xs
xsm
sm
md
lg

ปทุมฯ-นนท์จม น้ำทะลักจ่อประชิดเมืองกรุง กทม.จับตาใกล้ชิด รับมือ15จุดเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - คนกรุงลุ้นระทึก! หลังปริมาณน้ำทะลักเข้าท่วมเขตปริมณฑล “ปทุมธานี-นนทบรี” แล้ว เตือนรังสิตคลอง 1-6 ยกของขึ้นที่สูง ขณะที่ฉะเชิงเทราอ่วม เส้นทางระบายน้ำพ้นกรุงเทพฯ ขณะที่กทม.เตือนประชาชนอย่าตระหนก เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 24 ชม. มั่นใจรับมือ 15 จุดเสี่ยงอยู่ “สุวรรณภูมิ” พร้อมรับมวลน้ำก้อนใหญ่จากเหนือ เตรียมเครื่องสูบน้ำ 99 เครื่อง เร่งระบายน้ำออกทะเล ด้านรพ.พระนั่งเกล้าหวิดท่วม น้ำเจ้าพระยาจ่อกำแพงห่างแค่ 1 ฟุต เสริมคันกั้นสูง 1.5 เมตร เตรียมแผนย้ายผู้ป่วยไปสถาบันบำราศฯ

วานนี้ (10 ต.ค.) ที่ จ.ปทุมธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวคันกั้นน้ำ 2 จุด และประตูระบายน้ำอีก 1 แห่ง ถูกแรงดันน้ำพังเสียหายในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าหน้าที่แต่ละพื้นที่ต้องเร่งซ่อมแซมและประชาสัมพันธ์ประชาชนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยจุดแรกที่วัดหงส์ปทุมมาวาส ต.บางปรอก อ.เมือง แนวกั้นน้ำด้านหลังวัดอยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทำจากแท่งปูนคอนกรีตและกั้นซ้อนด้วยกระสอบทราย พังเป็นแนวยาวกว่า 15 เมตร ทำให้ปริมาณน้ำมีระดับสูงกว่า 1.20 เมตร เอ่อท่วมถนนเข้าโรงเรียนอนุบาลปทุมธานี ทุ่งนา และชุมชนวัดหงส์ กว่า 2,000 หลังคาเรือน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งช่วยกันใช้กระสอบทรายวางแนวขวางกั้นกระแสน้ำ

จุดที่สอง ที่ประตูระบายน้ำวัดป่าฝ้าย ต.กระแชง อ.สามโคก ด้านข้างประตูระบายน้ำซึ่งเป็นคอนกรีต พังเป็นแนวกว้างประมาณ 50 เมตร ความแรงของน้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนใน ต.กระแชง กว่า 6,000 หลังคาเรือน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งอพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน ชาวบ้านต่างขนย้ายทรัพย์สินมีค่าออกไปอยู่บนที่สูงบนถนนสายปทุม-เสนา อย่างโกลาหล

จุดที่สาม ที่วัดถั่วทอง หมู่ 3 ต.บ้านปทุม อ.สามโคก แนวคันดินกั้นน้ำที่สูงกว่า 1 เมตร พังเป็นแนวยาวกว่า 20 เมตร ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ ต.บ้านปทุม อ.สามโคก กว่า 1,000 หลังคาเรือนต้องเร่งขนย้ายข้าวของและทรัพย์สินมีค่าอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้จุดดังกล่าวเป็นแนวถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ที่กั้นน้ำไม่ให้เข้าท่วมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รวมถึงเมืองเศรษฐกิจย่านคลองหลวง คาดว่าต้องระดมกำลังซ่อมแซมจุดที่ถูกแรงดันน้ำเสียหายตลอดทั้งวันทั้งคืน

** น้ำทะลักเข้าปทุมธานี**

พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กล่าวถว่า ขณะนี้น้ำได้ไหลเข้าท่วม จ.ปทุมธานี ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์อยู่ โดยพยายามซ่อมเขื่อนที่ อ.สามโคก เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรของประชาชน ซึ่งประชาชนในจ.ปทุมธานี คงจะประสบปัญหาน้ำท่วมแน่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากทางกองทัพบก แต่ก็เกรงว่าน้ำจะท่วมลามไปถึงซีก จ.นครปฐม ซึ่งก็ต้องฝากไปถึงชาว จ.นครปฐม ให้ทราบด้วย ส่วนที่ จ.นนทบุรี พื้นที่ที่ประสบปัญหาหนักคือ อ.ปากเกร็ด ที่น้ำไหลท่วม

