xs
xsm
sm
md
lg

เปิดกรุสมบัติ ครม.ปู 1 อดีตข้าราชการ “ร่ำรวย” ผิดปกติ นักการเมือง “เงินน้อย” ไม่น่าเชื่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**หลังเข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศมากว่า 1 เดือนพอดิบพอดี ก็ได้ฤกษ์ที่ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช)” จะเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะรัฐมนตรีรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ทั้ง 36 คน
โดยรัฐมนตรีและคู่สมรสใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 มี “ขุมสมบัติ” รวมแล้วกว่า 5,056 ล้านบาท แม้จะมากมายมหาศาล แต่ก็ยังน้อยกว่า สมัยครม.อภิสิทธิ์ 1 ที่ยื่นเมื่อช่วงปลายปี 51 ที่มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้นกว่า 6,773 ล้านบาท
**ส่วนต่างระหว่างรัฐบาลที่แล้วมีมากกว่าชุดปัจุบันถึง 1,717 ล้านบาท
แต่จุดที่น่าสนใจอยู่ที่บรรดาเสนาบดีที่เป็น “อดีตข้าราชการประจำ” ที่มีฐานะ “อู้ฟู่” อย่างผิดสังเกต ไล่ตั้งแต่ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์สิน ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุด 963.4 ล้านบาท หรือเหยียบพันล้านบาท อาจจะอ้างได้ว่าเป็นสมบัติเก่าของตระกูล “สุรัสวดี” โดยเฉพาะที่ดินย่านสุขุมวิท ที่มีราคาแพงระยับ
ขณะที่อดีตข้าราชการบำนาญคนอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะสายตำรวจ แต่คงต้องข้าม “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกฯ กับทรัพย์สิน 178 ล้านบาท ที่ดูจะทรงๆ มาตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีแรกๆ แต่กับรายอื่นๆ ถือว่าเป็นที่น่าสังเกตกับฐานะ “เศรษฐีร้อยล้าน” เริ่มที่ระดับอดีต ผบ.ตร. “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” รมว.ยุติธรรม ที่มีทรัพย์สิน 279 ล้านบาท จำแนกเป็นที่ดินหลายพื้นที่กว่า 30 รายการ บวกกับรถหรูอีก 10 คัน
ถัดมา “พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก” รมช.คมนาคม กับตัวเลขทรัพย์สิน 195,478,927.61 บาท หนี้สิน 21,167,196.08 บาท เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 174,311,731.53 บาท โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่เขตบางเขน กทม. และที่ จ.นครปฐม รวมไปถึงโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอีกจำนวนหนึ่ง
ขณะที่ “พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ” รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นอดีต ผบ.ตร. เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.ประชา แม้จะมีทรัพย์สิน 27.4 ล้านบาท ดูเหมือนจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่ก็ต้องถือว่ามากโขหากเทียบกับเงินเดือน-ค่าตอบแทน ที่ข้าราชการคนหนึ่งจะได้รับ
**ทั้ง 3 คนจึงน่าจะจัดอยู่ในกลุ่มคนที่ร่ำรวยผิดสังเกต
ในทางกลับกันในรัฐบาลนี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่มีฐานะที่ “ยากจน” อย่างผิดสังเกต โดยเฉพาะพวดที่เป็น “นักการเมืองอาชีพ” ที่เล่นการเมืองมาตลอดชีวิต ยกตัวอย่าง “กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์” รมช.คมนาคม ที่มีทรัพย์สินเพียง 3.9 ล้านบาท น้อยที่สุดในรัฐบาลชุดนี้
