สถานการณ์อุทกภัยที่ถล่มประเทศไทยยามนี้ นับเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่หลวงที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้คนทั้งประเทศ ยิ่งนานวันสถานการณ์ยิ่งดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนชาวโลกต้องหันมามองด้วยความห่วงกังวล หลายประเทศเริ่มยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบริจาคเงิน สิ่งของ กำลังคน กำลังเครื่องมือ พร้อมคำแนะนำความรู้เชิงวิชาการณ์ อาสานำประสบการณ์ที่ประสบพบเจอกับตัวเองมาชี้แนะประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยโดยรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงเชื่อมั่นว่าจะสามารถรับมือกับมหันตภัยพิบัติครั้งนี้ได้ รับประกันว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาได้ลุล่วงผ่านพ้นไปด้วยดี
แต่ยิ่งนานวัน สถานการณ์ยิ่งเริ่มไม่สู้ดี น้ำจากทางเหนือยังคงไหลบ่ามาไม่หยุด ประกอบกับสภาพน้ำฝน ร่องความกดอากาศ พายุต่างๆ ยังถาโถมเข้ามาต่อเนื่อง สภาพเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ที่มีอยู่แทบทั้งหมด ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ จะคิดหาทางบริหารจัดการระบายน้ำลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง
ชั่วโมงนี้ รัฐบาลไม่มีเวลาไปทำเรื่องอื่นใด นอกจากการสะสางปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดทุ่มลงมาแก้ไขน้ำท่วม
แม้จะพยายามทุกวิถีทางจัดการปัญหามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี รัฐบาลจึงประกาศตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย” หรือ ศปภ.ขึ้นมาบูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ
ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลตั้ง ศปภ.ขึ้นมาเพราะลำพังตัวเองยังแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ดีพอ จึงต้องระดมทีมงานที่ปรึกษาที่อยู่ฉากหลังออกมาเปิดหน้าโชว์ตัวทำงานกันแบบไม่ต้องปิดบังอำพราง
เพราะทันทีที่ศูนย์ดังกล่าวตั้งขึ้น สมาชิกบ้านเลขที่ 111-109 ที่ติดล็อกทางการเมือง ได้ตบเท้าเข้ามายังศปภ.ไม่ขาดสาย คนที่หายหน้าหายตาไปนาน โผล่กันมาแทบทั้งหมด มาช่วยเหลือ บัญชาการเต็มสูบ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ลำพังนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยังบริหารจัดการ สั่งการได้ไม่ดีเพียงพอ ขณะเดียวกันยังสะท้อนได้เช่นเดียวกันคณะรัฐมนตรีที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่เต็มทำเนียบรัฐบาลขณะนี้ “กึ๋นไม่ถึง” เป็นเพียงนักการเมืองน้ำ 3 ที่เคยทำหน้าที่เพียงรับคำสั่งไปปฏิบัติ ไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือไม่มีความเป็นมืออาชีพในเชิงการเมือง บริหารสั่งการอย่างแท้จริง
การทำงานในช่วงต้นก็พอได้พิสูจน์ประสิทธิภาพ พิสูจน์ฝีมือกันไปบ้างแล้ว หลายคนยังเป็นได้เพียงลูกมือคอยปฏิบัติการ หลายคนยังทำได้เพียง งานประจำเช้าชามเย็นชาม ไม่มีอะไรเป็นพลังขับดันขับเคลื่อนสมกับเป็นปิยรัฐมนตรีของประชาชนที่คุมกำลังหลักแต่ละส่วนของประเทศ
