ASTVผู้จัดการรายวัน - "มาร์ค-ตร." เดือดร้อนป้าย "อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา" ขู่ฟันพันธมิตรฯ ใส่ร้ายผิดกฎหมาย ชง กกต.-กทม.ฟัน ด้าน “ปานเทพ” ลั่นไม่ปลด เดินหน้าติดเพิ่มทั่วประเทศ ยันเป็นเสรีภาพแสดงออก ฉะตำรวจนั่งคิดเอาเองว่าไม่เหมาะ ย้อนสมัยติดรูป “แม้ว-หญิงอ้อ” ไม่เห็นมีใครมาว่า เชื่อไม่ขัดกฎ กกต. เหตุไม่ได้ระบุถึงใครเป็นพิเศษ
วานนี้ (13 พ.ค.)พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงภายหลังการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศรส.ลต.ตร.) ว่า กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่เป็นรูปคนใส่สูทมีหัวเป็นรูปสัตว์ต่างๆ และข้อความ “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” บนถนนราชดำเนินนอก ใกล้กับพื้นที่ชุมนุม โดยในที่ประชุม ศรส.ลต.ตร.ได้มีมติให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องไปตักเตือนว่าการกระทำดังกล่าวมีความไม่เหมาะสม และให้ดำเนินการปลดป้ายดังกล่าวลงมา ขณะเดียวกันให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำหนังสือถึง กทม.ว่าการขึ้นป้ายบนถนนราชดำเนิน เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งจะทำหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อสอบถามว่ากรณีการขึ้นป้ายดังกล่าวผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่
**มาร์คขู่ ใส่ร้าย อาจผิดกฎเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นป้ายรณรงค์ อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภาฯ ว่า ไม่ทราบเขาหมายถึงใคร เพราะเรามีแต่ให้เลือกคนดีเข้าสภาฯ และยืนยันว่าคนที่ลงสมัครต้องมีคนดีๆ เยอะ
เมื่อถามว่า การที่มีเวทีทางการเมืองและมีการโจมตีพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นพิเศษจะผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเข้าข่ายในการที่จะใส่ร้าย ก็คงผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะกฎหมายมาได้เจาะจงว่า ต้องเป็นผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ผู้ใดก็ตามถ้าทำผิดก็คือผิดกฎหมายเลือกตั้ง
**พธม.ยันเสรีภาพไม่ปลดคัตเอาท์
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศรส.ลต.ตร.) ให้ปลดป้ายคัตเอาท์ขนาดใหญ่มีรูปคนใส่สูทมีหัวเป็นรูปสัตว์ 5 ชนิด พร้อมข้อความ “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า ต้องดูกฎหมาย ไม่ใช่การออกมาพูดลอยๆตามความรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เพราะการขึ้นป้ายครั้งนี้เป็นสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของการชุมนุม การอ้างว่าผิดเงื่อนไข กกต.ต้องดูว่า มีการกล่าวหานักการเมืองคนใดหรือไม่ ในป้ายมีแค่รูปคนใส่สูทเป็นหัวสัตว์ต่างๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นนักการเมืองคนไหน อีกทั้งบนป้ายก็เขียนข้อความโหวตโนชัดเจน ประชาชนย่อมตัดสินใจเองได้ว่า ใครมีพฤติกรรมแบบนี้
ซึ่งก่อนหน้านี้สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ถูกออกหมายจับ ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เคยขึ้นป้ายประกาศจับบริเวณนี้มาแล้ว ไม่เคยมีปัญหาอะไร ตำรวจไม่เคยมาสั่งปลด ดังนั้นทางกลุ่มพันธมิตรฯ จะไม่ปลดป้ายดังกล่าวลงมา แต่จะมีการติดป้ายคัตเอาท์เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่มีการติดต่อมายังกลุ่มพันธมิตรฯ เรื่องการปลดป้ายแต่อย่างใด
