ASTVผู้จัดการรายวัน- กระทรวงพลังงานชง “นายกฯ”ในที่ประชุมกพช.วันนี้เคาะแผนกู้เงินหมื่นล้านบาทเพิ่มสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ หลังติดลบกว่าพันล้านบาทแล้ว พร้อมเสนอกรอบตรึงแอลพีจีขนส่งและเอ็นจีวีถึงสิ้นพ.ย.ก่อนขยับเดือนธ.ค. ขณะที่แอลพีจีครัวเรือนตรึงถึงสิ้นปีก่อนขยับม.ค. 55 ขณะที่เบนซิน 91 วางกรอบเลิกขาย 1 ม.ค. 56
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) วานนี้(29ก.ย.) ว่า ได้หารือถึงแนวทางการจัดหาเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ล่าสุดมีฐานะติดลบกว่า 1,000 ล้านบาทซึ่งที่ประชุมเห็นชอบหลักการกรอบการกู้เงินเพื่อที่จะนำมาเสริมสภาพคล่องประมาณ 10,000 ล้านบาทแต่ในรายละเอียดถึงแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯเช่น การปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีภาคขนส่ง/ครัวเรือน และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) การยกเลิกขายเบนซิน 91 ว่าจะเป็นเมื่อใดจะนำเสนอกรอบให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)พิจารณาวันนี้(30ก.ย.)
“การกู้เงินคงจะเน้นสถาบันการเงินในประเทศและคงจะต้องกู้ก่อนมกราคม 2555 ที่เรากู้เพียงหมื่นล้านบาทเราไม่อยากกู้มากค่อยมาดูอีกที และคงจะกู้ไม่นานเพราะเราก็หวังว่าราคาน้ำมันน่าจะไม่สูงมากเนื่องจากเศรษฐกิจโลกซบเซา ”นายพิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตามการยกเลิกเบนซิน 91 จะดำเนินการแน่แต่เวลาคงจะให้กพช.พิจารณา ทั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐบาลที่จะส่งเสริมพลังงานทดแทนโดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงยังมีโอกาสที่จะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯได้ในบางจังหวะเพื่อให้ประชาชนมีการใช้อย่างประหยัด
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจะเสนอกรอบการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการกู้เงินของกองทุนน้ำมันหมื่นล้านบาทโดยแนวทางสำคัญที่จะเสนอกพช.พิจารณาได้แก่ ราคาแอลพีจีครัวเรือน/ขนส่ง และเอ็นจีวีที่มาตรการตรึงราคาจะสิ้นสุด 30 ก.ย.54จะเสนอให้ยืดมาตรการตรึงราคาแอลพีจีขนส่งและเอ็นจีวีไปถึงสิ้นพ.ย. 54 เพื่อรอมาตรการบัตรเครดิตพลังงานออกมาในการลดภาระหลังจากนั้นเดือนธ.ค.54 ให้ประกาศเริ่มทยอยปรับราคา โดยแอลพีจีภาคขนส่งปรับราคาไตรมาสละ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม(กก.) หรือ 41 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่เอ็นจีวีปรับขึ้นไตรมาสละ 50 สตางค์ต่อกก. เริ่มตั้งแต่ธ.ค.54 โดยจะทยอยขึ้นเป็นรายไตรมาสจนกว่าจะครอบคลุมต้นทุนที่บมจ.ปตท.แบกรับไว้ซึ่งขณะนี้ปตท.แบกรับภาระเอ็นจีวีที่ประมาณ 14-15 บาทต่อกก. แอลพีจีประมาณ 12บาทต่อกก.อย่างไรก็ตามส่วนของราคาเอ็นจีวีที่กองทุนน้ำมันฯชดเชยให้ปตท.กก.ละ 2บาทนั้นจะเสนอให้ลดการชดเชยลงเดือนละ 50 สตางค์กก.จนกว่าจะครบ 2 บาทเริ่มธ.ค.54เช่นกัน
สำหรับแอลพีจีภาคครัวเรือนจะเสนอให้ตรึงราคาต่อไปจนถึงสิ้นปีและจะเริ่มทยอยปรับขึ้นไตรมาสละ 1 บาทต่อกก.จากปัจจุบันอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกก. เริ่มม.ค. 2555 พร้อมกันนี้ส่วนของการกำหนดราคาแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่คงไว้ระดับ 333 เหรียญสหรัฐต่อตันก็จะทยอยปรับไตรมาสละ 1 บาทต่อกก.เป็นเวลา 1 ปี(4ไตรมาส)เพื่อให้ราคาไปอยู่ในระดับสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงที่ 450
เหรียญฯต่อตัน
นอกจากนี้ยังจะเสนอการวางกรอบเวลาในการยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 91 โดยจะเริ่มวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไปเพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมตัว พร้อมวางกรอบที่จะเริ่มทยอยการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่รัฐบาลได้เห็นชอบการยกเว้นเก็บเงินเข้ากองทุนฯส่วนของเบนซิน 91เบนซิน 95 และดีเซล เมื่อวันที่ 26 ส.ค.54 โดยให้เก็บเงินจากเบนซิน 91 และ 95 เริ่มม.ค. 55 ครั้งละ 1 บาทต่อลิตรจนกว่าจะครบตามที่ลดไว้ก่อนหน้านี้ประมาณ 7-8 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลให้เก็บเข้าประมาณ 60 สตางค์ต่อลิตร แต่อาจไม่จำเป็นต้องครอบคลุมที่เคยลดไว้ที่ระดับ 3 บาทต่อลิตรโดยให้ดูสถานการณ์ราคาน้ำมันขณะนั้นเป็นหลัก
“แนวทางที่เสนอทั้งหมดคงจะต้องอยู่ที่นายรัฐมนตรีจะตัดสินใจ ซึ่งยอมรับว่าหากจะตรึงราคาไปจนถึงสิ้นปีทั้งหมดก็จะเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำมันตลาดโลกก็จะต้องติดตามเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดเพราะมีผลต่อราคาน้ำมัน”แหล่งข่าวกล่าว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) วานนี้(29ก.ย.) ว่า ได้หารือถึงแนวทางการจัดหาเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ล่าสุดมีฐานะติดลบกว่า 1,000 ล้านบาทซึ่งที่ประชุมเห็นชอบหลักการกรอบการกู้เงินเพื่อที่จะนำมาเสริมสภาพคล่องประมาณ 10,000 ล้านบาทแต่ในรายละเอียดถึงแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯเช่น การปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีภาคขนส่ง/ครัวเรือน และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) การยกเลิกขายเบนซิน 91 ว่าจะเป็นเมื่อใดจะนำเสนอกรอบให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)พิจารณาวันนี้(30ก.ย.)
