สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันปริมาณ “น้ำใจ” ของประชาชนคนไทยก็มากไม่แพ้กัน ทั้งที่ผู้ประสบภัยด้วยกันเอง หรือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ที่ออกมาร่วมใจแสดงจิตอาสาในรูปแบบต่างๆ ทั้งการบริจาคเงินทอง เครื่องอุปโภคบริโภค หรือการลงมือช่วยบรรจุของบริจาค หรือกระทั่งลงแรงไปช่วยก่อแนวคันกั้นน้ำในหลายพื้นที่
ที่สำคัญในวิกฤติครั้งนี้ยังได้เห็นภาพความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยไม่แบ่งแยกสีเสื้อ หรือแบ่งแยกพรรค อย่างภาพที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯ และผู้นำฝ่ายค้าน ที่หนีบคณะทำงานทั้ง “กรณ์ จาติกวณิช - ศิริโชค โสภา - ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” สร้างเซอร์ไพรส์ บุกไป“ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย” หรือ ศปภ. ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อร่วมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี และทีมงาน
ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของประเทศ และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการลดความตึงเครียดทางการเมืองหลังจากที่ก่อนหน้านี้ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่านเครือข่าย “ศูนย์อาสาฯ คนไทยช่วยน้ำท่วม” และได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพในพื้นที่ประสบภัยมาหลายหน จนแซวกันว่า พอมาเป็นฝ่ายค้าน เลยได้เห็น“อภิสิทธิ์” ลงพื้นที่ถี่กว่าตอนเป็นนายกฯเป็นไหนๆ
พร้อมกับเสียงค่อนขอดว่า “ฝ่ายการเมือง” ต่างคนต่างทำงาน ทำให้การทำงานไร้ทิศทาง ไม่สามารถระวังป้องกันได้ทันท่วงที เป็นเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งมโหฬารอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
**การปรากฎตัวของ “อภิสิทธิ์” เคียงข้าง “ยิ่งลักษณ์” ในคราวนี้อาจเป็นภาพที่ประทับใจคนไทย แต่ในทางกลับกัน บรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111-109 ที่แห่ไปประจำการอยู่ที่ ศปภ. หรือกระทั่ง“ทักษิณ ชินวัตร” พี่ชายนายกฯ อาจไม่พอใจก็ได้ เพราะ “ทีมกุนซือ” ของรัฐบาลอาจมองว่า งานนี้ "สาวปู" เสียท่าถูก"หนุ่มมาร์ค" บุกมาขโมยซีนถึงถิ่น
ต้องยอมรับว่า ภาพที่ออกมาเหมือนว่า “อภิสิทธิ์” ไปติวงาน และแสดงภาวะผู้นำเหนือนายกฯคนปัจจุบัน แถม “สอนมวย” ด้วยข้อเสนอที่น่าจะเป็นประโยชน์ และรัฐบาลปฏิเสธได้ยาก อย่างการเตรียมพื้นที่คลังสินค้าสนามบินดอนเมือง พื้นที่ 70,000 ตร.ม. เพื่อรองรับการอพยพของประชาชน หรือการยุบหน่วยงานต่างๆ ที่รัฐบาลตั้งขึ้นให้เหลือเพียงศูนย์เดียว เพื่อให้การทำงานมีเอกภาพ เป็นต้น
แม้ภาพที่เห็นว่า “ยิ่งลักษณ์” อาจตามไม่ทัน หรือไม่เข้าใจบ้างในระหว่างการหารือ แต่อย่างน้อยภาพที่สังคมไทยได้เห็น “ยิ่งลักษณ์” มาต้อนรับพร้อมเชิญชวนคณะของ “อภิสิทธิ์” เข้าร่วมหารือแผนป้องกันน้ำท่วมนั้น ถือเป็นการสะท้อนน้ำใจในยามมีปัญหาครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ และก็เชื่อว่าแนวทางที่จะคลอดออกมาหลังจากการหารือรอบนี้ จะเป็นประโยชน์ในภาพรวมมากกว่าที่ผ่านมา
**รวมทั้ง “เว้นวรรค” อุณหภูมิร้อนๆทางการเมืองที่ยังคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
ในขณะที่เกิด “ภาพประวัติศาสตร์” ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านในการร่วมแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่ “คนสำคัญ” ในรัฐบาล อย่างบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง กลับไม่ได้แสดงผลงานใดให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความพยายามที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้ไขปัญหาที่เข้าขั้น “วาระแห่งชาติ” ครั้งนี้