แม้ “ยิ่งลักษณ์” จะพอทำหน้าที่ไปวัดไปวาได้ แต่รัฐมนตรีที่เป็นมือเป็นไม้หาทำยาได้เพียงไม่กี่คน ที่น่าจะประเมินไปแล้วว่าล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพคือ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” หัวหน้าหุ่นเชิดพรรคเพื่อไทย วันนี้มารับตำแหน่งใหญ่ รองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยตำแหน่งใหญ่โตแทบจะเทียบเท่านายกรัฐมนตรี
ได้รับมอบบทบาทสำคัญในหลายเรื่อง แต่ดูเหมือนจะเงียบเชียบเกินไป ทำได้แค่งานตามหน้าที่ ซ้ำยังดูต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่มีอะไรโดดเด่นจับต้องได้ โดยเฉพาะศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม (ศอส.) ที่ระยะหลังไม่มีบทบาทอะไรเป็นชิ้นอัน นอกจากการรายงานคนเจ็บ คนตาย และสถานการณ์โดยรวมทั่วไปเท่านั้น กลายเป็นหน่วยงานไร้ประสิทธิภาพ เปลืองงบประมาณไปวันๆ
การทำงานของศูนย์ดังกล่าว ข้าราชการทำแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด เมื่อไม่มีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชก็ทำงานตามสไตล์โบราณเดิมๆ เพราะไม่รู้ทำแล้วจะได้อะไร พวกที่ไม่ใช่เด็กสายตรงก็ทำกันแบบธุระไม่ใช่ แค่ทำงานให้เสร็จๆ ไปวันๆ เอาเวลาไปคิดว่าตัวเองจะถูกย้ายเมื่อไหร่ อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะรัฐบาลนี้ปากก็บอกแก้ไขไม่แก้แค้น แต่สุดท้ายการกระทำมันก็ไม่ต่างจากรัฐบาลไหนๆ ยุคใครก็ยุคมัน ล้วนเป็นอนิจจัง
สุดท้ายรัฐบาลจำต้องตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ขึ้นมาเป็นหน่วยงานหลักจัดการสถานการณ์น้ำท่วมแทน เหมือนเปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบแบบกลายๆ โดยรักษาน้ำใจแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ถูกวางตัวให้มาทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่แทน หลังแม่ทัพยงยุทธพ่ายศึกซมซานกลับมา แต่ไม่ทันไรก็พอเห็นเค้ารางแล้วว่า แม่ทัพคนใหม่ก็ไม่เวิร์คเอาท์เหมือนกัน ฝีไม้ลายมือเชิงยุทธศาสตร์ยังไม่ใช่พระเอกตัวจริง ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีภาวะผู้นำ การทำงานของรัฐบาลโดยรวมจึงยังสะเปะสะปะไร้ทิศทาง
สำหรับคนที่อยากทำเต็มแก่ อยากเป็นแม่ทัพแต่ไม่ได้เป็น คือ ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านนี้พอสมควร คลุกคลีกับเรื่องน้ำ เรื่องป่ามาครึ่งค่อนชีวิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับโอกาสพิสูจน์ฝีมือ จึงไม่รู้ว่าการทำงานในฐานะผู้นำจะดีเด่นตามสไตล์ที่ชอบคุยโม้โอ้อวดหรือเปล่า
วันนี้ภาพการทำงานของรัฐบาลและศปภ.ที่ออกมา ถือว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า สถานการณ์ยังคงย่ำแย่ต่อเนื่อง น้ำท่วมฝังเมืองเศรษฐกิจ นิคมอุตสาหกรรมอย่าง นครสวรรค์ อยุธยา และล่าสุด ปทุมธานี ก็มีแนวโน้มจะวิกฤติหนักไม่น้อย สร้างความประหวั่นพรั่นใจให้คนเมืองหลวง กรุงเทพมหานครตอนนี้โกลาหลอลหม่านไปหลายชุมชน ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลยว่ารัฐบาลจะจัดการปัญหานี้ให้ลุล่วงตามที่พร่ำพรรณนา
