ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้รัฐบาลจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือศปภ. มาได้ร่วมสามสัปดาห์แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า ศปภ.จะกลายเป็น “ศูนย์ป่วนประชาชน” จากการปล่อยข่าวภัยพิบัติ จนสร้างความแตกตื่นสับสน ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว จน ศปภ. กลายเป็นศูนย์ “ไร้สติ” และเชื่อถือไม่ได้ในที่สุด
กระทั่งได้ยินคำพูดที่สะท้อนออกมาจากความอึดอัดขัดข้องใจของผู้คนทั่วไปว่า “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย แต่เอา(....)ไปคุมศปภ.” !
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ย้ายฐานที่มั่นจากทำเนียบรัฐบาล มาตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง นัยว่าเพื่อให้ง่ายต่อการบัญชาการ และง่ายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ จึงทำให้ภายในตัวอาคารท่าอากาศยานดอนเมืองเต็มไปด้วยส่วนงานราชการต่างๆ มากมาย และเมื่อรวมกับปริมาณเจ้าหน้าที่หลายพันชีวิต ก็ทำให้พื้นที่อันกว้างขวางของท่าอากาศยานดอนเมืองดูคับแคบไปถนัดตา
แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ปักหลักทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ศปภ. ยังเป็นที่สิงสู่ของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่วนเวียนตามมาเชียร์ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ทุกวัน โดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่แห่แหนกันเข้ามาใน ศปภ. ดอนเมืองแห่งนี้มีหลายกลุ่มหลายก้อน นับตั้งแต่ "แดงเจ้าถิ่น” ที่อาศัยอยู่บริเวณย่านดอนเมือง โดยแดงกลุ่มนี้มีหัวโจกใหญ่ชื่อ "การุณ โหสกุล" ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย คอยเดินกร่างคุมเกมตลอดทั้งวัน
เรียกได้ว่าใครที่เป็น “คนเสื้อแดงบ้านเดียวกัน” เดือดร้อนอะไรเรียก “พี่เก่ง” ได้ทุกเมื่อ !
นอกจากนี้ยังมี "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากเดินเตร่ไปเตร่มาราวกับเดินเที่ยวตลาดนัดสวนจตุจักร บ้างก็เข้าไปวุ่นวายกับการทำงานของสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ บ้างก็เดินหยิบของบริจาคกินฟรีจนปากมันแผล็บ!
และที่สำคัญได้ยินหลายคนบ่นกันมากว่า การที่จะเข้าไปใน ศปภ. นั้น ถ้าใส่เสื้อสีอื่นเข้าไปต้องมีการเข้มงวดกวดขันในการตรวจบัตร แต่หากใส่ “เสื้อแดง” ก็สามารถเดินตัวปลิวผ่านเข้าไปได้เลย เพราะมีสัญลักษณ์ “เสื้อแดง” เป็นใบเบิกทาง
อย่างไรก็ตาม นอกจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าไปเดินเพ่นพ่านเกะกะการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่เต็ม ศปภ. แล้ว ยังมีบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดง ที่สลับหน้ากันมาบ้าง โดยเฉพาะ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่มาคอยทำหน้าที่สอดส่องความเรียบร้อยในส่วนของการแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล รวมถึงสื่อของรัฐ
ขณะที่ทีมกุนซือใหญ่ "บ้านเลขที่ 111" อาทิ จาตุรนต์ ฉายแสง, ภูมิธรรม เวชยชัย, วราเทพ รัตนากร, สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ก็เดินป้วนเปี้ยนไม่ปกปิดว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานของ ศปภ. จนเรียกได้ว่า ศปภ. เป็น "ศูนย์รวมคนเสื้อแดง” ก็ไม่ผิดนัก!