เพราะเรายังเห็นภาพ “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” อดีตประธาน นปช. ไปเป็นประธานเปิดการแข่งขันชกมวย ที่ถ่ายทอดผ่านช่อง 11 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมกับที่เราได้เห็นภาพ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ขวัญใจคนเสื้อแดง ไปนั่งแจกลายเซ็น เปิดตัวหนังสือ “สุภาพบุรุษไพร่” ในงานมหกรรมหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์
**ที่สำคัญเรายังเห็นภาพ “จตุพร พรหมพันธุ์” พร้อม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไปเปิด “อำเภอเสื้อแดง” ที่ จ.อุดรธานี ในวันที่น้ำทะลักเข้าท่วมอยุธยาจนจมบาดาล เหมือนลืมไปว่าอยุธยา ก็มีคนเสื้อแดงไม่น้อย แต่แกนนำกลับไม่ดูดำ ดูดี
ไม่เท่านั้นการออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อแต่ละครั้ง ยังหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม และรื้อกฎหมาย 177 ฉบับที่ออกในสมัย คมช.ซ้ำแล้วซ้ำอีก
กว่า “สามเกลอ” จะรู้ตัวก็เกือบจะไม่ทันการณ์ เพราะสถานการณ์น้ำท่วมลุกลามบานปลายไปใหญ่โต จะทำได้ก็เพียง“แก้เกี้ยว” ด้วยการประกาศนัดหมายให้คนเสื้อแดงเคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน เพื่อตะเวนขอรับบริจาคเงินทอง และสิ่งของเพื่อสู้ภัยน้ำท่วม แถมบอกด้วยว่าจะระดมพลในลักษณะเดียวกับเมื่อครั้งชุมนุมใหญ่ เมื่อปี 53
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การระดมคนหรือสิ่งของในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นเดียวกันว่า การประกาศ “เป่านกหวีด” ปลุกกระแสด้วยมาตรฐานเดียวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมในภาวการณ์เช่นนี้
เพราะอาจเป็นการทำลายบรรยากาศความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ไม่ต่างจากการ“กวนน้ำให้ขุ่น” ในสถานการณ์ที่เมืองไทยต้องการความสามัคคี
ดังนั้น “สามเกลอ” และคนในพรรคเพื่อไทย ควรปรับแนวทางการสื่อสารถึงคนเสื้อแดง และประชาชนทั่วไปให้สร้างสรรค์มากกว่า ไม่ควรแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกีดกันแบ่งสีเสื้อกันเหมือนเคย
**แต่หากต้องการ “สุมไฟ” ประคองอุณหภูมิความขัดแย้งต่อไปก็ตามสบาย
หรือแม้แต่ “นพดล ปัทมะ” ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปากเปราะออกมาวิจารณ์ว่า กรมชลประทานทำงานช้า สำทับกับวิวาทะ “น้ำไม่ท่วม”เมืองสุพรรณบุรี ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ดูจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ คอยตำหนิติติงผู้อื่น โดยที่ไม่ได้นำเสนอหนทางที่เป็นประโยชน์ออกมา
หนำซ้ำยังถือเป็นการบั่นทอนกำลังใจของข้าราชการที่เกี่ยวข้อง โดยยังไม่ต้องพูดถึง “รอยร้าว” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่หลังวิกฤติคงต้องมานั่ง “เยียวยา” กันอีกยกใหญ่
**แถมยังมี “ตลกร้าย” ในวิกฤติที่น้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ที่รัฐบาลยังดึงดันเปิดโครงการ “รถคันแรก” ที่มีการจัดงานยิ่งใหญ่อลังการที่ไบเทคบางนาเมื่อวันก่อน
แม้จะเป็นความพยายามดำเนินโครงการตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ในการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องมีคำถามถึงความจำเป็นที่ต้องจัดงานใหญ่โตในภาวการณ์เช่นนี้ เพราะมองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องมีงานเปิดโครงการ นโยบายก็ยังสามารถเดินหน้าไปได้
ยังดีที่งานนี้ “ยิ่งลักษณ์” ไม่ได้เดินทางไปเปิดด้วยตัวเอง ส่งเพียง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ไปเป็นตัวแทน แต่ก็หนีไม่พ้นต้องถูกกระแนะกระแหนว่า อยากเห็นโครงการ “เรือลำแรก” มากกว่า พร้อมกับเสียงซุบซิบว่า คนในรัฐบาลป่าวประกาศปาวๆ ว่างบประมาณไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทำให้ต้องมีมติ ครม.หั่นงบประมาณทุกหน่วยงาน 10 เปอร์เซนต์มาเตรียมไว้เพื่อเยียวยาผู้ประสบภัย
