สังคมไทยเป็นสังคมที่หลากหลายมิติ มีรอยยิ้มที่เรียกว่า ยิ้มสยาม มีสมญาตามท้องถิ่นอย่างภาคเหนือเรียกว่าถิ่นไทยงาม ภาคอีสานถิ่นไทยดี แต่พอมีการเผาบ้านเผาเมืองในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีแนวร่วมแดงมาจากสองท้องถิ่นนี้เป็นหลักจึงเกิดคำถามว่า ที่ดี ที่งาม ทำไมถึงตามขบวนการเหล่านี้ ซึ่งถ้ามองย้อนไปก่อนยุครัฐชาติตลอดรัชสมัยของรัชการที่ 5 จะเห็นได้ว่าการก่อกระแสกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ หรือกบฏผีบุญในภาคอีสานหลายครั้ง ตามแต่การสร้างสมมติเทพที่บรรดาผีบุญและสาวกสร้างขึ้นให้ประชาชนเลื่อมใส ให้เห็นว่าผู้มีบุญมาปลดปล่อยความทุกข์เข็ญจากประวัติศาสตร์
เมื่อมีมิติที่ต่างกันและมีการจัดการที่ต่างกัน จึงทำให้ผลที่ออกมาต่างกัน แต่พอมาถึงยุคนี้เป็นยุคที่มีเทคโนโลยีสูง การสร้างความเชื่อน่าจะอยู่ที่การสร้างความมีเหตุมีผล แต่กลับกลายเป็นว่าเชื่อตามคำโฆษณา เหมือนการเชื่อเรื่องสินค้า การเชื่อคำโฆษณาจึงเหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่ง ที่คนเสพเข้าไปแล้ว ต้องขอเสพอีกครั้ง
ความเชื่อแบบจิตนิยมที่คนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โฆษณามาโดยตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือเจ้ามูลเมืองหรือชื่อภาษาอังกฤษอ่านว่า “ตากสิน” ได้เหมือนกับพระเจ้าตากสิน ซึ่งไม่ต้องสาธยายแต่ก็พอสรุปได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณก็คือผู้มีบุญกับชาติมาเกิดในยุคไฮเทคโนโลยี และที่สำคัญชะตากรรมต้องมาเจอวงจรถูกทำลายจากพวกอำมาตย์ที่เปรียบเสมือนมารที่มาคอยผจญเจ้ามูลเมือง พลาดท่าก็ถูกกระบวนศาลสองมาตรฐานตัดสินให้มีความผิด เป็นชนักติดหลัง และที่สำคัญตราบาปนี้เกิดจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ที่ตั้งกรรมการชุดต่างๆ จัดการพ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีความผิดให้จงได้ ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับการยืนยันจากแนวร่วมพ.ต.ท.ทักษิณ หลายกลุ่ม แต่ที่เป็นข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ
ความเชื่อ “คณะนิติราษฎร์” ที่ต้องการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยประกาศให้รัฐประหารและการกระทำใดๆ ที่มุ่งต่อผลในทางกฎหมายของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ตั้งแต่วันที่ 19-30 กันยายน 2549 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 มาตรา 36 และมาตรา 37 ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย ทั้งการประกาศยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งความหมายก็คือคำสั่งหรือกฎกติกาต่างที่เกิดจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ต้องลบล้าง ยกเลิกให้หมด ไม่ว่าคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อาศัยอำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคำวินิจฉัยและคำพิพากษาที่เกิดจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง
จากผลพวงของคณะรัฐประหาร และความเชื่อของ “คณะนิติราษฎร์” นี้ถ้าได้รับยอมรับ นั่นหมายถึงพ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่มีความผิดในทุกกรณี ไม่ต้องนิรโทษกรรม ไม่ต้องขออภัยโทษ ซึ่งผลที่ตามมา พ.ต.ท.ทักษิณจะกลายเป็นผู้มีบุญ เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่กฎหมายและประเพณีปฏิบัติต่างๆ ต้องหลีกทาง และในด้านกลับกันถ้าไม่ผ่าน คนก็บอกอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แน่มาก มีนักกฎหมาย “คณะนิติราษฎร์” ยอมตายแทน หรือยอมสังเวยวิชาชีพ แบบพลีชีพทิ้งทุ่น ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย
การเกิดผู้มีบุญในยุคไฮเทคโนโลยีนี้เป็นการเกิดที่มีกระบวนการและที่น่าเสียดายว่ากระบวนการเหล่านี้ไปรับใช้คนคนเดียว ถึงขั้นขนาดทำลายความน่าเชื่อถือของกฎหมาย ซึ่งในอดีตฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ก็โฆษณาว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือชนชั้นปกครองทั้งมีความมุ่งมั่น โค่นล้ม แต่ในปัจจุบันไม่กล้าบอกว่าเป็นกฎหมายเป็นเครื่องมือชนชั้นปกครองทั้งหมด เพราะพวกตัวเองก็เคยได้อำนาจรัฐและใช้อำนาจรัฐแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม
กฎหมายไม่เขียนห้ามหรือกฎหมายที่เขียนให้มีช่องว่างที่บรรดาศรีธนญชัยเข้าไปโกงกินได้กับสัมปทานรัฐก็จะจัดการแบบไม่แคร์ต่อสายตาใครๆ จึงเป็นเรื่องที่นักกฎหมายที่เข้าใจแก่นแท้ของชีวิต เข้าใจวิถีประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของประชาชนจะต้องเข้ามาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งนักกฎหมายในนาม “คณะนิติราษฎร์” เป็นนักกฎหมายอายุยังน้อยลองเอากลับไปทบทวนบทบาทของกลุ่มดู ว่าที่ทำไปนั้นถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ และการนำเสนอนั้นรอบด้านหรือเปล่า เพราะความน่าเชื่อถือนี้ ไม่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของตัวคน แต่กระทบถึงสถานศึกษาที่ได้รับการเล่าเรียนมา
ผู้เขียนเองเคยเสียดายที่ไม่ไปมอบตัวเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ แต่ที่เสียดายคือไม่มีโอกาสเรียนกฎหมายกับศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย อาจารย์กฎหมายที่กล้านำคำพิพากษาศาลฎีกามาวิพากษ์ให้นักศึกษาฟังอย่างมีคุณค่า เป็นนักกฎหมายที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน การได้ฟังเพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ดร.หยุด เล่าด้วยความประทับใจครั้งนั้นและได้อ่านบทความที่อาจารย์เขียน ทำให้ผู้เขียนเชื่อถือการศึกษาของประเทศเยอรมนี หรือนักเรียนเยอรมนีคนต่อมาอย่างศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร ก็มีหลักกฎหมายแน่น กล้าวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ถูกต้องและไม่หักดิบกฎหมาย
และคนสุดท้ายที่จะพูดถึงคือ ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ ที่ให้ข้อคิดข้อเปรียบเทียบในกรณีที่รัฐสภาเยอรมนีตรากฎหมายในการลบล้างคำพิพากษาของ “ศาลประชาชนในยุคนาซี” ปี พ.ศ. 2545 นั้นเพราะคำพิพากษาเหล่านั้นไม่เพียงขัดต่อความยุติธรรมดา แต่เป็นเพราะกรณีดังกล่าวไม่อาจนับเป็นคำพิพากษาได้เลย ด้วยองค์กรนาซีใช้ชื่อ “ศาลประชาชน” เป็นเครื่องมือก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม ศาลประชาชนของฮิตเลอร์นี้ประกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษา 5 นาย ในจำนวนนี้เป็นผู้พิพากษาอาชีพ 2 นาย แต่อีก 3 นายเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคนาซีซึ่งฮิตเลอร์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยตนเอง
ศาลนี้ได้ตัดสินประหารชีวิตคนตั้งแต่ก่อตั้งศาลจนสิ้นสุดสงครามราว 7,000 คน ศาลประชาชนนาซีนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาเลือกทนายความได้อย่างอิสระ ผู้ต้องหามีสิทธิแค่เสนอชื่อผู้ที่ตนเห็นควรเป็นทนาย และบุคคลดังกล่าวจะเป็นทนายให้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากศาลนาซีเสียก่อน และทนายความเหล่านี้ที่ได้รับความเห็นชอบจากศาล จะรู้ตัวว่าตนได้ว่าคดีใดล่วงหน้าเพียง 1 วัน หรือไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มการพิจารณา โดยมากทนายความมักไม่รู้จักหรือไม่มีโอกาสติดต่อกับผู้ต้องหาล่วงหน้ามาก่อน และศาลจะพิจารณาคดีอย่างรวบรัด โดยไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา ศาลประชาชนนาซีจึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไทยไม่ได้เลย ด้วยผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาอาชีพทั้งหมด และมีกระบวนการพิจารณาที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ได้เต็มที่ตาม กฎหมาย เลือกทนายความของตนเองได้อย่างอิสระ