** กทม.ยังลูกผีลูกคน **

เมื่อถามว่าจะป้องกันไม่ให้น้ำไหลท่วมพื้นที่กทม. ชั้นในได้อย่างไร พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ในพื้นที่กทม.เราพยายามป้องกันอยู่ แต่จะไหลเข้ามาท่วมได้หรือไม่ไม่มีใครคาดการณ์ได้ ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ น้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ซึ่งเราก็พยายามป้องกันให้ดีที่สุด ซึ่งขณะนี้ เราพยายามผลักดันน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด และขณะนี้ได้เริ่มผลักดันแล้ว ทั้งนี้เราได้เตรียมมาตรการไว้ 2 ทาง คือ การผันน้ำลงทะเล และการเอาน้ำจากคลองที่มาจากแม่น้ำป่าสัก ลงมาทางคลองระพีพัฒน์ คลองหกวา คลองแสนแสบ และคลองเล็กๆ อีก 5-6 คลอง ซึ่งจะเป็นการผลักดันลงแม่น้ำบางปะกง และลงทะเล เราพยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถ ไม่ให้น้ำท่วมกทม.

**เร่งทำคันกั้นน้ำ 3 แห่ง **

เมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่าร้ายแรงที่สุดอยู่ในระดับไหน พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ได้มีการเตรียมแผนไว้แล้ว ซึ่งทุกฝ่ายก็ยืนยันว่า สามารถป้องกันได้ และขณะนี้กทม.ร่วมกับ ปภ. ได้ทำคันกั้นน้ำ 3 แห่ง ตอนนี้กำลังเร่งดำเนินการและคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันนี้ ประกอบด้วยที่ เมืองเอก จุดที่สอง ศาลายา -ตลิ่งชัน และ ที่คลอง1-8 ซึ่งกำลังเร่งดำเนินการกันอยู่ โดยมีระยะทาง 16 กม. ดังนั้นตนก็ตอบไม่ได้ และไม่มั่นใจว่าจะเสร็จภายใน 2-3 วันนี้

**เริ่มอพยพคนออกจากเกาะเกร็ด**

ผู้สื่อข่าวถามว่าในพื้นที่เกาะเกร็ด ขณะนี้ต้องอพยพคนออกมาแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสภาวะการปัจจุบัน โดยผู้ว่าฯ จะรู้ดีที่สุดว่าจำเป็นต้องอพยพประชาชนหรือไม่ และผู้ว่าฯจะตัดสินใจ โดยขณะนี้มีการอพยพออกมาบ้างแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ในขณะนี้จำเป็นต้องประกาศภาวะฉุกเฉินหรือยัง พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า นายกฯ จะนัดประชุมอีกครั้งในช่วงบ่าย แต่ส่วนตัวเห็นว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะต้องประกาศ ขณะนี้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่างก็เร่งช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ สำหรับอยุธยาต้องยอมรับว่าจมแล้ว แต่ที่ดูต่อเนื่องมาแล้ว พยายามที่จะช่วยเหลือก็คือ จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี อ.แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา จ. สมุทรปราการ

**ปทุมฯทรุดอีก!พนังกั้นน้ำพัง11จุด**

นายพันธ์เทพ ศรีวณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้ออกสำรวจถนนสายปทุมธานี สามโคก สายเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อตรวจสอบแนวกั้นน้ำที่ได้พังเป็นจุดๆและได้มีการซ่อมแซมเสร็จบางจุด

จากการตรวจสอบพบว่า เฉพาะ ต.กระแชง อ.สามโคก จ.ปทุมธานี มีแนวกั้นน้ำแตกจำนวน 8 จุด และยังไม่สามารถป้องกันแนวแตกได้ นอกจากนี้ ยังมี ต.สามโคกแนวคันกั้นน้ำแตกจำนวน 3 จุด ยังไม่สามารถปิดแนวแตกได้เลย และตรงจุดประตูน้ำป่าฝ้าย และประตูน้ำวัดตำหนัก ก็ยังซ่อมแซมไม่ได้ รวมทั้งหมด 11 จุด ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ไร่นาสวนผสมอย่างมหาศาล และน้ำไหลผ่านไหล่ทางทำให้ริมทางพังทลายไปกับน้ำ ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่สามตำบลของอำเภอสามโคกได้รับความเสียหาย โดยมีศิริพร ศรีนวล อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44/3 ม.1 ต.สามโคก จ.ปทุมธานี ได้หนุนบ้านมาถึงสามครั้งแล้วโดยยังไม่รู้ว่าจะไปหาที่พักได้ที่ไหนก็ไม่ได้เนื่องจากทางบ้านญาติก็ถูกน้ำท่วมเหมือนกัน

