ASTVผู้จัดการรายวัน - ที่ประชุม กพช.อนุมัติกู้หมื่นล้านเข้ากองทุนน้ำมันพร้อมเห็นชอบตรึงราคาก๊าซภาคครัวเรือนถึงสิ้นปีหน้า ตรึงราคาแอลพีจีภาคขนส่งถึง 15 ม.ค. 55 รอโครงการบัตรเครดิตพลังงานเสร็จก่อนขึ้นราคาเดือนละ 0.41 บาท/ลิตร ส่วนเอ็นจีวีขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโล จ่อเก็บเงินแอลพีจีปิโตรเคมี 1 บาทต่อกิโล เริ่มปีใหม่นี้
วานนี้ (30 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (กพช.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ โดยยังคงตรึงราคาก๊าซภาคครัวเรือนต่อไป ถึงสิ้นปี 2555 ส่วนแอลพีจี ภาคขนส่งและเอ็นจีวี ตรึงราคาจนถึง 15 ม.ค.2555 เพื่อรอมาตรการบัตรเครดิตพลังงาน โดยจะปรับราคาขายปลีกแอลพีจี ขึ้นเดือนละ 0.41บาท ต่อลิตรและเอ็นจีวี ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกันเตรียมเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซแอลพีจีที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 1 บาท ต่อกิโลกกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการลดภาระกองทุนน้ำมันจากการชดเชยนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของการใช้ก๊าซภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พร้อมทยอยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จากเบนซิน แก๊สโซฮอล์และดีเซล ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.2555 เป็นต้นไป
คาดว่าหากดำเนินการปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี และแนวทางปรับาคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว จะทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ 3,877 ล้านบาท ทั้งนี้ที่ประชุมได้มอบให้ กบง.พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และให้ กบง.พิจารณาการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันต่อไป
ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการกู้ยืมเงินสถาบันการเงิน วงเงิน 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) หรือ สบพน.ขอขยายเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำนงและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันมีสภาพคล่อง คงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรอง การเบิกจ่ายได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหากรัฐมนตรีมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆที่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของการกองทุนน้ำมัน หรือความสามารถในกรชำระหนี้ของ สบพน.ซึ่ง กพช.จะประสานกับหน่วยงานรัฐบาลให้มีมาตรการคุ้มครองเจ้าหนี้เพื่อให้ได้ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา
***ค่าไฟจ่อขยับรับต้นปี2555
นายบุญส่ง เกิดกลาง กรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ เปิดเผยถึงแนวโน้มอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนม.ค.-เม.ย.2555 ว่า ค่าเอฟทีงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2555 มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นประมาณ 10 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าในช่วงดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือน แต่ทั้งนี้ เรกูเลเตอร์จะนำเงินที่เรียกเก็บคืนจาก 3 การไฟฟ้าที่ลงทุนต่ำกว่าแผนในช่วงปี 2551-2553 (Claw back) ที่เหลืออยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาทมาช่วยลดภาระให้ประชาชน
“เมื่อพิจารณาจากราคาก๊าซธรรมชาติแล้วมีแนวโน้มที่ค่าเอฟทีงวดเดือนม.ค.-เม.ย.2555 จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 สตางค์ต่อหน่วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วยเช่น อัตราแลกเปลี่ยนและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งการที่น้ำท่วมในหลายพื้นที่ก็ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง” นายบุญส่งกล่าว.
วานนี้ (30 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (กพช.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ โดยยังคงตรึงราคาก๊าซภาคครัวเรือนต่อไป ถึงสิ้นปี 2555 ส่วนแอลพีจี ภาคขนส่งและเอ็นจีวี ตรึงราคาจนถึง 15 ม.ค.2555 เพื่อรอมาตรการบัตรเครดิตพลังงาน โดยจะปรับราคาขายปลีกแอลพีจี ขึ้นเดือนละ 0.41บาท ต่อลิตรและเอ็นจีวี ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกันเตรียมเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซแอลพีจีที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 1 บาท ต่อกิโลกกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการลดภาระกองทุนน้ำมันจากการชดเชยนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของการใช้ก๊าซภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พร้อมทยอยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จากเบนซิน แก๊สโซฮอล์และดีเซล ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.2555 เป็นต้นไป
คาดว่าหากดำเนินการปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี และแนวทางปรับาคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว จะทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ 3,877 ล้านบาท ทั้งนี้ที่ประชุมได้มอบให้ กบง.พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และให้ กบง.พิจารณาการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันต่อไป
ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการกู้ยืมเงินสถาบันการเงิน วงเงิน 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) หรือ สบพน.ขอขยายเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำนงและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันมีสภาพคล่อง คงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรอง การเบิกจ่ายได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหากรัฐมนตรีมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆที่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของการกองทุนน้ำมัน หรือความสามารถในกรชำระหนี้ของ สบพน.ซึ่ง กพช.จะประสานกับหน่วยงานรัฐบาลให้มีมาตรการคุ้มครองเจ้าหนี้เพื่อให้ได้ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา
***ค่าไฟจ่อขยับรับต้นปี2555
นายบุญส่ง เกิดกลาง กรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ เปิดเผยถึงแนวโน้มอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนม.ค.-เม.ย.2555 ว่า ค่าเอฟทีงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2555 มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นประมาณ 10 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าในช่วงดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือน แต่ทั้งนี้ เรกูเลเตอร์จะนำเงินที่เรียกเก็บคืนจาก 3 การไฟฟ้าที่ลงทุนต่ำกว่าแผนในช่วงปี 2551-2553 (Claw back) ที่เหลืออยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาทมาช่วยลดภาระให้ประชาชน
“เมื่อพิจารณาจากราคาก๊าซธรรมชาติแล้วมีแนวโน้มที่ค่าเอฟทีงวดเดือนม.ค.-เม.ย.2555 จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 สตางค์ต่อหน่วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วยเช่น อัตราแลกเปลี่ยนและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งการที่น้ำท่วมในหลายพื้นที่ก็ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง” นายบุญส่งกล่าว.