การบริหารจัดการต่างๆ ดูแย่ ไม่ทันการณ์ สถานการณ์ไม่มีอะไรที่ทำแล้วดูดีขึ้นเลย มีแต่ทรงกับทรุด ศปภ.ทำได้แค่เพียงออกทีวีรับบริจาคเงิน สิ่งของ หาที่อพยพให้แค่นั้น เหมือนตั้งรับปัญหาแบบยอมจำนนไปวันๆ
นับเป็นความล้มเหลวสิ้นเชิง เป็นปัญหาที่รัฐบาลใช้คนไม่ถูกหลักยุทธศาสตร์
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เหมือนเล่าปี่ ไม่มีขงเบ้ง มีเพียงคุณธรรม น้ำใจ แต่ภาวะผู้นำไม่แจ่มชัด รอบกาย “ยิ่งลักษณ์” ยามนี้มีแต่แม่ทัพนายกองชั้นปลายแถวผสมด้วยทหารเลว ขุนพลเจนศึกอย่าง กวนอู เตียวหุย จูล่ง ฮองตง ม้าเฉียว ไม่ถูกลดบทบาท ก็ถูกจับขังจองจำอยู่
ขณะที่กุนซือระดับมันสมอง “ขงษิณ” เหมือนอยู่ ณ ดินแดนห่างไกล ได้แต่ส่งสารกันไปมา เหมือนคนตาบอดได้ยินแต่เสียง ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องการทีเด็ดทีขาดฉับไว อะไรต่างๆ มันก็ไม่ทันการณ์ ดูจะเพลี่ยงพล้ำเสียทีอยู่ตลอดเวลา
เมื่อโฟกัสลงลึกดูยุทธศาสตร์การทำงานแก้ปัญหาบางอย่างก็ดูตื้นเขิน ไร้ความสุขุม ไม่มีการคิดเชิงลึก หรือประเมินสถานการณ์ข้างหน้า สร้างคันกั้นน้ำไว้แล้ว ประคองน้ำไว้แล้ว แต่ดันไม่สั่งให้เรือหยุดวิ่ง ในที่สุดคันดินก็ต้องพังทลาย สร้างความเสียหายนับหมื่นล้าน เพียงเพราะเรือลำเดียว สะท้อนชัดเจนว่ายังขาดการวางแผนที่ดี ขาดความสุขุมรอบคอบ และความคิดที่รอบด้าน
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญอยู่นับว่าหนักหนาสาหัส หลายเรื่องราวที่เห็นว่าพลาดพลั้งก็จำเป็นต้องตำหนิติเตียนอย่างรุนแรง เพื่อให้เงี่ยหูฟังกันบ้าง
และที่สำคัญคือปัญหาหลังจากนี้ ถ้าสถานการณ์คลี่คลายไปแล้ว การบ้านข้อใหญ่คือการฟื้นฟู เยียวยาหลังน้ำลด ไม่เพียงเฉพาะพืชผลการเกษตรต้องย่อยยับเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่วันนี้ความเสียหายรุนแรงลุกลามไปถึงภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นเศรษฐกิจหลักของชาติ นับเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
จึงอยากจะเตือนดังๆ ไว้เป็นบทเรียน มันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่จะมาคิดถึงมาตรการป้องกันมากกว่าการแก้ไข เสียน้อยเสียยาก สุดท้ายต้องมานั่งเสียใจ
วันนี้มีอำนาจเต็มมือแล้วไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มัวกริ่งเกรง ใจเสาะ ไม่กล้าหักหาญน้ำใจใคร ลุยทำในสิ่งที่ถูกที่ควร สุดท้ายก็คงเป็นได้เพียงรัฐบาลเหลาะแหละที่ต้องล้มแล้ว ล้มเล่า ไม่มีอะไรเป็นอนุสรณ์ย้อนใจ ให้หวนนึกถึงสิ่งภาคภูมิใจที่เคยทำไว้เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศไทย
สุดท้ายก็เปล่าดาย ตายไปอย่างไร้ความทรงจำเยี่ยงวีรชน เป็นแค่สสารชิ้นหนึ่งที่ เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป ก็เท่านั้น!!