นอกจากนี้ ในเขต อ.เมือง แนวคันกั้นน้ำหน้าวัดโสภาราม ได้พังลงทำให้น้ำเข้าท่วมในวัด และที่วัดหงส์ปทุมาวาส ได้มีแนวคันกั้นน้ำพังเพิ่มมากขึ้นทำให้น้ำเข้าท่วมในวัดทั้งหมด ส่วนการวางแผนป้องกันน้ำท่วมตามแนวที่พังไปนั้น ขณะนี้ ได้ให้จัดหาแฮริเออนำมาจัดวางเป็นแนวกั้นน้ำแล้วเสริมด้วยกระสอบทรายอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งในช่วงเย็นจะได้มีการตั้งแนวที่แตกไปแล้วจะทำการปิดกั้นคันแนวใหม่ตลอดทุกจุดรวมทั้งประตูน้ำที่พังไปซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในคืนนี้

**"บางบัวทอง"อ่วมน้ำทะลักเข้ารพ.**

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมที่โรงพยาบาล อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ระดับน้ำสูงประมาณ 1 เมตร มีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 20 ราย ขณะเดียวกันได้มีการลำเลียงผู้ป่วยส่วนหนึ่งไปไว้ที่เทศบาลแล้ว 20 ราย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ 1 ราย โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า 2 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยหนัก

ส่วนการเดินทางเข้า-ออกโรงพยาบาล มีทหารจากหน่วยทหารปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยาน พัน 1 รอ. คอยอำนวยความสะดวก โดยการนำเรือท้องแบนติดเครื่องมาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งขณะนี้ในส่วนของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปให้ความช่วยเหลือ

ด้านนายวิเชียร พุฒิวิญญู ผวจ.นนทบุรี เปิดเผยว่า สาเหตุที่น้ำทะลักเข้าท่วมหลายพื้นที่ของจ.นนทบุรีนั้น เป็นผลมาจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องหลายวัน คันกั้นน้ำเกิดพังทลายประชาชนได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมประมาณ 3 พันครัวเรือน ระดับน้ำสูงประมาณ 1.20 เมตร ส่วนที่ รพ.บางบัวทองนั้น เวลานี้ทางโรงพยาบาลได้มาเปิดรับผู้ป่วยอยู่ที่เทศบาลเมือง ส่วนผู้ป่วยหนักทางโรงพยาบาลได้ย้ายไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงแล้ว

**นครนายก-แปดริ้ว เร่งระบายน้ำ**

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผวจ.นครนายก กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า มีน้ำมีระดับสูงขึ้นตามลำดับประมาณ 20 ซม. อย่างไรก็ตาม ตนได้ไปตรวจสถานการณ์น้ำที่คลอง 17 ต.บางน้ำเปรี้ยว พร้อมประสาน ผวจ.ฉะเชิงเทรา เพื่อร่วมกันหาทางเร่งระบายน้ำที่ต้องรับจากจ.ปทุมธานี คลองรังสิต คองรพีพัฒน์ เพื่อเร่งระบายสู่คลองด่าน และออกสู่ทะเลโดยเร็ว โดยที่ประตูน้ำชลหารพิจตร คลองด่านนั้น มีเครื่องสูบน้ำยักษ์ 6 ตัว รอพร้อมสูบน้ำออกสู่ทะเล

** จ่อท่วมรพ.พระนั่งเกล้า**

วานนี้ (11 ต.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วยผู้บริหารสธ.เดินทางตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำท่วมของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี เนื่องจากด้านหลังของโรงพยาบาลอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา โดยขณะนี้ระดับน้ำอยู่ห่างจากกำแพงโรงพยาบาลราว 1 ฟุตและมีบางส่วนล้นเข้ามาตามช่องประตูรั้ว แต่ยังไม่เข้าท่วมภายในโรงพยาบาลเพราะมีการเสริมกระสอบทรายเป็นแนวป้องกันน้ำในระดับความสูง 1.5 เมตร

