เวลาติดปีกบิน...แป๊บเดียวก็ถึงเดือนตุลาคม อีกแล้ว...
ปีนี้ครบรอบ 38 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, ครบรอบ 35 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และครบรอบ 3 ปี เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551
14 ตุลา, 6 ตุลา นั่นผมยังเป็นนักศึกษาและเป็นครูสอนหนังสืออยู่ต่างจังหวัด เป็นเพียงคนเล็กๆ คนหนึ่งที่ร่วมเคลื่อนไหวสนับสนุนอยู่บ้านนอก แต่เหตุการณ์ 7 ตุลา 2551 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมเคลื่อนไหว 193 วัน จังหวะก้าวชีวิตเข้ามาผูกพันพัวพันโดยตรง โดยเฉพาะเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือดที่มีการปราบปรามประชาชนหน้ารัฐสภาและบริเวณใกล้เคียงนั้นเป็นประสบการณ์ตรงที่ยากจะลืมเลือน...
พี่น้องพันธมิตรฯ บางท่านโทรศัพท์แสดงความเห็นกับผมว่า ควรจะสัมมนาหรือขีดเขียนเพื่อจัด “ฐานะทางประวัติศาสตร์” ของเหตุการณ์ 7 ตุลาให้ชัดเจน เพื่อเป็นการให้เกียรติกับวีรชนที่บาดเจ็บล้มตาย..ผมก็เรียนไปตรงๆ ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อนดีกว่า เพราะขนาดเหตุการณ์ 14 ตุลาอันยิ่งใหญ่เมื่อ 38 ปีที่แล้ว ยังไม่มีใครรู้เลยว่า..ฐานะทางประวัติศาสตร์คืออะไร อยู่ตรงไหน แค่บางกลุ่มจะนิยามว่าวันที่ 14 ตุลา คือ “วันเสรีภาพ” ก็ยังเถียงกันวงแตกเลยว่า...มันต้องมากกว่านั้น…อย่าไปสนใจที่บางพวกหาว่าพันธมิตรฯ เป็นแค่ “หางเครื่องอำมาตย์” เอาเป็นว่าเราไม่ได้เป็นขี้ข้าของคนชั่วบางคนก็แล้วกัน..
ดังนั้น 7 ตุลา มันจะอยู่ซอกมุมไหนของประวัติศาสตร์ไทย ปล่อยให้วันเวลาได้จัดสรรจัดระเบียบด้วยตัวมันเองไปสักระยะหนึ่งก่อน วันนี้ที่สำคัญกว่าอย่างอื่นก็คือ ขอเพียงให้ 7 ตุลา ยังอยู่ในหัวใจเรา คิดถึง 193 วัน คิดถึงผู้บาดเจ็บล้มตายที่พันธมิตรฯ ได้ดูแลเยียวยาไปแล้วและยังต้องเยียวยาดูแลต่อไป รวมแล้วจำนวน 1,005 ราย ผมก็คิดว่าเป็นความงดงามความพอเพียงตามห้วงเวลาแล้ว...
วันนี้ (6 ตุลา) ในฐานะผู้ร่วมเหตุการณ์คนหนึ่งผมก็จะไปร่วมงานสัมมนาของผู้ได้รับบาดเจ็บ พิการ และญาติผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม 193 วัน โดยเฉพาะจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลา ที่กาญจนบุรี อย่างน้อยก็ไปร่วมยืนยันว่า...7 ตุลายังอยู่ในหัวใจเรา...และจะเป็นกำลังใจให้กันตลอดไป...
อย่างไรก็ตาม ครบรอบ 3 ปีของเหตุการณ์ ผมต้องยืนยันผ่านข้อเขียนไว้เป็นทางการสักครั้งหนึ่ง หลังจากเคยพูดผ่านไมโครโฟนมาหลายครั้งแล้วว่า...การเคลื่อนไหวเมื่อ 7 ตุลา 2551 อยู่บนพื้นฐานที่ว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้.....”