**แต่ตัวเลขเหยียบ 100 ล้านบาท สำหรับงานอีเว้นท์ เปิดโครงการนี้เหมาะสมแล้วหรือ ??
ที่สำคัญในวิกฤติครั้งนี้ยังได้เห็นภาพความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยไม่แบ่งแยกสีเสื้อ หรือแบ่งแยกพรรค อย่างภาพที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯ และผู้นำฝ่ายค้าน ที่หนีบคณะทำงานทั้ง “กรณ์ จาติกวณิช - ศิริโชค โสภา - ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” สร้างเซอร์ไพรส์ บุกไป“ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย” หรือ ศปภ. ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อร่วมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี และทีมงาน
ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของประเทศ และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการลดความตึงเครียดทางการเมืองหลังจากที่ก่อนหน้านี้ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่านเครือข่าย “ศูนย์อาสาฯ คนไทยช่วยน้ำท่วม” และได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพในพื้นที่ประสบภัยมาหลายหน จนแซวกันว่า พอมาเป็นฝ่ายค้าน เลยได้เห็น“อภิสิทธิ์” ลงพื้นที่ถี่กว่าตอนเป็นนายกฯเป็นไหนๆ
พร้อมกับเสียงค่อนขอดว่า “ฝ่ายการเมือง” ต่างคนต่างทำงาน ทำให้การทำงานไร้ทิศทาง ไม่สามารถระวังป้องกันได้ทันท่วงที เป็นเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งมโหฬารอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
**การปรากฎตัวของ “อภิสิทธิ์” เคียงข้าง “ยิ่งลักษณ์” ในคราวนี้อาจเป็นภาพที่ประทับใจคนไทย แต่ในทางกลับกัน บรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111-109 ที่แห่ไปประจำการอยู่ที่ ศปภ. หรือกระทั่ง“ทักษิณ ชินวัตร” พี่ชายนายกฯ อาจไม่พอใจก็ได้ เพราะ “ทีมกุนซือ” ของรัฐบาลอาจมองว่า งานนี้ "สาวปู" เสียท่าถูก"หนุ่มมาร์ค" บุกมาขโมยซีนถึงถิ่น
ต้องยอมรับว่า ภาพที่ออกมาเหมือนว่า “อภิสิทธิ์” ไปติวงาน และแสดงภาวะผู้นำเหนือนายกฯคนปัจจุบัน แถม “สอนมวย” ด้วยข้อเสนอที่น่าจะเป็นประโยชน์ และรัฐบาลปฏิเสธได้ยาก อย่างการเตรียมพื้นที่คลังสินค้าสนามบินดอนเมือง พื้นที่ 70,000 ตร.ม. เพื่อรองรับการอพยพของประชาชน หรือการยุบหน่วยงานต่างๆ ที่รัฐบาลตั้งขึ้นให้เหลือเพียงศูนย์เดียว เพื่อให้การทำงานมีเอกภาพ เป็นต้น
แม้ภาพที่เห็นว่า “ยิ่งลักษณ์” อาจตามไม่ทัน หรือไม่เข้าใจบ้างในระหว่างการหารือ แต่อย่างน้อยภาพที่สังคมไทยได้เห็น “ยิ่งลักษณ์” มาต้อนรับพร้อมเชิญชวนคณะของ “อภิสิทธิ์” เข้าร่วมหารือแผนป้องกันน้ำท่วมนั้น ถือเป็นการสะท้อนน้ำใจในยามมีปัญหาครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ และก็เชื่อว่าแนวทางที่จะคลอดออกมาหลังจากการหารือรอบนี้ จะเป็นประโยชน์ในภาพรวมมากกว่าที่ผ่านมา
**รวมทั้ง “เว้นวรรค” อุณหภูมิร้อนๆทางการเมืองที่ยังคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
ในขณะที่เกิด “ภาพประวัติศาสตร์” ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านในการร่วมแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่ “คนสำคัญ” ในรัฐบาล อย่างบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง กลับไม่ได้แสดงผลงานใดให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความพยายามที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้ไขปัญหาที่เข้าขั้น “วาระแห่งชาติ” ครั้งนี้
เพราะเรายังเห็นภาพ “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” อดีตประธาน นปช. ไปเป็นประธานเปิดการแข่งขันชกมวย ที่ถ่ายทอดผ่านช่อง 11 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมกับที่เราได้เห็นภาพ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ขวัญใจคนเสื้อแดง ไปนั่งแจกลายเซ็น เปิดตัวหนังสือ “สุภาพบุรุษไพร่” ในงานมหกรรมหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์