นายวิทยา กล่าวว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่ควรประเมินสถานการณ์ต่ำ โดยเชื่อว่าภายใน 3-4 วัน มวลน้ำจะจากปทุมธานีจะมาถึง จ.นนทบุรี จึงควรเตรียมการในส่วนของระบบส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย

**สั่งร.ร.เขตนนท์ฯปทุมฯกทม.เก็บของขึ้นชั้น 2**

เมื่อเวลา 16.20 น. นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวระหว่างแถลงข่าวการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมด้วย นางบุญรื่น ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. ว่า ได้สั่งการให้สถานศึกษาทุกสังกัดในพื้นที่จ.ปทุมธานี นนทบุรี และกทม.เตรียมการตั้งรับสถานการณ์น้ำท่วม อย่าประมาทเพราะมีโอกาสเกิดน้ำท่วมได้ทุกพื้นที่เนื่องจากมีปริมาณน้ำสูงมาก ทุกฝ่ายจะต้องระวังให้เคลื่อนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูงรวมทั้งรถยนต์ด้วย ในส่วนของสถานศึกษาก็เช่นกัน นอกจากเคลื่อนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูงแล้ว ขอให้เตรียมถุงทรายมาทำคันกั้นน้ำรวมทั้งมีแผนดูแลนักเรียนและผู้ปกครองด้วย อ

**โรงเรียนส่อเลื่อนเปิดเทอม **

นายวรวัจน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ศธ.ได้ประเมินว่าโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยนั้นมีแนวโน้มจะต้องเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ออกไปก่อนเพราะขณะนี้ระดับน้ำยังเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ จึงคาดการณ์ว่าผลกระทบจากน้ำท่วมน่าจะยาวนายอีกประมาณ 1-2 เดือนส่งผลกระทบต่อการเปิดเทอม จำเป็นต้องเลื่อนออกไป ทั้งนี้ หลังจากน้ำท่วมสูงสุดแล้วจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างละเอียดอีกครั้งจึงจะรู้แน่ชัดว่าต้องเลื่อนเปิดภาคเรียนออกไปหรือระยะเวลาเท่าไร แต่หากโรงเรียนอื่น ๆที่ไม่ได้รับผลกระทบก็สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

**นายกฯสั่งเร่งลอก 5 คลองสูบน้ำลงทะเล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการระดมหน่วยงานทั้งกองทัพ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขุดลอกคูคลองสำคัญ 5 แห่ง ตามโครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพระบบอาคารบังคับน้ำตามแนวคันกั้นน้ำพระราชดำริฝั่งตะวันออก คือ 1.คลองพระองค์เจ้าไชยยานุชิต 2.คลองจระเข้ใหญ่ 3.คลองบางโฉลง 4.คลองลาดกระบัง และ 5.คลองหนองงูเห่า

โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อระบายน้ำที่เหลือจากการไหลบ่ามาจากจ.อยุธยา และ จ.นครสวรรค์ที่ปกติจะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาแต่ด้วยปริมาณน้ำที่มากและการผันหรือสูบน้ำออกไปสู่ทะเลไม่ทัน ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำตลบหลัง คือ น้ำไหลย้อนอ้อมมาท่วมขังบริเวณชุมชนฝั่งตะวันออกโดยการปฏิบัติการดังกล่าวต้องแล้วเสร็จก่อนวันที่ 15 ต.ค.นี้

**ผู้ว่าฯกทม.ตรวจศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยมีนบุรี**

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานเปิดศูนย์เฉพาะกิจแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้านตะวันออกเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ทั้งนี้ เนื่องจากกรุงเทพฯฝั่งตะวันออกต้องรองรับน้ำเหนือจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และ จ.ปทุมธานี ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในวันที่ 15-18 ต.ค.นี้จะมีฝนตกต่อเนื่องและจะมีปริมาณน้ำเหนือไหลเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯฝั่งตะวันออกเเป็นจำนวนมาก โดยศูนย์ดังกล่าวมีปลัดกทม.เป็นผู้อำนวยการ