ประชาชนหลายหมื่นคนที่รายล้อมรัฐสภามีเป้าหมายกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช ลาออกหยุดการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา...นั่นคือเป้าหมาย
ผมและแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 อีกสองคนคือ ศิริชัย ไม้งาม และสาวิทย์ แก้วหวาน ได้รับมอบหมายจากแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1 และฉันทามติจากพี่น้องประชาชนที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล (ขณะนั้น) ให้ไปดูแลการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาให้เป็นไปด้วยความสงบ สันติ และเราสามคนจับมือกันอย่างแข็งแรงแข็งขันว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างไรก็จะยึดหลักการนี้...
3 นาฬิกาเศษ ก่อนรุ่งสางวันที่ 7 ตุลา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล โทรศัพท์แจ้งผมว่าตำรวจน่าจะยกกำลังสลายพวกเราแน่ ขอให้ช่วยกันดูแลป้องกันให้ดี...กระทั่ง 06.15 น.ขณะผมยืนปราศรัยเป็นคนแรกในเช้าวันนั้นเสียง “บึ้ม” แรกก็ดังขึ้นบริเวณแยกการเรือน ม.ราชภัฏสวนดุสิต ก่อนที่สักพักใหญ่ระเบิดบาปกระสุนบ้าจากตำรวจจะถล่มประชาชนหน้ารัฐสภาและบริเวณใกล้เคียงอย่างน้อย 3 รอบ...
ด้วยความเจ็บปวด คับแค้น มีหลายช่วงที่พี่น้องของเราจะพังประตูรัฐสภาบุกเข้าไปตะลุมบอน..แต่พวกผมสามคนและพี่ๆ น้องๆ บางคนที่ล้อมวงคุยยืนยันว่า..ต้องไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว...
ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมา 3 ปี ผมเคยถามใครต่อใครหลายครั้งว่า พวกผมสามคนตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่ห้ามพี่น้องไม่ให้บุกเข้าไปในรัฐสภา ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าถูกต้องแล้ว เพราะถ้าบุกเข้าไปจะมีการฆ่ากันตายครั้งใหญ่ ชื่อของพันธมิตรฯ อาจถูกฝังจบชีวิตตรงนั้น..วันนั้น..ไปแล้ว...
แต่ก็มีบางคนบอกว่า ถ้าปล่อยให้บุกเข้าไป บ้านเมืองอาจจบอีกแบบ อาจไม่คาราคาซังอย่างที่เห็นและเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ซึ่งผมบอกว่าผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ยังไงก็ยืนยันว่าการที่ตัดสินใจไม่ให้บุกเข้าไปนั้นถูกต้องแล้ว อนาคตหากใครจะบุกจะเผาก็ว่ากันเองเถิด ผมไม่กล้าหาญพอ ไม่อาจทำอะไรที่เกินหัวใจของตัวเอง...
ทุกวันนี้ไปเป็นแขก-วิทยากรร่วมอภิปรายที่ไหนผมยืนยันทุกครั้งว่า บ้านเมืองของเราถกเถียงกันทางความคิดก็เถียงกันให้ตายไปข้างหนึ่งเถิดไม่ว่ากัน แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาดและต้องเคารพหลักนิติรัฐ นิติธรรม
ครับ นี่เป็นคำสารภาพคำบอกเล่าจากใจจริงๆ ในโอกาสครบรอบ 3 ปี ซึ่งวันนี้ผมอยากขอบคุณย้อนหลังเจ้าหน้าที่รัฐสภาหลายคนที่อุตส่าห์คอยแจ้งข่าว, ขอบคุณ “ต้อย-สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ที่โทรศัพท์จากภายรัฐสภาบอกผมหลายครั้งว่าให้ระวังปืนสั้นของพวกติดตาม ส.ส.-รัฐมนตรี ที่เดินแกว่งปืนอยู่ในสภาและผมนำไปพูดดักคอไว้บนเวที, ขอบคุณ ชุมพล สังข์ทอง เลขาส่วนตัวของน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่มาเป็นบอดี้การ์ด (กิตติมศักดิ์) หนึ่งเดียวให้ผมสองวันเต็มๆ และคะยั้นคะยอให้ผมใส่เสื้อเกราะ แต่ผมปฏิเสธ...