**กกต.ชี้โหวตโนเป็นสิทธิ์ ปชช.
นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีที่มีการรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนหรือโหวตโนว่า กฎหมายได้ให้สิทธิ์ประชาชนในการลงคะแนน เมื่อมีความเห็นอย่างไรก็เลือกอย่างนั้น ตนในฐานะ กกต. ถือเป็นคนกลางพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะการให้ความเห็นไปถือว่าไม่เหมาะสม กกต.มีหน้าที่รณรงค์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนประชาชนจะลงคะแนนอย่างไรต้องเคารพประชาชนตัดสินใจ
** อัด “สมศักดิ์” มั่วมติพรรคส่ง ส.ส.
วันเดียกวัน นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) ทำจดหมายเปิดผนึกชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาในพรรคการเมืองใหม่ (กมม.)ว่า ตามที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และ กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่อีก 4 คน ร่วมกันแถลงข่าว เมื่อวานนี้ ณ ที่ทำการพรรคการเมืองใหม่ว่าพรรคการเมืองใหม่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งในระบบสัดส่วนและระบบเขต และกรณีเงินบริจาคของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และกรณีเงินค่าบัตรดินเนอร์ทอล์คในงานระดมทุนพรรคนั้น ผู้แถลงข่าวทั้ง 5 คนกำลังนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนและไม่เป็นความจริง ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะสมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรคสับสนต่อจุดยืนของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ รวมทั้งทำให้ผมในฐานะเลขาธิการพรรคได้รับความเสียหายโดยตรง จึงขอเรียนชี้แจงเป็นประเด็นดังนี้
**สัปดาห์หน้ายื่นต่อกกต.เป็นโมฆะ
พรรคการเมืองใหม่ไม่เคยมีมติส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นระบบเขตและระบบสัดส่วนก็ตาม นอกจากนี้คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคที่ต้องทำหน้าที่รับรองผู้สมัคร ตาม พรบ.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 37 และ 38 ก็ยังไม่เคยมีการประชุมเพื่อรับรองและเสนอชื่อผู้สมัครของพรรคแม้แต่ครั้งเดียว ฉะนั้นการที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ประกาศส่งผู้สมัครในนามพรรคการเมืองใหม่ จึงเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ไม่มีมติพรรครองรับ และกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมากทั้ง 10 คน ที่ยืนตามความเห็นของที่ประชุมใหญ่พรรค จะไปยื่นหนังสือพร้อมบันทึกการประชุมเพื่อยืนยันต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในสัปดาห์หน้าอีกครั้งหนึ่ง
**ปล่อยข่าวเลขาธิการพรรคลาออก
กับความพยายามปล่อยข่าวว่าตัวผม ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคก่อนหน้านี้นั้น ข้อเท็จจริงก็คือผมเคยแจ้งในที่ประชุมกรรมการบริหารว่าหลังการประชุมใหญ่พรรคในวันที่ 24 เมษายน 2554 ผมจะลาออกเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค แต่เมื่อผมพบพิรุธและขบวนการตุกติกและบิดเบือนของคนบางกลุ่มในพรรคที่พยายามจะฝ่าฝืนและไม่เคารพความเห็นของสมาชิกพรรคมากกว่าร้อยละ 90 ที่เห็นว่าพรรคไม่ควรส่งผู้สมัครฯ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นเหตุให้ผมตัดสินใจไม่ยื่นหนังสือลาออกตามข้อบังคับพรรค ข้อที่ 23 (2) ที่ระบุว่า การลาออกจากกรรมการบริหารพรรคจะสมบูรณ์เมื่อได้ยื่นใบลาออกต่อหัวหน้าพรรคหรือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่แทนหัวหน้าพรรค ซึ่งที่ผ่านมาผมยังไม่เคยยื่นใบลาออกแต่อย่างใด