จนชาวโลกต้องหันมามองด้วยความห่วงกังวล หลายประเทศเริ่มยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบริจาคเงิน สิ่งของ กำลังคน กำลังเครื่องมือ พร้อมคำแนะนำความรู้เชิงวิชาการณ์ อาสานำประสบการณ์ที่ประสบพบเจอกับตัวเองมาชี้แนะประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยโดยรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงเชื่อมั่นว่าจะสามารถรับมือกับมหันตภัยพิบัติครั้งนี้ได้ รับประกันว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาได้ลุล่วงผ่านพ้นไปด้วยดี
แต่ยิ่งนานวัน สถานการณ์ยิ่งเริ่มไม่สู้ดี น้ำจากทางเหนือยังคงไหลบ่ามาไม่หยุด ประกอบกับสภาพน้ำฝน ร่องความกดอากาศ พายุต่างๆ ยังถาโถมเข้ามาต่อเนื่อง สภาพเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ที่มีอยู่แทบทั้งหมด ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ จะคิดหาทางบริหารจัดการระบายน้ำลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง
ชั่วโมงนี้ รัฐบาลไม่มีเวลาไปทำเรื่องอื่นใด นอกจากการสะสางปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดทุ่มลงมาแก้ไขน้ำท่วม
แม้จะพยายามทุกวิถีทางจัดการปัญหามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี รัฐบาลจึงประกาศตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย” หรือ ศปภ.ขึ้นมาบูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ
ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลตั้ง ศปภ.ขึ้นมาเพราะลำพังตัวเองยังแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ดีพอ จึงต้องระดมทีมงานที่ปรึกษาที่อยู่ฉากหลังออกมาเปิดหน้าโชว์ตัวทำงานกันแบบไม่ต้องปิดบังอำพราง
เพราะทันทีที่ศูนย์ดังกล่าวตั้งขึ้น สมาชิกบ้านเลขที่ 111-109 ที่ติดล็อกทางการเมือง ได้ตบเท้าเข้ามายังศปภ.ไม่ขาดสาย คนที่หายหน้าหายตาไปนาน โผล่กันมาแทบทั้งหมด มาช่วยเหลือ บัญชาการเต็มสูบ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ลำพังนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยังบริหารจัดการ สั่งการได้ไม่ดีเพียงพอ ขณะเดียวกันยังสะท้อนได้เช่นเดียวกันคณะรัฐมนตรีที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่เต็มทำเนียบรัฐบาลขณะนี้ “กึ๋นไม่ถึง” เป็นเพียงนักการเมืองน้ำ 3 ที่เคยทำหน้าที่เพียงรับคำสั่งไปปฏิบัติ ไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือไม่มีความเป็นมืออาชีพในเชิงการเมือง บริหารสั่งการอย่างแท้จริง
การทำงานในช่วงต้นก็พอได้พิสูจน์ประสิทธิภาพ พิสูจน์ฝีมือกันไปบ้างแล้ว หลายคนยังเป็นได้เพียงลูกมือคอยปฏิบัติการ หลายคนยังทำได้เพียง งานประจำเช้าชามเย็นชาม ไม่มีอะไรเป็นพลังขับดันขับเคลื่อนสมกับเป็นปิยรัฐมนตรีของประชาชนที่คุมกำลังหลักแต่ละส่วนของประเทศ