หรืออย่าง“ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ กับตัวเลข 30 ล้านบาทเมื่อรวมทรัพย์สินของคู่สมรส และบุตรแล้ว ถือว่าน้อยมาก สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่ในการเมืองมามากกว่า 20 ปี เช่นเดียวกับ “ภูมิ สาระผล” รมช.พาณิชย์ ที่เล่นการเมืองท้องถิ่นมาตั้งแต่ปี 29 และแจ้งทรัพย์สินในครั้งนี้ไว้ไม่มากไม่น้อยที่ 40 กว่าล้านบาท ไม่ต่างจาก “เผดิมชัย สะสมทรัพย์” รมว.แรงงาน คนโตแห่ง จ.นครปฐม ที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ราว 32 ล้านบาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยถูกศาลสั่งล้มละลายมาแล้ว ก่อนจะมีการยกเลิกคำสั่งในภายหลัง
แต่คงเทียบไม่ได้กับ “ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์” รมช.พาณิชย์ อีกคน ที่มีทรัพย์สินราว 26 ล้านบาท แต่ไม่ปรากฏประวัติการทำงานที่ชัดเจน นอกจากฐานะบุตรชายสุดที่รักของ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เท่านั้น
ที่สำคัญ “ผู้นำรัฐบาล” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่แม้จะมีมูลค่าทรัพย์สินรวม 500 กว่าล้านบาท แต่ด้วยฐานะที่เคยเป็นผู้บริหาร บริษัท เอส ซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศ ที่มีมูลค่านับหมื่นๆล้าน อีกทั้งด้วยฐานะ “น้องสาว” ของมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญา ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ทั้งที่เปิดเผย และซุกอยู่ตามประเทศต่างๆไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
ดังนั้นหากจะประเมินฐานะของ “ยิ่งลักษณ์” ที่ร่วมหัวจมท้ายกับพี่ชาย ในทางธุรกิจมาตลอด จึงไม่น่าจะอยู่แค่ระดับร้อยล้านอย่างที่เปิดเผยต่อ ป.ป.ช. หากคิดเพียงแค่เศษเสี้ยว 1 ใน 10 ส่วนของพี่ชาย ก็ต้องมีไม่น้อยกว่าหมื่นล้าน หรืออย่างน้อยก็ไม่น่าจะน้อยหน้า ลูกเอม-พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนโตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ในปัจจุบัน
แต่นั่นก็อาจจะเป็น “เทคนิค” การยักย้ายถ่ายโอนกันแล้วเสร็จ ก่อนจดแจ้งบัญชีทรัพย์สินก่อนเข้ารับตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนด เหลือเพียงบางส่วน เพื่อยื่นเป็นบัญชี “บังหน้า” ไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไปเท่านั้น
และเมื่อไล่ดูบัญชีทรัพย์สินของ ครม.ชุดนี้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าไม่เพียงแต่ “นักการเมือง” เท่านั้นที่สังคมควรจดจ่อจับตามองถึงความไม่ชอบมาพากลในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง
เพราะเห็นกันแล้วว่า การที่ “ข้าราชการ” มีฐานะดีมากเกินกว่าปูมหลัง “อาชีพ-การงาน” อาจจะมาจากพฤติกรรมที่ไม่ต่างจากนักการเมืองในการแสวงหาประโยชน์จากหน้าที่ และส่วนใหญ่ก็เป็น “มือ-ไม้” ของนักการเมืองในการหาช่องใช้งบประมาณแผ่นดินให้เหลือ “เงินทอน” เข้ากระเป๋าตัวเอง
ที่สำคัญหลังจากเกษียณหมดอายุการทำงาน “ข้าราชการ” เหล่านี้ ก็แห่แหนเข้าสู่เวทีการเมืองกันอย่างไม่ขาดสาย คงจะพูดได้ว่า เข้ามาเพื่อกอบโกยตักตวงต่อเนื่อง ในขณะที่นักการเมืองบางคนก็ลงทุนลงแรงกับการทำพื้นที่เลือกตั้งกันจนแทบหมดเนื้อหมดตัว
**สรุปไม่ว่าระบบ “ข้าราชการ-การเมือง” ของเมืองไทย ไม่น่าเป็นที่ไว้วางใจ
**โดยเฉพาะเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายยืมมือกันและกันในการ “ปล้นชาติ” ถอนทุน เพื่อเสวยสุขส่วนตัวบนความทุกข์ยากของประชาชนชาวไทย อย่างไม่น่าให้อภัย
กำลังโหลดความคิดเห็น