ขอบคุณพี่น้องพันธมิตรฯ ที่มีหัวใจความกล้ามากกว่าผมหลายเท่า กลายเป็นกำลังใจมุมกลับให้ผมกล้าต่อสู้มากกว่าเดิม...
และแน่นอนหลังเหตุการณ์ หลังจากเราได้เช็ดเลือดเช็ดน้ำตาแล้ว ต้องขอบคุณ ส.ส.-ส.ว.หลายต่อหลายคนที่ต่อสู้ให้ความเป็นธรรมกับพันธมิตรฯ...ไม่ใช่เพราะเขาเป็นพันธมิตรฯ แต่เพราะพวกเขารักความถูกต้อง เป็นธรรมและมีความกล้าหาญ โดยไม่สนใจว่าจะต้องมีระยะใกล้ระยะห่างกับพันธมิตรฯ หรือไม่...
ครับ วันนี้อย่าเพิ่งถามผมเรื่องฐานะทางประวัติศาสตร์ของ 7 ตุลา 2551 หรือถามว่าพันธมิตรฯ จะไปทางไหนจะเอายังไงกันต่อ เพราะต่อคำถามหลังถ้าผมจะตอบว่า...บ้านเมืองไม่ได้เป็นของพันธมิตรฯ คนเดียว ก็ดูจะกวนๆ ไปหน่อย ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในนามส่วนตัวผมก็ยืนยันได้ว่าผมจะ “สู้ๆ” กับความไม่ถูกต้องดีงามต่อไป...
แต่ผมสารภาพว่า ในยุคเรือดันน้ำ ยุคหญ้าแพรก..โดยรวมๆ แล้ว ผมเศร้าใจที่ประเทศนี้...คนชั่ว นักการเมืองชั่ว ข้าราชการชั่ว พวกเขาช่างรวมตัวรวมใจกันได้ดีเหลือเกิน ในขณะที่คนดีๆ นอกจากจะรวมกันยากแล้ว ยังทะเลาะกันได้ทะเลาะกันดีอีกต่างหาก...
ทำไงได้.. ตถตา...มันเป็นเช่นนั้นเอง!!
samr_rod@hotmail.com
ปีนี้ครบรอบ 38 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, ครบรอบ 35 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และครบรอบ 3 ปี เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551
14 ตุลา, 6 ตุลา นั่นผมยังเป็นนักศึกษาและเป็นครูสอนหนังสืออยู่ต่างจังหวัด เป็นเพียงคนเล็กๆ คนหนึ่งที่ร่วมเคลื่อนไหวสนับสนุนอยู่บ้านนอก แต่เหตุการณ์ 7 ตุลา 2551 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมเคลื่อนไหว 193 วัน จังหวะก้าวชีวิตเข้ามาผูกพันพัวพันโดยตรง โดยเฉพาะเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือดที่มีการปราบปรามประชาชนหน้ารัฐสภาและบริเวณใกล้เคียงนั้นเป็นประสบการณ์ตรงที่ยากจะลืมเลือน...
พี่น้องพันธมิตรฯ บางท่านโทรศัพท์แสดงความเห็นกับผมว่า ควรจะสัมมนาหรือขีดเขียนเพื่อจัด “ฐานะทางประวัติศาสตร์” ของเหตุการณ์ 7 ตุลาให้ชัดเจน เพื่อเป็นการให้เกียรติกับวีรชนที่บาดเจ็บล้มตาย..ผมก็เรียนไปตรงๆ ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อนดีกว่า เพราะขนาดเหตุการณ์ 14 ตุลาอันยิ่งใหญ่เมื่อ 38 ปีที่แล้ว ยังไม่มีใครรู้เลยว่า..ฐานะทางประวัติศาสตร์คืออะไร อยู่ตรงไหน แค่บางกลุ่มจะนิยามว่าวันที่ 14 ตุลา คือ “วันเสรีภาพ” ก็ยังเถียงกันวงแตกเลยว่า...มันต้องมากกว่านั้น…อย่าไปสนใจที่บางพวกหาว่าพันธมิตรฯ เป็นแค่ “หางเครื่องอำมาตย์” เอาเป็นว่าเราไม่ได้เป็นขี้ข้าของคนชั่วบางคนก็แล้วกัน..