**ที่สำคัญเรายังเห็นภาพ “จตุพร พรหมพันธุ์” พร้อม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไปเปิด “อำเภอเสื้อแดง” ที่ จ.อุดรธานี ในวันที่น้ำทะลักเข้าท่วมอยุธยาจนจมบาดาล เหมือนลืมไปว่าอยุธยา ก็มีคนเสื้อแดงไม่น้อย แต่แกนนำกลับไม่ดูดำ ดูดี
ไม่เท่านั้นการออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อแต่ละครั้ง ยังหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม และรื้อกฎหมาย 177 ฉบับที่ออกในสมัย คมช.ซ้ำแล้วซ้ำอีก
กว่า “สามเกลอ” จะรู้ตัวก็เกือบจะไม่ทันการณ์ เพราะสถานการณ์น้ำท่วมลุกลามบานปลายไปใหญ่โต จะทำได้ก็เพียง“แก้เกี้ยว” ด้วยการประกาศนัดหมายให้คนเสื้อแดงเคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน เพื่อตะเวนขอรับบริจาคเงินทอง และสิ่งของเพื่อสู้ภัยน้ำท่วม แถมบอกด้วยว่าจะระดมพลในลักษณะเดียวกับเมื่อครั้งชุมนุมใหญ่ เมื่อปี 53
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การระดมคนหรือสิ่งของในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นเดียวกันว่า การประกาศ “เป่านกหวีด” ปลุกกระแสด้วยมาตรฐานเดียวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมในภาวการณ์เช่นนี้
เพราะอาจเป็นการทำลายบรรยากาศความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ไม่ต่างจากการ“กวนน้ำให้ขุ่น” ในสถานการณ์ที่เมืองไทยต้องการความสามัคคี
ดังนั้น “สามเกลอ” และคนในพรรคเพื่อไทย ควรปรับแนวทางการสื่อสารถึงคนเสื้อแดง และประชาชนทั่วไปให้สร้างสรรค์มากกว่า ไม่ควรแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกีดกันแบ่งสีเสื้อกันเหมือนเคย
**แต่หากต้องการ “สุมไฟ” ประคองอุณหภูมิความขัดแย้งต่อไปก็ตามสบาย
หรือแม้แต่ “นพดล ปัทมะ” ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปากเปราะออกมาวิจารณ์ว่า กรมชลประทานทำงานช้า สำทับกับวิวาทะ “น้ำไม่ท่วม”เมืองสุพรรณบุรี ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ดูจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ คอยตำหนิติติงผู้อื่น โดยที่ไม่ได้นำเสนอหนทางที่เป็นประโยชน์ออกมา
หนำซ้ำยังถือเป็นการบั่นทอนกำลังใจของข้าราชการที่เกี่ยวข้อง โดยยังไม่ต้องพูดถึง “รอยร้าว” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่หลังวิกฤติคงต้องมานั่ง “เยียวยา” กันอีกยกใหญ่
**แถมยังมี “ตลกร้าย” ในวิกฤติที่น้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ที่รัฐบาลยังดึงดันเปิดโครงการ “รถคันแรก” ที่มีการจัดงานยิ่งใหญ่อลังการที่ไบเทคบางนาเมื่อวันก่อน
แม้จะเป็นความพยายามดำเนินโครงการตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ในการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องมีคำถามถึงความจำเป็นที่ต้องจัดงานใหญ่โตในภาวการณ์เช่นนี้ เพราะมองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องมีงานเปิดโครงการ นโยบายก็ยังสามารถเดินหน้าไปได้
ยังดีที่งานนี้ “ยิ่งลักษณ์” ไม่ได้เดินทางไปเปิดด้วยตัวเอง ส่งเพียง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ไปเป็นตัวแทน แต่ก็หนีไม่พ้นต้องถูกกระแนะกระแหนว่า อยากเห็นโครงการ “เรือลำแรก” มากกว่า พร้อมกับเสียงซุบซิบว่า คนในรัฐบาลป่าวประกาศปาวๆ ว่างบประมาณไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทำให้ต้องมีมติ ครม.หั่นงบประมาณทุกหน่วยงาน 10 เปอร์เซนต์มาเตรียมไว้เพื่อเยียวยาผู้ประสบภัย
**แต่ตัวเลขเหยียบ 100 ล้านบาท สำหรับงานอีเว้นท์ เปิดโครงการนี้เหมาะสมแล้วหรือ ??