ภายหลังเปิดศูนย์แล้ว ผู้ว่าฯกทม.ได้เดินทางไปยังโรงเรียนมีนบุรี ซึ่งใช้เป็นศูนย์พักพิงผู้ประสพภัยน้ำท่วมในเขตมีนบุรี ซึ่งในเขตนี้จะมีศูนย์พักพิงจำนวน 10 ศูนย์ โดยผู้ว่าราชการได้ตรวจความพร้อมโดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เป็นที่หลับนอน เช่น ผ้าห่ม ที่นอน รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ซึ่งยืนยันว่าตอนนี้มีความพร้อมที่จะรับผู้อพยพได้แล้ว

**กรุงเทพฯ เฝ้าระวังน้ำฝั่งตะวันออก**

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แจ้งว่าสถานการณ์น้ำด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ข้อมูล ณ วันที่ 11 ต.ค. 54 เวลา 08.00 น. ประตูระบายน้ำคลองแสนแสบมีนบุรี ระดับน้ำ 1.30 ม. สูงกว่าระดับควบคุม 40 ซม. ต้องเฝ้าระวัง ประตูระบาย คลองประเวศบุรีรมย์ ตอนลาดกระบัง ระดับน้ำ 0.79 ม. สูงกว่าระดับควบคุม 19 ซม. ต้องเฝ้าระวังเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ รายงานพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนปริมาณน้ำจากไหลออกจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 73.47 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ประกอบด้วย เขตหนองจอก เขตมีนบุรี เขตคลองสามวา และเขตลาดกระบัง เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่บริเวณริมคลองจะได้รับผลกระทบจากน้ำเอ่อล้นจากคลองสายต่างๆ สูงประมาณ 30-40 ซม.

***กทม. เชื่อรับมือ15จุดเสี่ยงได้ ***

นายเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร โฆษกกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาที่แจ้งว่าในช่วงนี้จะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออกมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยจากการสำรวจพบว่ากรุงเทพมหานครชั้นในมีพื้นที่จุดอ่อน 15 พื้นที่ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมหากมีปริมาณฝนตกเกินกว่า 60 มม./ชั่วโมง

อย่างไรก็ดีขอแจ้งให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมิใช่พื้นที่เสี่ยงต่อผลกระทบของประมาณน้ำเหนือไหลบ่า หรือน้ำทะเลหนุน เป็นเพียงพื้นที่จุดอ่อนที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมในกรณีที่มีฝนตกหนักต่อเนื่องเท่านั้น โดยสำนักการระบายน้ำ กทม. ได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ พร้อมเจ้าหน้าปฏิบัติงาน ซึ่งจะสามารถสูบน้ำออกจากพื้นที่ได้ภายใน 2 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ ยังได้ดำเนินการพร่องน้ำในคลองสายหลักให้มีปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยในการระบายน้ำด้วย

**ก.วิทย์ฯใช้เรือดันน้ำ3สายออกทะเลพรุ่งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนลยี ได้ฤกษ์วันที่12 ต.ค. ระดมเรือ 356 ลำผลักดันน้ำออกสู่ทะเลใน 3 แม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางประกง ส่วนจุดที่เหมาะสมในปัจจุบัน คือบริเวณคลองลัดโพธิ์ แม่น้ำเจ้าพระยา และคลองสรรพสามิต แม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีลักษณะพื้นที่เป็นคอขวด โดยถือเป็นส่วนหนึ่งในโครงการประชาอาสานำเรือร่วมผลักดันน้ำลงทะเล ที่ภาครัฐและเอกชนระดมให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม

อย่างไรก็ตาม เรือ 1,000 ลำตามเป้าหมายนั้น คาดว่าจะดำเนินการได้ครบภายในวันที่ 16 ต.ค.นี้

**เจ้าท่าฯเลื่อนพิธีผลักน้ำเป็น16ต.ค.นี้**

นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า(จท.) เปิดเผยว่า กรมฯเลื่อนพิธีการใช้เรือผลักดันน้ำเป็นวันที่ 16 ต.ค.นี้ จากเดิมที่กำหนดจะดำเนินการวันนี้(11ต.ค.) แต่ในปัจจุบันกรมฯและผู้ประกอบการเรือประมาณ20 ลำ ได้ดำเนินการผลักดันน้ำทุกวันอยู่แล้วในบางช่วงเวลา

อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้ผลักดันน้ำในลำน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วันที่8ต.ค.ที่ผ่านมา พบว่าได้ผลดีมาก โดยปริมาณน้ำบริเวณคลองลัดโพธิ์ไหลออกสู่ปากอ่าวไทยเร็วกว่าปกติถึง 30% หากดำเนินการผลักดันน้ำพร้อมกันในวันที่ 16 ต.ค.นี้ ซึ่งผู้ประกอบการเรือและสมาคมเจ้าของเรือไทยจะนำเรือขนาดใหญ่กว่า 100 ลำ มาร่วมผลักดันน้ำตั้งแต่ช่วงปากเกร็ด จนถึงปากน้ำ เชื่อว่าจะช่วยผลักดันน้ำได้ปริมาณมากอย่างแน่นอน

“การผลักดันน้ำจะไม่ทำทีละลำ เพราะระดับน้ำจะมีช่วงเวลาการขึ้นลง โดยกรมฯจะผลักดันน้ำในช่วงน้ำลง ส่วนช่วงน้ำขึ้นจะหยุดการผลักดันน้ำ โดยเรือที่จะผลักดันน้ำลำที่ 1 จะอยู่บริเวณ ปากเกร็ด ส่วนจุดต่อๆมาเรือจะประจำที่นนทบุรี สะพานพระราม 7 สะพานซังฮี้ สะพานพุทธ สะพานสาธร วัดราชสิงขร และจุดสุดท้ายที่บริเวณคลองลัดโพธิ์"นายถวัลย์รัฐ กล่าว

**เตือนรังสิตคลอง1-คลอง13ระดับน้ำเพิ่ม2-3วันนี้**

นายวีระ วงค์นาค ที่ปรึกษาอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยภายหลัง ประชุมติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาว่า กรมชลประทานได้ลดการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จากวันละ 850 ลบ.ม./วินาที เหลือ 350 ลบ.ม./วินาที เป็นเวลา 3 วัน เพื่อไม่ให้มวลน้ำไปสมทบกับพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ทรงตัว ส่วนมวลน้ำจากบริเวณนิคมโรจนะคาดว่าจะไหลผ่านเข้าคลอง 26 แล้วในวันนี้ และคาดว่าจะไหลผ่านและล้นข้ามคันคลองระพีพัฒน์ แยกตก ภายในอีก 2 - 3 วันข้างหน้า กรมชลประทาน จึงเตรียมพร่องน้ำในคลองระพีพัฒน์แยกตก เพื่อรองรับมวลน้ำที่จะมาถึง ซึ่งจะทำให้น้ำในคลองรังสิตตั้งแต่คลอง 1 ถึงคลอง 13 มีระดับสูงขึ้น รวมทั้งพื้นที่ตลาดไทระดับน้ำน่าจะท่วมสูงกว่า 1 เมตรเช่นกัน จึงขอให้ประชาชนที่ทุ่งรังสิต เตรียมขนของขึ้นที่สูง ซึ่งคาดว่าระดับน้ำสูงไม่เกิน 1 เมตร

"ตอนนี้พื้นหนักสุดน่าจะเป็นพื้นที่ด้านตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่แถวรังสิต ตั้งแต่คลอง 1 ถึงคลอง 13 น้ำจะท่วมสูง แต่ไม่น่าจะเกิน 1 เมตร ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ เข้าใจว่าเท่าที่คุยกับ กทม.ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเตรียมพร้อมไว้แล้ว อย่างไรก็ไม่น่าจะเข้ามาถึงดอนเมืองแน่นอน คิดว่าน่าจะเอาอยู่ " นายวีระ กล่าว

**น้ำท่วมเข้าพื้นที่พระปฐมเจดีย์ -ตลาดร้อยปีแล้ว**

มีรายงานข่าวว่า ขณะนี้ น้ำได้ทะลักเข้าท่วมพื้นที่วัดพระปฐมเจดีย์ ตลาดร้อยปี และตลาดบางหลวง ในจังหวัดนครปฐม แล้ว โดยระดับน้ำได้ท่วมสูงประมาณ 50-70 เซนติเมตร