ดังนั้น 7 ตุลา มันจะอยู่ซอกมุมไหนของประวัติศาสตร์ไทย ปล่อยให้วันเวลาได้จัดสรรจัดระเบียบด้วยตัวมันเองไปสักระยะหนึ่งก่อน วันนี้ที่สำคัญกว่าอย่างอื่นก็คือ ขอเพียงให้ 7 ตุลา ยังอยู่ในหัวใจเรา คิดถึง 193 วัน คิดถึงผู้บาดเจ็บล้มตายที่พันธมิตรฯ ได้ดูแลเยียวยาไปแล้วและยังต้องเยียวยาดูแลต่อไป รวมแล้วจำนวน 1,005 ราย ผมก็คิดว่าเป็นความงดงามความพอเพียงตามห้วงเวลาแล้ว...
วันนี้ (6 ตุลา) ในฐานะผู้ร่วมเหตุการณ์คนหนึ่งผมก็จะไปร่วมงานสัมมนาของผู้ได้รับบาดเจ็บ พิการ และญาติผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม 193 วัน โดยเฉพาะจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลา ที่กาญจนบุรี อย่างน้อยก็ไปร่วมยืนยันว่า...7 ตุลายังอยู่ในหัวใจเรา...และจะเป็นกำลังใจให้กันตลอดไป...
อย่างไรก็ตาม ครบรอบ 3 ปีของเหตุการณ์ ผมต้องยืนยันผ่านข้อเขียนไว้เป็นทางการสักครั้งหนึ่ง หลังจากเคยพูดผ่านไมโครโฟนมาหลายครั้งแล้วว่า...การเคลื่อนไหวเมื่อ 7 ตุลา 2551 อยู่บนพื้นฐานที่ว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้.....”
ประชาชนหลายหมื่นคนที่รายล้อมรัฐสภามีเป้าหมายกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช ลาออกหยุดการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา...นั่นคือเป้าหมาย
ผมและแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 อีกสองคนคือ ศิริชัย ไม้งาม และสาวิทย์ แก้วหวาน ได้รับมอบหมายจากแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1 และฉันทามติจากพี่น้องประชาชนที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล (ขณะนั้น) ให้ไปดูแลการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาให้เป็นไปด้วยความสงบ สันติ และเราสามคนจับมือกันอย่างแข็งแรงแข็งขันว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างไรก็จะยึดหลักการนี้...
3 นาฬิกาเศษ ก่อนรุ่งสางวันที่ 7 ตุลา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล โทรศัพท์แจ้งผมว่าตำรวจน่าจะยกกำลังสลายพวกเราแน่ ขอให้ช่วยกันดูแลป้องกันให้ดี...กระทั่ง 06.15 น.ขณะผมยืนปราศรัยเป็นคนแรกในเช้าวันนั้นเสียง “บึ้ม” แรกก็ดังขึ้นบริเวณแยกการเรือน ม.ราชภัฏสวนดุสิต ก่อนที่สักพักใหญ่ระเบิดบาปกระสุนบ้าจากตำรวจจะถล่มประชาชนหน้ารัฐสภาและบริเวณใกล้เคียงอย่างน้อย 3 รอบ...
ด้วยความเจ็บปวด คับแค้น มีหลายช่วงที่พี่น้องของเราจะพังประตูรัฐสภาบุกเข้าไปตะลุมบอน..แต่พวกผมสามคนและพี่ๆ น้องๆ บางคนที่ล้อมวงคุยยืนยันว่า..ต้องไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว...
ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมา 3 ปี ผมเคยถามใครต่อใครหลายครั้งว่า พวกผมสามคนตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่ห้ามพี่น้องไม่ให้บุกเข้าไปในรัฐสภา ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าถูกต้องแล้ว เพราะถ้าบุกเข้าไปจะมีการฆ่ากันตายครั้งใหญ่ ชื่อของพันธมิตรฯ อาจถูกฝังจบชีวิตตรงนั้น..วันนั้น..ไปแล้ว...