แต่ที่หนักและน่าเกลียดเป็นที่สุด ก็คือ มีการร้องเรียนมายังสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากว่ามีการ “กั๊ก” ของบริจาค โดยมีตัวแทน “ผู้มีอิทธิพล” ในพื้นที่เข้ามาคัดสรรให้พวกพ้อง “คนเสื้อแดง” ของตัวเองก่อน อีกทั้งการแจกจ่ายยังมีความซับซ้อน ไม่เป็นระบบ และไม่ทั่วถึง
และว่ากันว่า เมื่อมีคนไปขอรับของบริจาค ก็จะมีผู้มีอิทธิพล (เก่งการถีบ) ใน ศปภ. มาถามว่า “คุณเป็นใคร มาจากไหน จะเอาของไปทำอะไร เป็นเสื้อเหลืองหรือเปล่า” ชาวบ้านที่มารอคอยความช่วยเหลือจริงๆ จึงได้แต่นั่งลุ้นตาปริบๆ โดยรัฐบาลไม่สนใจที่จะควบคุมพลพรรค “เสื้อแดง” ของตัวเองไม่ให้เหยียบย่ำซ้ำเติมความทุกข์ของชาวบ้านแต่อย่างใด
หนำซ้ำยังตั้งทีมงาน “คนเสื้อแดง” มาทำหน้าที่มอนิเตอร์ข่าว และรวบรวมข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ตลอดทั้งหมด โดยมี “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” หัวโจกคนเสื้อแดง เป็นโปรดิวเซอร์หลักในการสั่งการหน้าจอ หลังจากที่ ศปภ. ออกมาให้ข่าว “มั่วๆ” จนทำให้เกิดความสับสน
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการทำงานของรัฐบาลไม่ได้เป็นไปเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะมีการมุ่งใช้ทีวีของรัฐ เช่น ช่อง 11 ทำโฆษณาชวนเชื่อให้แก่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยที่สอบตก และหาเสียงให้นายกรัฐมนตรี โดยมีการจัดฉากให้เหมือนสถานการณ์ปกติและรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาได้ เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีการจัดทำมิวสิกวิดีโอเพลงประกอบ “บ้านทรายทอง” ซึ่งเป็นการใช้เวลาของรัฐ ทีวีของรัฐ โฆษณาให้กับตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาและความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง ทั้งนี้ พบว่าหลายช่วงเวลา มี ส.ส. สอบตกของพรรคเพื่อไทยมาออกทีวีหน้าสลอน อาทิ แซม ยุรนันท์ และหมวดเจี๊ยบ สุนิสา เป็นต้น
จนหลายคนทนไม่ไหวต้องออกมาสะท้อนความอึดอัดใจว่า “อยากให้รัฐบาลเลิกเล่นปาหี่ และพูดความจริงกับประชาชนเสียที”
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ความเคลื่อนไหวของ “หัวโจกคนเสื้อแดง” อย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาจินตนาการว่า อุทกภัยครั้งนี้มีกลเกมทางการเมืองแทรกซ้อนอยู่ โดยกล่าวถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาว่า กองทัพไทยเป็นผู้ร้องขอดูแล 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครสวรรค์ อยุธยา ลพบุรี นนทบุรี และปทุมธานี ซึ่ง น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ ได้ประกาศสำนักนายกฯ แต่งตั้งขึ้นมา แต่ตนเห็นว่า กองทัพไม่ได้ทุ่มเทเครื่องจักร และสรรพกำลังออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ 5 จังหวัดดังกล่าวประสบภัยพิบัติอย่างรุนแรง
"พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน มาใช้แก้ปัญหาน้ำท่วม เสมือนหนึ่งว่าเพื่อให้อำนาจกองทัพ เตรียมขนอาวุธยุทโธปกรณ์มารอตามจุดต่างๆ หวังยึดอำนาจ โค่นล้มรัฐบาล โดยเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น กองทัพต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสถานการณ์น้ำท่วมทั้ง 5 จังหวัดด้วย...
“การขอประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินคิดอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องการเอากำลังทหารออกมาแล้วก็ไม่ยอมกลับไปตอนน้ำลด หลังจากนั้นถามว่าจะทำอะไรกับรัฐบาลแค่อ้าปากก็เห็นแล้วว่าคุณคิดชั่วกันอย่างไร”
อยากถาม “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ว่าพฤติกรรมอย่างนี้เป็นความพยายามให้ความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา “น้ำท่วม” อย่างที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ “เสียงสั่น-น้ำตาคลอ” เรียกร้องให้ทุกฝ่ายคิดถึงผู้ประสบภัยหรือไม่... เลิกเล่นละครจะดีกว่าไหม ?
เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนของพื้นที่น้ำท่วมก็เห็นแต่ “ทหาร” ทุกเหล่าทัพที่ช่วยประชาชนอย่างเต็มที่ ทำแบบไม่มีบ่น ไม่เห็นก็แต่ “แกนนำคนเสื้อแดง” นักต่อสู้เพื่อประชาชนผู้สูงส่งนั่นแหละ พอชาวบ้านเขาเดือดร้อนไม่รู้หายหัวไปมุดรูหางจุกตูดอยู่ที่โคกไหน
ทั้งนี้ หลังจากคางคกพ่นน้ำลายเสร็จ มีข่าวว่าทีมงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายกฯ ระบุว่า... “ผบ.ทบ.รายงานนายกฯว่ากองทัพได้ส่งทหาร 30,000 นายลงช่วยน้ำท่วม ช่วยเต็มที่ ยืนยันไม่มีการปฏิวัติ” มันก็แหงล่ะ งานล้นมือขนาดนี้ ทหารเขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปปฏิวัติ
แต่การปรากฏตัวของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในฐานะที่ปรึกษา ผอ.ศปภ. มันก็น่าคิด และทำให้หลายฝ่ายมองว่ามีนัยทางการเมืองอะไรบางอย่างหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยได้และไม่มีความชัดเจนในการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง โดยทักษิณค่อนข้างผิดหวังกับการทำงานของรัฐบาลน้องสาวซึ่งไม่เหมือนกับการทำงานของรัฐมนตรีชุด “บ้านเลขที่ 111” จึงได้สั่งให้สมาชิกบ้าน 111 เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาครั้งนี้ด่วน
ซึ่งนั่นอาจเป็นที่มาของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยใน กทม. ที่ถูกส่งตัวให้มาช่วยกอบกู้สถานการณ์(รัฐบาลยิ่งลักษณ์)ในครั้งนี้
และด้วยความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมันส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ลดลงอย่าง “ฮวบฮาบ” ในขณะเดียวกันภาพการเสียสละของ “ทหาร” ก็สร้างความประทับใจให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน และเมื่อสถานการณ์เริ่มถดถอยแบบนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ต้องปรับกลยุทธ์อย่างฉุกละหุก นั่นคือ เร่งเดินเกมรุกทันที
โดยล่าสุด กับการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อออสเตรเลียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่กองทัพ ส่งสัญญาณให้เร่งแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อเปิดทางให้นักการเมืองเข้าไปล้วงลูกการโยกย้ายนายทหารได้สะดวก ขณะเดียวกันก็กล่าวหาว่ากองทัพเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย และผู้นำเสพติดอำนาจ
แต่หากพิจารณาจากอารมณ์ของคนไทยในยามนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า “เห็นใจทหาร” มากกว่า “รัฐบาล” ดังนั้นคำพูดของทักษิณในยามนี้จึงไม่น่าเป็นผลดีเท่าไหร่นัก แต่คนอย่างทักษิณ ย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติคราวนี้เหนือความคาดหมาย ไม่อาจสร้างภาพทางการตลาดตบตาได้อีกต่อไป และในอนาคตก็ยิ่งเลวร้ายสารพัดปัญหาจะถาโถมเข้ามาหลังน้ำลด
ดังนั้น การส่งสัญญาณรุกเข้ามาในกองทัพโดยการแก้ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อรีบทำลายปราการด่านสุดท้ายที่ยังเหลือ โดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาลากไป ประสานกับการส่งเสียงโวยวายในต่างประเทศเพื่อสร้างกระแส “รัฐประหาร” ในทางลบ แม้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นความเสี่ยงสวนทางต่อความรู้สึกของคนไทยที่กำลังเดือดร้อนอยู่กับเรื่องน้ำท่วม แต่เพื่อความมั่นคงส่วนตัวและการรักษาอำนาจของครอบครัวเอาไว้ เสี่ยงยังไง “แม้ว” ก็ต้องทำ !