xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตน้ำท่วมยังอ่วมแบบนี้ หลังน้ำลดจะวิกฤตยืดเยื้อขนาดไหน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

นาทีนี้สำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อยคงคิดว่าจะมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาน้ำท่วมในคราวนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หลายคนบอกว่าไม่เคยพบเคยเห็นสภาพแบบนี้มาก่อน มีลักษณะหนักหน่วง ยืดเยื้อยาวนาน

หากฟังจากรายงานข่าวยังระบุว่าปริมาณที่ไหลทะลักท่วมพื้นที่ไร่นา บ้านเรือน รวมทั้งเขตเศรษฐกิจใจกลางเมืองที่ชาวบ้านกำลังประสบอยู่ในเวลานี้ ยังไม่ใช่เป็นปริมาณที่สูงสุด ความหมายก็คือ ยังมีปริมาณน้ำที่มากกว่านี้ยังไหลทะลักลงมาไม่ถึง

ดังนั้นถ้าให้สรุปก็คือ ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าท่วมเขตเมืองนครสวรรค์ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ตอนนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นระดับน้ำที่สูงสุด คาดว่าอีกประมาณ 1-2 วันข้างหน้าจะไหลบ่ามาถึง เมื่อถึงตอนนั้นลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกันว่าจะหนักหนาสาหัสเพียงใด เพราะเพียงแค่ที่เห็นอยู่ตอนนี้มันก็พูดกันไม่ออกอยู่แล้ว

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ปลายน้ำก็เช่นเดียวกัน จากเดิมที่เคยมั่นใจว่า “เอาอยู่” ก่อนหน้านี้มีการประกาศสร้างความมั่นใจจากฝ่ายบริหารทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่มาวันนี้เริ่มมีเสียงอ่อยลงเรื่อยๆ กลายเป็นว่าไม่มั่นใจ และเตรียมพื้นที่รองรับอพยพกันแล้ว

ความหมายก็เช่นเดียวกัน นั่นคือ รับมือไม่ไหว ไม่ทันการณ์แล้ว!!

อย่างไรก็ดี หากถามความรู้สึกของชาวบ้านทั่วไปเริ่มไม่มั่นใจกับมาตรการรับมือของฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงฝ่ายบริหารของกรุงเทพมหานคร

โดยเฉพาะเมื่อพิสูจน์ให้เห็นตำตาจากผลงานการบริหารจัดการในการหามาตรการรับมือกับปัญหาในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสารพัดนโยบายประชานิยมที่ปล่อยออกมาและต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกันรายวัน ต่อเนื่องมาจนถึงเรื่องใหญ่ที่กำลังเผชิญอยู่ก็คือ เรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ถือว่า รัฐบาลทำงานได้ “ห่วยแตก” มีฝีมือต่ำกว่ามาตรฐานจนเรียกได้ว่าเข้าขั้น “ไร้มาตรฐาน” กันเลยทีเดียว

โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นถือว่า “ขาดความพร้อม” ในการเป็นผู้นำประเทศอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เธอขาดความรู้ ขาดไหวพริบ ขาดแม้กระทั่ง “ความรู้รอบตัว” จนทุกวันนี้แทบจะกลายเป็น “ตัวตลก” ในสายตาของชาวบ้านทั่วไปเข้าไปทุกทีแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องมาพูดถึงความเชื่อมั่น เพราะมันได้ถดถอยจนแทบจะเหลือศูนย์แล้ว

ปัญหาน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นรับรองว่าทุกคนเห็นตรงกันว่าเป็นภัยธรรมชาติ และหนักหนาสาหัสกว่าในรอบหลายปีดังที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่รับรองว่าสำหรับรัฐบาลที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางการบริหาร มีอำนาจสั่งการสูงสุด มีกลไกราชการมากมาย ต้องมีมาตรการรับมือ “บรรเทา” ปัญหาให้เบาบางลงไปได้มากกว่านี้แน่นอน โดยเฉพาะมาตรการในการช่วยเหลือ อพยพชาวบ้านที่ติดอยู่ในบ้าน ต้องกระทำได้อย่างทั่วถึง ซึ่งต้องกระทำโดยวิธี “บูรณาการ” เท่านั้น

แต่นี่ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามทั้งในเรื่องการสั่งการเตือนภัยก็ล่าช้าเหมือนเดิม การเข้าไปช่วยเหลือส่งอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้แต่การอพยพชาวบ้านก็ยังอยู่ในสภาพโกลาหล ชาวบ้านต้องเสี่ยงชีวิตออกมากันเอาเอง เวลานี้เท่าที่เห็นกลายเป็นว่าหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครเอกชน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้นที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือกันเท่านั้น แต่โดยทั่วไปจะเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ขาดการประสานงาน หรือมีศูนย์บัญชาการ ศูนย์อำนวยการหลักที่ตั้งขึ้นโดยฝ่ายรัฐบาลแต่อย่างใด บางพื้นที่จมน้ำมานานนับเดือน ถูกตัดขาดอย่างไร ไร้การเหลียวแลอย่างไรก็ยังเป็นอยู่แบบนั้น

แม้ว่าอีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าพื้นที่ประสบภัยกว้างขวาง การดูแลย่อมยากลำบาก ดูแลไม่ทั่วถึงอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันหากรัฐบาลมีมาตรการรับมือ มีการบริหารจัดการที่ดี มีการ “บูรณาการ” อย่างที่พูดจริงๆ รับรองว่าผลที่ออกมาจะไม่ออกมาโกลาหลแบบนี้แน่นอน และที่สำคัญมันมี “สัญญาณบอกเหตุ” ล่วงหน้านานเป็นสัปดาห์ หรือนานเป็นเดือน แต่กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ใส่ใจ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว และหากยังจำกันได้ในช่วงนั้นกำลังเป็นช่วงที่กำลัง “เดินเครื่อง” ช่วย “พี่ชาย” กันอย่างเต็มที่ แถมยังมีกิจกรรม “แดง-ฮุนเซน” กันอย่างสนุกสนาน

ขณะที่การแก้ปัญหาน้ำท่วมก็ยกให้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นแม่งานรับหน้าไปก่อน แต่เมื่อทุกอย่างเลวร้ายเกินเยียวยาถึงได้ออกมากุลีกุจอตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เปลี่ยนหัวหน้าทีมใหม่เป็น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมเป็นประธานศูนย์ ซึ่งเวลานี้ก็ทำได้แค่เป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์รับบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง และมีบรรดารัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ไปเสนอหน้าออกทีวีเท่านั้น

ขณะที่นายกรัฐมนตรีก็ทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “โฆษก” ของศูนย์ปฏิบัติการฯดังกล่าว แทนที่จะมีภาพเป็นผู้นำในการสั่งการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ ดึงหน่วยงานราชการ ทั้งทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ภาคเอกชน มีคนสั่งการโดยตรงให้ชัดเจนลดหลั่นลงมา แทนที่จะเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ทำให้การช่วยเหลือทำได้ไม่ทั่วถึงอย่างที่เห็น

นั่นเป็นแค่สภาพความเดือดร้อน ความโกลาหลที่เกิดขึ้นตรงหน้า และปริมาณน้ำก็ยังไหลทะลักเพิ่มปริมาณสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคาดว่าจะกินเวลาอีกนานนับเดือน ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปก็คือสภาพความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร สภาพสังคม การประกอบอาชีพจะฝืดเคือง การลักวิ่งชิงปล้น จะมากมายแค่ไหน น่าหนักใจจนไม่อยากหลับตานึกภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ “ห่วยแตก” จนไม่อาจฝากความหวังเอาไว้ได้เลย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น