แต่ก็มีบางคนบอกว่า ถ้าปล่อยให้บุกเข้าไป บ้านเมืองอาจจบอีกแบบ อาจไม่คาราคาซังอย่างที่เห็นและเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ซึ่งผมบอกว่าผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ยังไงก็ยืนยันว่าการที่ตัดสินใจไม่ให้บุกเข้าไปนั้นถูกต้องแล้ว อนาคตหากใครจะบุกจะเผาก็ว่ากันเองเถิด ผมไม่กล้าหาญพอ ไม่อาจทำอะไรที่เกินหัวใจของตัวเอง...
ทุกวันนี้ไปเป็นแขก-วิทยากรร่วมอภิปรายที่ไหนผมยืนยันทุกครั้งว่า บ้านเมืองของเราถกเถียงกันทางความคิดก็เถียงกันให้ตายไปข้างหนึ่งเถิดไม่ว่ากัน แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาดและต้องเคารพหลักนิติรัฐ นิติธรรม
ครับ นี่เป็นคำสารภาพคำบอกเล่าจากใจจริงๆ ในโอกาสครบรอบ 3 ปี ซึ่งวันนี้ผมอยากขอบคุณย้อนหลังเจ้าหน้าที่รัฐสภาหลายคนที่อุตส่าห์คอยแจ้งข่าว, ขอบคุณ “ต้อย-สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ที่โทรศัพท์จากภายรัฐสภาบอกผมหลายครั้งว่าให้ระวังปืนสั้นของพวกติดตาม ส.ส.-รัฐมนตรี ที่เดินแกว่งปืนอยู่ในสภาและผมนำไปพูดดักคอไว้บนเวที, ขอบคุณ ชุมพล สังข์ทอง เลขาส่วนตัวของน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่มาเป็นบอดี้การ์ด (กิตติมศักดิ์) หนึ่งเดียวให้ผมสองวันเต็มๆ และคะยั้นคะยอให้ผมใส่เสื้อเกราะ แต่ผมปฏิเสธ...
ขอบคุณพี่น้องพันธมิตรฯ ที่มีหัวใจความกล้ามากกว่าผมหลายเท่า กลายเป็นกำลังใจมุมกลับให้ผมกล้าต่อสู้มากกว่าเดิม...
และแน่นอนหลังเหตุการณ์ หลังจากเราได้เช็ดเลือดเช็ดน้ำตาแล้ว ต้องขอบคุณ ส.ส.-ส.ว.หลายต่อหลายคนที่ต่อสู้ให้ความเป็นธรรมกับพันธมิตรฯ...ไม่ใช่เพราะเขาเป็นพันธมิตรฯ แต่เพราะพวกเขารักความถูกต้อง เป็นธรรมและมีความกล้าหาญ โดยไม่สนใจว่าจะต้องมีระยะใกล้ระยะห่างกับพันธมิตรฯ หรือไม่...
ครับ วันนี้อย่าเพิ่งถามผมเรื่องฐานะทางประวัติศาสตร์ของ 7 ตุลา 2551 หรือถามว่าพันธมิตรฯ จะไปทางไหนจะเอายังไงกันต่อ เพราะต่อคำถามหลังถ้าผมจะตอบว่า...บ้านเมืองไม่ได้เป็นของพันธมิตรฯ คนเดียว ก็ดูจะกวนๆ ไปหน่อย ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในนามส่วนตัวผมก็ยืนยันได้ว่าผมจะ “สู้ๆ” กับความไม่ถูกต้องดีงามต่อไป...
แต่ผมสารภาพว่า ในยุคเรือดันน้ำ ยุคหญ้าแพรก..โดยรวมๆ แล้ว ผมเศร้าใจที่ประเทศนี้...คนชั่ว นักการเมืองชั่ว ข้าราชการชั่ว พวกเขาช่างรวมตัวรวมใจกันได้ดีเหลือเกิน ในขณะที่คนดีๆ นอกจากจะรวมกันยากแล้ว ยังทะเลาะกันได้ทะเลาะกันดีอีกต่างหาก...
ทำไงได้.. ตถตา...มันเป็นเช่นนั้นเอง!!
samr_rod@hotmail.com