“การกู้เงินคงจะเน้นสถาบันการเงินในประเทศและคงจะต้องกู้ก่อนมกราคม 2555 ที่เรากู้เพียงหมื่นล้านบาทเราไม่อยากกู้มากค่อยมาดูอีกที และคงจะกู้ไม่นานเพราะเราก็หวังว่าราคาน้ำมันน่าจะไม่สูงมากเนื่องจากเศรษฐกิจโลกซบเซา ”นายพิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตามการยกเลิกเบนซิน 91 จะดำเนินการแน่แต่เวลาคงจะให้กพช.พิจารณา ทั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐบาลที่จะส่งเสริมพลังงานทดแทนโดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงยังมีโอกาสที่จะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯได้ในบางจังหวะเพื่อให้ประชาชนมีการใช้อย่างประหยัด
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจะเสนอกรอบการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการกู้เงินของกองทุนน้ำมันหมื่นล้านบาทโดยแนวทางสำคัญที่จะเสนอกพช.พิจารณาได้แก่ ราคาแอลพีจีครัวเรือน/ขนส่ง และเอ็นจีวีที่มาตรการตรึงราคาจะสิ้นสุด 30 ก.ย.54จะเสนอให้ยืดมาตรการตรึงราคาแอลพีจีขนส่งและเอ็นจีวีไปถึงสิ้นพ.ย. 54 เพื่อรอมาตรการบัตรเครดิตพลังงานออกมาในการลดภาระหลังจากนั้นเดือนธ.ค.54 ให้ประกาศเริ่มทยอยปรับราคา โดยแอลพีจีภาคขนส่งปรับราคาไตรมาสละ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม(กก.) หรือ 41 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่เอ็นจีวีปรับขึ้นไตรมาสละ 50 สตางค์ต่อกก. เริ่มตั้งแต่ธ.ค.54 โดยจะทยอยขึ้นเป็นรายไตรมาสจนกว่าจะครอบคลุมต้นทุนที่บมจ.ปตท.แบกรับไว้ซึ่งขณะนี้ปตท.แบกรับภาระเอ็นจีวีที่ประมาณ 14-15 บาทต่อกก. แอลพีจีประมาณ 12บาทต่อกก.อย่างไรก็ตามส่วนของราคาเอ็นจีวีที่กองทุนน้ำมันฯชดเชยให้ปตท.กก.ละ 2บาทนั้นจะเสนอให้ลดการชดเชยลงเดือนละ 50 สตางค์กก.จนกว่าจะครบ 2 บาทเริ่มธ.ค.54เช่นกัน
สำหรับแอลพีจีภาคครัวเรือนจะเสนอให้ตรึงราคาต่อไปจนถึงสิ้นปีและจะเริ่มทยอยปรับขึ้นไตรมาสละ 1 บาทต่อกก.จากปัจจุบันอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกก. เริ่มม.ค. 2555 พร้อมกันนี้ส่วนของการกำหนดราคาแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่คงไว้ระดับ 333 เหรียญสหรัฐต่อตันก็จะทยอยปรับไตรมาสละ 1 บาทต่อกก.เป็นเวลา 1 ปี(4ไตรมาส)เพื่อให้ราคาไปอยู่ในระดับสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงที่ 450
เหรียญฯต่อตัน
นอกจากนี้ยังจะเสนอการวางกรอบเวลาในการยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 91 โดยจะเริ่มวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไปเพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมตัว พร้อมวางกรอบที่จะเริ่มทยอยการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่รัฐบาลได้เห็นชอบการยกเว้นเก็บเงินเข้ากองทุนฯส่วนของเบนซิน 91เบนซิน 95 และดีเซล เมื่อวันที่ 26 ส.ค.54 โดยให้เก็บเงินจากเบนซิน 91 และ 95 เริ่มม.ค. 55 ครั้งละ 1 บาทต่อลิตรจนกว่าจะครบตามที่ลดไว้ก่อนหน้านี้ประมาณ 7-8 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลให้เก็บเข้าประมาณ 60 สตางค์ต่อลิตร แต่อาจไม่จำเป็นต้องครอบคลุมที่เคยลดไว้ที่ระดับ 3 บาทต่อลิตรโดยให้ดูสถานการณ์ราคาน้ำมันขณะนั้นเป็นหลัก
“แนวทางที่เสนอทั้งหมดคงจะต้องอยู่ที่นายรัฐมนตรีจะตัดสินใจ ซึ่งยอมรับว่าหากจะตรึงราคาไปจนถึงสิ้นปีทั้งหมดก็จะเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำมันตลาดโลกก็จะต้องติดตามเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดเพราะมีผลต่อราคาน้ำมัน”แหล่งข่าวกล่าว