แม้ “ยิ่งลักษณ์” จะพอทำหน้าที่ไปวัดไปวาได้ แต่รัฐมนตรีที่เป็นมือเป็นไม้หาทำยาได้เพียงไม่กี่คน ที่น่าจะประเมินไปแล้วว่าล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพคือ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” หัวหน้าหุ่นเชิดพรรคเพื่อไทย วันนี้มารับตำแหน่งใหญ่ รองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยตำแหน่งใหญ่โตแทบจะเทียบเท่านายกรัฐมนตรี
ได้รับมอบบทบาทสำคัญในหลายเรื่อง แต่ดูเหมือนจะเงียบเชียบเกินไป ทำได้แค่งานตามหน้าที่ ซ้ำยังดูต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่มีอะไรโดดเด่นจับต้องได้ โดยเฉพาะศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม (ศอส.) ที่ระยะหลังไม่มีบทบาทอะไรเป็นชิ้นอัน นอกจากการรายงานคนเจ็บ คนตาย และสถานการณ์โดยรวมทั่วไปเท่านั้น กลายเป็นหน่วยงานไร้ประสิทธิภาพ เปลืองงบประมาณไปวันๆ
การทำงานของศูนย์ดังกล่าว ข้าราชการทำแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด เมื่อไม่มีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชก็ทำงานตามสไตล์โบราณเดิมๆ เพราะไม่รู้ทำแล้วจะได้อะไร พวกที่ไม่ใช่เด็กสายตรงก็ทำกันแบบธุระไม่ใช่ แค่ทำงานให้เสร็จๆ ไปวันๆ เอาเวลาไปคิดว่าตัวเองจะถูกย้ายเมื่อไหร่ อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะรัฐบาลนี้ปากก็บอกแก้ไขไม่แก้แค้น แต่สุดท้ายการกระทำมันก็ไม่ต่างจากรัฐบาลไหนๆ ยุคใครก็ยุคมัน ล้วนเป็นอนิจจัง
สุดท้ายรัฐบาลจำต้องตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ขึ้นมาเป็นหน่วยงานหลักจัดการสถานการณ์น้ำท่วมแทน เหมือนเปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบแบบกลายๆ โดยรักษาน้ำใจแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ถูกวางตัวให้มาทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่แทน หลังแม่ทัพยงยุทธพ่ายศึกซมซานกลับมา แต่ไม่ทันไรก็พอเห็นเค้ารางแล้วว่า แม่ทัพคนใหม่ก็ไม่เวิร์คเอาท์เหมือนกัน ฝีไม้ลายมือเชิงยุทธศาสตร์ยังไม่ใช่พระเอกตัวจริง ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีภาวะผู้นำ การทำงานของรัฐบาลโดยรวมจึงยังสะเปะสะปะไร้ทิศทาง
สำหรับคนที่อยากทำเต็มแก่ อยากเป็นแม่ทัพแต่ไม่ได้เป็น คือ ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านนี้พอสมควร คลุกคลีกับเรื่องน้ำ เรื่องป่ามาครึ่งค่อนชีวิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับโอกาสพิสูจน์ฝีมือ จึงไม่รู้ว่าการทำงานในฐานะผู้นำจะดีเด่นตามสไตล์ที่ชอบคุยโม้โอ้อวดหรือเปล่า
วันนี้ภาพการทำงานของรัฐบาลและศปภ.ที่ออกมา ถือว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า สถานการณ์ยังคงย่ำแย่ต่อเนื่อง น้ำท่วมฝังเมืองเศรษฐกิจ นิคมอุตสาหกรรมอย่าง นครสวรรค์ อยุธยา และล่าสุด ปทุมธานี ก็มีแนวโน้มจะวิกฤติหนักไม่น้อย สร้างความประหวั่นพรั่นใจให้คนเมืองหลวง กรุงเทพมหานครตอนนี้โกลาหลอลหม่านไปหลายชุมชน ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลยว่ารัฐบาลจะจัดการปัญหานี้ให้ลุล่วงตามที่พร่ำพรรณนา
