

ปี 2548 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกสาดโคลนว่าออกมาต่อต้านระบอบทักษิณเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ปรากฏว่าครอบครัวลิ้มทองกุลต้องขายทรัพย์สินเกือบทั้งหมดทั้งในประเทศและต่างประเทศมาสู้กับระบอบทักษิณก็ยังไม่พอ แถมยังต้องกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายเงินเดือนพนักงาน ASTV อีกจำนวนมาก

ปี 2554 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ถูกใส่ร้ายสาดโคลนอีกเหมือนกันว่าออกมาต่อสู้กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เพราะ “รับเงินทักษิณ” ทั้งๆที่ทุกวันนี้ ASTV ยังต้องประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนัก เงินเดือนพนักงานจ่ายไม่ตรงเวลา และยังต้องเชิญชวนประชาชนมาบริจาคให้กับสถานีโทรทัศน์ที่ ตรวจสอบเรื่องทุจริต และรักษาอธิปไตยของชาติให้ดำรงอยู่ต่อไป โดยปราศจากการสนับสนุนจากทุนใหญ่และอำนาจรัฐ

อย่างน้อยสิ่งที่พันธมิตรฯได้พูด และยืนยันก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง เช่น ทักษิณร่ำรวยผิดปกติและมาจากการทุจริต, MOU 2543 ไม่ได้ช่วยไทยเรื่องมรดกโลกและประเทศไทยต้องถอนตัวออกจากมรดกโลก, การทุจริตในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และการปล่อยประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงก่อนหน้านี้แต่กลับมาใช้วาทกรรมแดงเผาเมืองในช่วงการหาเสียงจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสื่อมถอย, ถ้ามีเลือกตั้งภายใต้สภาพนี้พรรคเพื่อไทยจะชนะขาดลอย, MOU 2543 ไม่ได้ช่วยไทยได้ในเวทีศาลโลก จนศาลโลกออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเอื้อประโยชน์ให้ฝั่งกัมพูชา ฯลฯ เพียงแต่คนที่สนับสนุนขั้วอำนาจของตัวเองไม่เคยรับฟังและไม่ยอมรับความจริงเรื่องเหล่านี้

ความจริงแล้ว การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับระบอบทักษิณ และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นั้นมีเนื้อหาที่เหมือนกันคือ การต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น และการต่อสู้กับภัยรุกรานยึดครองดินแดนจากต่างชาติ โดยมีประเทศมหาอำนาจเฝ้ารอการสูบขุมทรัพย์ทางพลังงานในอ่าวไทย

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนในเนื้อหาของการต่อสู้ คนที่เปลี่ยนจุดยืนในเนื้อหาการต่อสู้ที่แท้จริงก็คือคนที่ไม่เปลี่ยนใจจากขั้วอำนาจของตัวเองต่างหาก

มีคนถามว่า แล้วพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะสู้แบบนี้ไปเพื่ออะไร ก็ในเมื่อสังคมส่วนใหญ่รับได้กับการขี้โกงทุจริตคอร์รัปชั่น และไม่เดือดร้อนที่ประเทศไทยจะต้องเสียดินแดน อีกทั้งยังต้องมาถูกดำเนินคดีความทั้งทางแพ่งและอาญาจากผู้มีอำนาจและความ อยุติธรรมจากทุกขั้ว ถูกปองร้ายลอบสังหารเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต และถูกใส่ร้ายป้ายสีจากการเมืองทุกขั้วมาตลอดทุกยุคทุกสมัย แถมยังต้องเดือดร้อนเพราะอยู่ตรงกันข้ามอำนาจทางการเมืองทุกฝ่าย แล้ว ASTV จะอยู่รอดทางธุรกิจได้อย่างไร? แล้วเราจะทำไปทำไม?

ท่ามกลางความวิปริตของสังคม ประเทศไทยอาจมีการโกงกินกันต่อไป ประเทศไทยอาจต้องเสียดินแดนในท้ายที่สุด แกนนำพันธมิตรฯอาจติดคุกหรือล้มละลาย แกนนำพันธมิตรฯอาจถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต ASTV อาจต้องปิดตัวลง หรือประเทศไทยอาจถึงขั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

แต่อย่างน้อยคนที่มาร่วมสู้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มั่นใจได้ว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่เราทำว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำ ถึงเกิดอะไรขึ้นก็ถือว่าได้ทำจนสุดความสามารถแล้ว ไม่มีอะไรติดที่ค้างหนี้อยู่ในใจ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ก็ไม่เสียชาติเกิด

ส่วนหากมีความเสียหายเกิดขึ้นกับแผ่นดิน คนที่ควรจะเสียใจก็ควรจะเป็นคนอื่นๆต่างหาก ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง!!!

กำลังโหลดความคิดเห็น