ธุรกิจตู้หยอดเหรียญเฟื่อง สินค้าคอนซูเมอร์ ขายตรง เมคอัพ แห่ลงตู้ “ซันร้อยแปด” เล็งบุกช่องทางขายขาดปีหน้า
นายสมบัติ มงคลชนะชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ซันร้อยแปด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจตู้หยอดเหรียญในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนรุกตลาดในช่องทางขายขาดอย่างจริงจัง หลังจากเริ่มทดลองแล้วได้รับผลตอบรับดี ด้วยการขายตู้หยอดเหรียญเครื่องดื่มและอาหารให้กับผู้ที่สนใจจะนำไปบริการในจุดต่างๆ โดยผู้สนใจจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ทั้งตู้และสินค้าที่จำหน่าย ราคาตู้เฉลี่ย 85,000 บาท – 140,000 บาทแล้วแต่ขนาดและรูปแบบจากเดิมที่บริษัทฯดำเนินการลงทุนเองและติดตั้งตู้ตามสถานที่ต่างๆรวมแล้วกว่า 5,000 ตู้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่เน้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่างจังหวัดยังน้อยมาก เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันตกยังไม่มี ภาคอีสานถึงโคราช ภาคใต้ถึงราชบุรี เท่านั้นนโดยมีศูนย์กระจายสินค้ารวม 6 แห่งคือ ในกรุงเทพฯมีที่ สวนหลวง กบินทร์บุรี สาธุประดิษฐ์ ต่างจังหวัดที่ อยุธยา ชลบุรี โคราช
“ตลาดตู้หยอดเหรียญยังมีศักยภาพและโอกาสอีกมากทั่วประเทศ เพราะเรามี 5,000 กว่าตู้ คู่แข่งอีกหลายรายรวมแล้ว 2,000 กว่าตู้ รวมกันแค่ 7,000 กว่าตู้เท่านั้นเอง ไทยเรายังน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่มีทั่วประเทศถึง 5 ล้านตู้ ล่าสุดเปิดตัวตู้หยอดเหรียญกาแฟสด “i-caffee by 108 Vending life style เพื่อให้ตลาดมีทางเลือกมากขึ้นอีก”
ตลาดมีโอกาสมากโดยเฉพาะเมื่อต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลให้ 300 บาทต่อวันหรือเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ 15,000 บาท ทำให้ธุกริจเอกชนมีต้นทุนที่สูงขึ้น หากมาใช้รูปแบบตู้หยอดเหรียญก็จะลดต้นทุนตรงนี้ได้มาก และยังได้เงินสดวันต่อวันด้วย ซึ่งบริษัทฯตั้งเป้ารวมต่อเดือนประมาณ 200 ตู้ทั้งขายขาดและติดตั้งเอง โดยสินค้าในตู้เน้นเครื่องดื่มและอาหาร แบ่งเป็นสินค้าเครือสหพัฒน์ 30% และนอกเครือ 70% โดยตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้ไว้ที่ 600 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังได้รับการติดต่อจากผู้ประกอบการจำนวนมาก ที่ทำธุรกิจขายตรง หรือแม้แต่ข้าวสารถุง เครื่องสำอาง อาหารกระป๋อง เป็นต้น ที่ต้องการนำสินค้ามาวางขายในตู้หยอดเหรียญนี้ด้วย แต่เนื่องจาก ยังติดปัญหาด้านระบบการเก็บเงินคืน ขนาดสินค้าที่มีหลากหลาย จึงยังไม่สามารถสรุปได้ แต่ถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่จะทำให้ตู้หยอดเหรียญมีสินค้าและบริการหลากหลายมากขึ้น
นายสมบัติ มงคลชนะชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ซันร้อยแปด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจตู้หยอดเหรียญในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนรุกตลาดในช่องทางขายขาดอย่างจริงจัง หลังจากเริ่มทดลองแล้วได้รับผลตอบรับดี ด้วยการขายตู้หยอดเหรียญเครื่องดื่มและอาหารให้กับผู้ที่สนใจจะนำไปบริการในจุดต่างๆ โดยผู้สนใจจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ทั้งตู้และสินค้าที่จำหน่าย ราคาตู้เฉลี่ย 85,000 บาท – 140,000 บาทแล้วแต่ขนาดและรูปแบบจากเดิมที่บริษัทฯดำเนินการลงทุนเองและติดตั้งตู้ตามสถานที่ต่างๆรวมแล้วกว่า 5,000 ตู้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่เน้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่างจังหวัดยังน้อยมาก เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันตกยังไม่มี ภาคอีสานถึงโคราช ภาคใต้ถึงราชบุรี เท่านั้นนโดยมีศูนย์กระจายสินค้ารวม 6 แห่งคือ ในกรุงเทพฯมีที่ สวนหลวง กบินทร์บุรี สาธุประดิษฐ์ ต่างจังหวัดที่ อยุธยา ชลบุรี โคราช
“ตลาดตู้หยอดเหรียญยังมีศักยภาพและโอกาสอีกมากทั่วประเทศ เพราะเรามี 5,000 กว่าตู้ คู่แข่งอีกหลายรายรวมแล้ว 2,000 กว่าตู้ รวมกันแค่ 7,000 กว่าตู้เท่านั้นเอง ไทยเรายังน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่มีทั่วประเทศถึง 5 ล้านตู้ ล่าสุดเปิดตัวตู้หยอดเหรียญกาแฟสด “i-caffee by 108 Vending life style เพื่อให้ตลาดมีทางเลือกมากขึ้นอีก”
ตลาดมีโอกาสมากโดยเฉพาะเมื่อต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลให้ 300 บาทต่อวันหรือเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ 15,000 บาท ทำให้ธุกริจเอกชนมีต้นทุนที่สูงขึ้น หากมาใช้รูปแบบตู้หยอดเหรียญก็จะลดต้นทุนตรงนี้ได้มาก และยังได้เงินสดวันต่อวันด้วย ซึ่งบริษัทฯตั้งเป้ารวมต่อเดือนประมาณ 200 ตู้ทั้งขายขาดและติดตั้งเอง โดยสินค้าในตู้เน้นเครื่องดื่มและอาหาร แบ่งเป็นสินค้าเครือสหพัฒน์ 30% และนอกเครือ 70% โดยตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้ไว้ที่ 600 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังได้รับการติดต่อจากผู้ประกอบการจำนวนมาก ที่ทำธุรกิจขายตรง หรือแม้แต่ข้าวสารถุง เครื่องสำอาง อาหารกระป๋อง เป็นต้น ที่ต้องการนำสินค้ามาวางขายในตู้หยอดเหรียญนี้ด้วย แต่เนื่องจาก ยังติดปัญหาด้านระบบการเก็บเงินคืน ขนาดสินค้าที่มีหลากหลาย จึงยังไม่สามารถสรุปได้ แต่ถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่จะทำให้ตู้หยอดเหรียญมีสินค้าและบริการหลากหลายมากขึ้น