** ตัดตอนหา “สนธิ” ไม่เคยช่วยพรรค
กรณีที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ระบุว่าพรรคไม่เคยได้รับเงินบริจาคจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล จำนวน 3 ล้านบาทนั้น เป็นการแถลงข่าวโดยยังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะพรรคการเมืองใหม่ยังเป็นหนี้ค้างค่าเช่ารายการ “ก้าวที่กล้า สู่การเมืองใหม่” และค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกิจการของพรรคทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี หนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการ และเว็บไซด์เมเนเจอร์ออนไลน์ ซึ่งพรรคยังไม่ได้จ่าย และหากมีข้อชวนสงสัย หัวหน้าพรรคก็ควรตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพราะพรรคได้ทำสัญญาค่าเช่าไว้ด้วย ที่สำคัญ กก.บห.พรรคต่างก็ทราบดีว่านับตั้งแต่นายสนธิ ลาออกจากหัวหน้าพรรค และนายสมศักดิ์ขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าแทนยอดบริจาคของประชาชนที่ให้กับพรรคก็แทบไม่มีเลย
**ป้ายสีติดหนี้พรรค 6.5 แสนบาท
ส่วนที่มีการกล่าวหาผมว่ายังเป็นหนี้พรรคอยู่ 6.5 แสนบาท เพราะยังไม่ชำระค่าบัตรดินเนอร์ทอล์คหรืองานระดมทุนของพรรค ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ปีที่แล้ว โดยข้อเท็จจริงนั้นตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ที่มี กกบ.หลายท่านยังไม่สามารถทวงค่าบัตรดินเนอร์ทอล์คได้ ในส่วนของผมคือยอด 6.5 แสนบาท หลังจากนั้นก็เริ่มได้เงินค่าบัตรมาเป็นระยะๆ บางคนก็นำบัตรมาคืนจนมีการตัดยอดของผมเหลือแค่ 1 แสนบาท ตามมติที่ประชุม กกบ. ซึ่งผมต้องรับผิดชอบแทนผู้ที่ซื้อบัตรไปแต่ได้นำบัตรมาคืน (รายละเอียดเอกสารหลักฐานดูได้ที่ www.facebook.com/suriyasai)
**จุดยืนคัดค้านความพยายาม“สมศักดิ์”
ฉะนั้นการระบุว่าผมยังค้างหนี้พรรคอยู่ 6.5 แสนบาทนั้น จึงเป็นการยกเอายอดหนี้ค้างตั้งแต่ปีที่แล้วซึ่งได้มีการจัดการไปแล้ว ขึ้นมากล่าวหาเพื่อทำลายความชอบธรรมของผม ทั้งที่นายสมศักดิ์ และกรรมการบริหารพรรคก็ทราบดีว่างานระดมทุนพรรคครั้งนั้นผมสามารถจำหน่ายบัตรได้มากกว่าคนอื่น กรรมการบริหารบางท่านไม่ได้ช่วยขายเลยแม้แต่ใบเดียว ผมและพรรคก็ไม่ติดใจเพราะเราทำงานโดยยึดถือความเสียสละและคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละคน นอกจากนี้ กก.บห.พรรคทราบดีว่าผมได้ใช้เงินที่กู้ยืมส่วนตัวมาสำรองจ่ายให้กับพรรคเป็นระยะๆ เกือบ 2 ล้านบาท ผอ.พรรคและเจ้าหนี้พรรคทราบเรื่องนี้ดีเพราะทุกอย่างมีเอกสารหลักฐานรองรับ
สำหรับจุดยืนผมต่อสถานการณ์ปัญหาในพรรคนั้น ผมและ กก.บห. 10 คนยังยืนยันที่จะคัดค้านความพยายามของ กก.บห. บางคน และ สาขาบางสาขา ที่ไม่เคารพเสียงของสมาชิกพรรคจนถึงที่สุด โดยเฉพาะการพยายามของกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มที่หวังใช้พรรคการเมืองใหม่ เป็นเครื่องมือเพื่อเผชิญหน้าและกล่าวหาโจมตีการเคลื่อนไหวของพี่น้องพันธมิตรฯ และทำลายความชอบธรรมของการรณรงค์โหวตโน ขบวนการนี้ถือเป็นใส้ติ่งของพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ต้องต่อต้านและกำจัดออกไปให้ถึงที่สุด.