**“สุวรรณภูมิ”พร้อมรับมวลน้ำก้อนใหญ่จากเหนือ **

น.ส.วิไลวรรณ นัดวิไล โฆษกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำ ซึ่งคาดการณ์ว่า น้ำจากทางด้านทิศเหนือจะเริ่มเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครภายในสัปดาห์นี้ และจะมีปริมาณน้ำมากกว่าทุกปี ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) จึงได้ขอความร่วมมือกับกรมทางหลวงชนบท (ทช.)ในการขุดลอกพื้นที่บริเวณต้นคลองลาดกระบัง เพื่อช่วยรองรับน้ำและระบายน้ำไปทางด้านทิศใต้ให้สะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ได้มีการประสานกับกรมทางหลวงชนบท ในการเสริมความแข็งแรงของเขื่อนดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการป้องกันพื้นที่ภายในสนามบิน และการกักเก็บน้ำในพื้นที่ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดย ปริมาณน้ำที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่ ทสภ.ขณะนี้ มีร้อยละ 25 หรือประมาณ 1 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ซึ่งยังมีศักยภาพรองรับน้ำได้ถึง 3 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุสุดวิสัย มีฝนตกหนักเป็นจำนวนมาก จนจำเป็นต้องระบายน้ำออกจากสนามบิน ทางทสภ.ได้ประสานกับกรมชลประทาน เพื่อให้เร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลซึ่งศักยภาพในการระบายน้ำทางด้านทิศใต้ของกรมชลประทาน มีเครื่องสูบน้ำ 99 เครื่อง สามารถระบายน้ำได้ 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน

ทั้งนี้ สนามบินสุวรรณภูมิ มีเขื่อนดินสูง 3 เมตร โดยรอบพื้นที่ความยาวประมาณ 23.5 กิโลเมตรภายในเขื่อนจะมีคลองระบายน้ำล้อมรอบ เพื่อระบายน้ำลงอ่างเก็บน้ำ ทั้งหมด 6 แห่ง สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ 4 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ทางด้านทิศใต้ของ ทสภ. จะมีสถานีสูบน้ำ 2 สถานี แต่ละสถานีมีเครื่องสูบน้ำ 4 เครื่อง สามารถระบายน้ำได้ 12 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือ 1ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ระบบดังกล่าวเป็นการออกแบบไว้เพื่อรองรับปริมาณน้ำฝนได้ 149 มิลลิเมตรต่อวัน และจากสถิติปริมาณน้ำฝนตั้งแต่ ทสภ. เปิดให้บริการ มีปริมาณน้ำฝนสูงสุดในเดือนตุลาคม 2552 จำนวน 105.2 มิลลิเมตร

***รถไฟหยุดวิ่ง 15 วันสูญรายได้ 76 ล้านบาท

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) แจ้งว่า เส้นทางรถไฟที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดลำปาง,อุตรดิตถ์,พิจิตร,นครสวรรค์,ลพบุรี,อยุธยา ระหว่างวันที่ 26 ก.ย.- 10 ต.ค. 2554 ทำให้ต้องงดเดินขบวนรถโดยสารไปแล้ว จำนวน 306 ขบวน ขบวนรถสินค้า 580 ขบวน สูญเสียรายได้ประมาณ 76.7 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากด้านโดยสารประมาณ 43.2 ล้านบาท รายได้จากรถสินค้า โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ก๊าซ รวมถึง ปูนซีเมนต์
ประมาณ 33.5 ล้านบาท ส่วนการซ่อมบำรุงทางระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม, โรงรถจักรและล้อเลื่อน และระบบการเดินรถไฟอื่น อยู่ระหว่างประเมินความเสียหาย

ทั้งนี้ที่จังหวัดอยุธยา ช่วงสถานีบางปะอิน-อยุธยา - บ้านม้า ระดับน้ำยังสูงกว่าสันรางประมาณ 67- 80 เซนติเมตร ส่วนจังหวัดลพบุรี ช่วงลพบุรี- ท่าแค ระดับน้ำสูงกว่าสันราง 69 เซนติเมตร จังหวัดนครสวรรค์ ช่วง นครสวรรค์-ปากน้ำโพ- บึงบอระเพ็ด-ทับกฤช-คลองปลากด-ชุมแสง มีน้ำท่วมประมาณ 22-35 เซนติเมตร ยังไม่สามารถให้ขบวนรถไฟผ่านไปได้ ให้บริการได้เฉพาะสายสั้น ๆ เท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น