การบริหารจัดการต่างๆ ดูแย่ ไม่ทันการณ์ สถานการณ์ไม่มีอะไรที่ทำแล้วดูดีขึ้นเลย มีแต่ทรงกับทรุด ศปภ.ทำได้แค่เพียงออกทีวีรับบริจาคเงิน สิ่งของ หาที่อพยพให้แค่นั้น เหมือนตั้งรับปัญหาแบบยอมจำนนไปวันๆ
นับเป็นความล้มเหลวสิ้นเชิง เป็นปัญหาที่รัฐบาลใช้คนไม่ถูกหลักยุทธศาสตร์
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เหมือนเล่าปี่ ไม่มีขงเบ้ง มีเพียงคุณธรรม น้ำใจ แต่ภาวะผู้นำไม่แจ่มชัด รอบกาย “ยิ่งลักษณ์” ยามนี้มีแต่แม่ทัพนายกองชั้นปลายแถวผสมด้วยทหารเลว ขุนพลเจนศึกอย่าง กวนอู เตียวหุย จูล่ง ฮองตง ม้าเฉียว ไม่ถูกลดบทบาท ก็ถูกจับขังจองจำอยู่
ขณะที่กุนซือระดับมันสมอง “ขงษิณ” เหมือนอยู่ ณ ดินแดนห่างไกล ได้แต่ส่งสารกันไปมา เหมือนคนตาบอดได้ยินแต่เสียง ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องการทีเด็ดทีขาดฉับไว อะไรต่างๆ มันก็ไม่ทันการณ์ ดูจะเพลี่ยงพล้ำเสียทีอยู่ตลอดเวลา
เมื่อโฟกัสลงลึกดูยุทธศาสตร์การทำงานแก้ปัญหาบางอย่างก็ดูตื้นเขิน ไร้ความสุขุม ไม่มีการคิดเชิงลึก หรือประเมินสถานการณ์ข้างหน้า สร้างคันกั้นน้ำไว้แล้ว ประคองน้ำไว้แล้ว แต่ดันไม่สั่งให้เรือหยุดวิ่ง ในที่สุดคันดินก็ต้องพังทลาย สร้างความเสียหายนับหมื่นล้าน เพียงเพราะเรือลำเดียว สะท้อนชัดเจนว่ายังขาดการวางแผนที่ดี ขาดความสุขุมรอบคอบ และความคิดที่รอบด้าน
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญอยู่นับว่าหนักหนาสาหัส หลายเรื่องราวที่เห็นว่าพลาดพลั้งก็จำเป็นต้องตำหนิติเตียนอย่างรุนแรง เพื่อให้เงี่ยหูฟังกันบ้าง
และที่สำคัญคือปัญหาหลังจากนี้ ถ้าสถานการณ์คลี่คลายไปแล้ว การบ้านข้อใหญ่คือการฟื้นฟู เยียวยาหลังน้ำลด ไม่เพียงเฉพาะพืชผลการเกษตรต้องย่อยยับเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่วันนี้ความเสียหายรุนแรงลุกลามไปถึงภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นเศรษฐกิจหลักของชาติ นับเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
จึงอยากจะเตือนดังๆ ไว้เป็นบทเรียน มันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่จะมาคิดถึงมาตรการป้องกันมากกว่าการแก้ไข เสียน้อยเสียยาก สุดท้ายต้องมานั่งเสียใจ
วันนี้มีอำนาจเต็มมือแล้วไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มัวกริ่งเกรง ใจเสาะ ไม่กล้าหักหาญน้ำใจใคร ลุยทำในสิ่งที่ถูกที่ควร สุดท้ายก็คงเป็นได้เพียงรัฐบาลเหลาะแหละที่ต้องล้มแล้ว ล้มเล่า ไม่มีอะไรเป็นอนุสรณ์ย้อนใจ ให้หวนนึกถึงสิ่งภาคภูมิใจที่เคยทำไว้เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศไทย
สุดท้ายก็เปล่าดาย ตายไปอย่างไร้ความทรงจำเยี่ยงวีรชน เป็นแค่สสารชิ้นหนึ่งที่ เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป ก็เท่านั้น!!