เมื่อศาลประชาชนนาซีเป็นแค่เครื่องมือก่อการร้ายก่ออาชญากรรมจึงชอบแล้วที่รัฐสภาเยอรมนีจะตรากฎหมายลบล้าง แล้วศาลไทย กฎหมายไทยเป็นเครื่องมือที่ใช้ก่อการร้ายก่ออาชญากรรมด้วยหรือ จึงต้องลบล้างเมื่อศาลไทยต่างจากศาลประชาชนนาซีอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ผู้ต้องการลบล้างศาลไทย กฎหมายไทยเพื่อช่วยบรรดาผีบุญ เป็นผู้ทำลายหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐไทย ซึ่งไม่ต่างจากฮิตเลอร์หรือพลพรรคนาซีที่ตั้ง “ศาลประชาชนนาซี” เพื่อเครื่องมือในการครองอำนาจเท่านั้นเอง
เมื่อมีมิติที่ต่างกันและมีการจัดการที่ต่างกัน จึงทำให้ผลที่ออกมาต่างกัน แต่พอมาถึงยุคนี้เป็นยุคที่มีเทคโนโลยีสูง การสร้างความเชื่อน่าจะอยู่ที่การสร้างความมีเหตุมีผล แต่กลับกลายเป็นว่าเชื่อตามคำโฆษณา เหมือนการเชื่อเรื่องสินค้า การเชื่อคำโฆษณาจึงเหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่ง ที่คนเสพเข้าไปแล้ว ต้องขอเสพอีกครั้ง
ความเชื่อแบบจิตนิยมที่คนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โฆษณามาโดยตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือเจ้ามูลเมืองหรือชื่อภาษาอังกฤษอ่านว่า “ตากสิน” ได้เหมือนกับพระเจ้าตากสิน ซึ่งไม่ต้องสาธยายแต่ก็พอสรุปได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณก็คือผู้มีบุญกับชาติมาเกิดในยุคไฮเทคโนโลยี และที่สำคัญชะตากรรมต้องมาเจอวงจรถูกทำลายจากพวกอำมาตย์ที่เปรียบเสมือนมารที่มาคอยผจญเจ้ามูลเมือง พลาดท่าก็ถูกกระบวนศาลสองมาตรฐานตัดสินให้มีความผิด เป็นชนักติดหลัง และที่สำคัญตราบาปนี้เกิดจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ที่ตั้งกรรมการชุดต่างๆ จัดการพ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีความผิดให้จงได้ ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับการยืนยันจากแนวร่วมพ.ต.ท.ทักษิณ หลายกลุ่ม แต่ที่เป็นข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ
ความเชื่อ “คณะนิติราษฎร์” ที่ต้องการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยประกาศให้รัฐประหารและการกระทำใดๆ ที่มุ่งต่อผลในทางกฎหมายของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ตั้งแต่วันที่ 19-30 กันยายน 2549 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 มาตรา 36 และมาตรา 37 ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย ทั้งการประกาศยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งความหมายก็คือคำสั่งหรือกฎกติกาต่างที่เกิดจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ต้องลบล้าง ยกเลิกให้หมด ไม่ว่าคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อาศัยอำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคำวินิจฉัยและคำพิพากษาที่เกิดจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง
จากผลพวงของคณะรัฐประหาร และความเชื่อของ “คณะนิติราษฎร์” นี้ถ้าได้รับยอมรับ นั่นหมายถึงพ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่มีความผิดในทุกกรณี ไม่ต้องนิรโทษกรรม ไม่ต้องขออภัยโทษ ซึ่งผลที่ตามมา พ.ต.ท.ทักษิณจะกลายเป็นผู้มีบุญ เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่กฎหมายและประเพณีปฏิบัติต่างๆ ต้องหลีกทาง และในด้านกลับกันถ้าไม่ผ่าน คนก็บอกอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แน่มาก มีนักกฎหมาย “คณะนิติราษฎร์” ยอมตายแทน หรือยอมสังเวยวิชาชีพ แบบพลีชีพทิ้งทุ่น ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย
การเกิดผู้มีบุญในยุคไฮเทคโนโลยีนี้เป็นการเกิดที่มีกระบวนการและที่น่าเสียดายว่ากระบวนการเหล่านี้ไปรับใช้คนคนเดียว ถึงขั้นขนาดทำลายความน่าเชื่อถือของกฎหมาย ซึ่งในอดีตฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ก็โฆษณาว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือชนชั้นปกครองทั้งมีความมุ่งมั่น โค่นล้ม แต่ในปัจจุบันไม่กล้าบอกว่าเป็นกฎหมายเป็นเครื่องมือชนชั้นปกครองทั้งหมด เพราะพวกตัวเองก็เคยได้อำนาจรัฐและใช้อำนาจรัฐแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม
กฎหมายไม่เขียนห้ามหรือกฎหมายที่เขียนให้มีช่องว่างที่บรรดาศรีธนญชัยเข้าไปโกงกินได้กับสัมปทานรัฐก็จะจัดการแบบไม่แคร์ต่อสายตาใครๆ จึงเป็นเรื่องที่นักกฎหมายที่เข้าใจแก่นแท้ของชีวิต เข้าใจวิถีประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของประชาชนจะต้องเข้ามาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งนักกฎหมายในนาม “คณะนิติราษฎร์” เป็นนักกฎหมายอายุยังน้อยลองเอากลับไปทบทวนบทบาทของกลุ่มดู ว่าที่ทำไปนั้นถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ และการนำเสนอนั้นรอบด้านหรือเปล่า เพราะความน่าเชื่อถือนี้ ไม่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของตัวคน แต่กระทบถึงสถานศึกษาที่ได้รับการเล่าเรียนมา
ผู้เขียนเองเคยเสียดายที่ไม่ไปมอบตัวเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ แต่ที่เสียดายคือไม่มีโอกาสเรียนกฎหมายกับศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย อาจารย์กฎหมายที่กล้านำคำพิพากษาศาลฎีกามาวิพากษ์ให้นักศึกษาฟังอย่างมีคุณค่า เป็นนักกฎหมายที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน การได้ฟังเพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ดร.หยุด เล่าด้วยความประทับใจครั้งนั้นและได้อ่านบทความที่อาจารย์เขียน ทำให้ผู้เขียนเชื่อถือการศึกษาของประเทศเยอรมนี หรือนักเรียนเยอรมนีคนต่อมาอย่างศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร ก็มีหลักกฎหมายแน่น กล้าวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ถูกต้องและไม่หักดิบกฎหมาย
และคนสุดท้ายที่จะพูดถึงคือ ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ ที่ให้ข้อคิดข้อเปรียบเทียบในกรณีที่รัฐสภาเยอรมนีตรากฎหมายในการลบล้างคำพิพากษาของ “ศาลประชาชนในยุคนาซี” ปี พ.ศ. 2545 นั้นเพราะคำพิพากษาเหล่านั้นไม่เพียงขัดต่อความยุติธรรมดา แต่เป็นเพราะกรณีดังกล่าวไม่อาจนับเป็นคำพิพากษาได้เลย ด้วยองค์กรนาซีใช้ชื่อ “ศาลประชาชน” เป็นเครื่องมือก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม ศาลประชาชนของฮิตเลอร์นี้ประกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษา 5 นาย ในจำนวนนี้เป็นผู้พิพากษาอาชีพ 2 นาย แต่อีก 3 นายเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคนาซีซึ่งฮิตเลอร์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยตนเอง
ศาลนี้ได้ตัดสินประหารชีวิตคนตั้งแต่ก่อตั้งศาลจนสิ้นสุดสงครามราว 7,000 คน ศาลประชาชนนาซีนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาเลือกทนายความได้อย่างอิสระ ผู้ต้องหามีสิทธิแค่เสนอชื่อผู้ที่ตนเห็นควรเป็นทนาย และบุคคลดังกล่าวจะเป็นทนายให้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากศาลนาซีเสียก่อน และทนายความเหล่านี้ที่ได้รับความเห็นชอบจากศาล จะรู้ตัวว่าตนได้ว่าคดีใดล่วงหน้าเพียง 1 วัน หรือไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มการพิจารณา โดยมากทนายความมักไม่รู้จักหรือไม่มีโอกาสติดต่อกับผู้ต้องหาล่วงหน้ามาก่อน และศาลจะพิจารณาคดีอย่างรวบรัด โดยไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา ศาลประชาชนนาซีจึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไทยไม่ได้เลย ด้วยผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาอาชีพทั้งหมด และมีกระบวนการพิจารณาที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ได้เต็มที่ตาม กฎหมาย เลือกทนายความของตนเองได้อย่างอิสระ
เมื่อศาลประชาชนนาซีเป็นแค่เครื่องมือก่อการร้ายก่ออาชญากรรมจึงชอบแล้วที่รัฐสภาเยอรมนีจะตรากฎหมายลบล้าง แล้วศาลไทย กฎหมายไทยเป็นเครื่องมือที่ใช้ก่อการร้ายก่ออาชญากรรมด้วยหรือ จึงต้องลบล้างเมื่อศาลไทยต่างจากศาลประชาชนนาซีอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ผู้ต้องการลบล้างศาลไทย กฎหมายไทยเพื่อช่วยบรรดาผีบุญ เป็นผู้ทำลายหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐไทย ซึ่งไม่ต่างจากฮิตเลอร์หรือพลพรรคนาซีที่ตั้ง “ศาลประชาชนนาซี” เพื่อเครื่องมือในการครองอำนาจเท่านั้นเอง