“สุกิจ” ตั้งกระทู้ถาม “พิชัย” ชี้รัฐพลาดชะลอเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันส่อสร้างหนี้ ถามจะทำไปถึงเมื่อไหร่ เจ้าตัวยันทำชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี พร้อมปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบหลังยกเลิก สวนกลับ ยันกองทุนติดลบน้อยกว่างดเก็บภาษีน้ำมันสมัย “มาร์ค” โวตั้งเป้าไทยศูนย์กลางพลังงานทดแทน โวพืชพลังงานยังขายราคาปกติ เล็งเพิ่มผสมไบโอดีเซล บี 4 ช่วยปาล์ม
วันนี้ (1 ก.ย.) ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณากระทู้ถามสดเรื่อง นโยบายกการปรับลดน้ำมันและผลกระทบจากการปรับราคาน้ำมัน และ ผลกระทบจากการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของนายสุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ถามนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน
นายสุกิจกล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ คือ การดำเนินการนโยบายเรื่องดังกล่าวของรัฐบาลกำลังผิดพลาดเพราะการชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ส่งผลให้สถานะกองทุนน้ำมันอาจจะเป็นหนี้ในระยะยาว และถ้าเป็นหนี้แล้วรัฐบาลก็ต้องเอาเงินงบประมาณของแผ่นดินเข้ามาอุดหนุนกองทุนน้ำมัน ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงต้องการสอบถามว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ไปอีกนานเท่าไหร่และจะมีมาตรการอย่างไรเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาขายของพืชพลังงาน เช่น มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย ขณะเดียวกัน ภายหลังมีการทำนโยบายนี้ปรากฏว่ามีท่าทีจากภาคเอกชนที่ประกอบกิจการด้านการขนส่งไม่ยอมลดราคาค่าโดยสารของประชาชน แสดงให้เห็นว่ามาตรการกระชากค่าครองชีพของรัฐบาลไม่สามารถทำได้จริง และจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร
นายพิชัยกล่าวว่า นโยบายนี้จะไม่ได้เป็นมาตรการถาวร เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว อย่างมากที่สุดระหว่าง 4-8 เดือนแต่ไม่เกิน 1 ปีแน่นอน โดยหลังจากนั้นจะเมื่อมีการยกเลิกมาตรการดังกล่าวรัฐบาลจะเริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ เพราะมีความบิดเบือนกลไกราคามาเป็นเวลานาน ควบคู่ไปกับการนโยบายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในด้านต่างๆ
“มารตรการนี้อาจทำให้สถานะกองทุนน้ำมันติดลบ 4 พันล้านบาทคาดว่าถ้าใช้ประมาณ 4-6 เดือนจะติดลบประมาณ 2-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขติดลบที่น้อยกว่ามาตรการงดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่ทำให้สูญเสียเงินเข้ารัฐประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้ใช้เงินมากขนาดนั้น” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวว่า ส่วนนโยบายพลังงานทดแทนรัฐบาลชุดนี้ยังคงให้ความสำคัญอยู่โดยตั้งเป้าว่าจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานทดแทนในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ได้เข้าไปตรวจสอบราคาพืชพลังงานแล้วปรากฏว่าราคาขายยังอยู่ในระดับปกติก่อนที่จะมีมาตรการชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เช่น อ้อย 2-3 บาทต่อกิโลกรัม เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมันปาล์มมีราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง ที่สำคัญรัฐบาลจะขยายการเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลชนิดบี 4 เพิ่มเติมออกไปอีกหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติก่อนหน้านี้ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 2554 เพื่อช่วยระบายปริมาณปาล์มน้ำมันในระบบ