วานนี้ (27 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าของสำนวน คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2554 พร้อมองค์คณะรวม 9 คน มีคำพิพากษาคดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยกรณีที่ นายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 8 จ.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ผู้คัดค้าน ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ก.พ.51 ขณะที่ นายปุระพัฒน์ เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ได้จงใจปกปิดการยื่นเอกสารแสดงเงินกู้จำนวน 3.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกระทำผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 263 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 119
องค์คณะผู้พิพากษา พิเคราะห์พยานหลักฐาน และข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่า ผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จึงห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัย และผู้คัดค้านยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ให้จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท ซึ่งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี
ทั้งนี้ ใน เขตเลือกตั้งที่ 8 จ.นครราชสีมา ประกอบด้วย อ.พิมาย ทั้งอำเภอ , อ.ชุมพวง เฉพาะ ต.ท่าลาด ต.ประสุข ต.ชุมพวง ต.โนนยอ และ ต.หนองหลัก มีผู้สมัคร ส.ส. รวม 8 คนจาก 8 พรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นสนามแข่งขันชิงดำกันระหว่าง 2 ผู้สมัครฯ ระหว่าง นายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (ชพน.) กับ นายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อดีต ส.ส. 1 สมัย ทั้งคู่
โดยนายปุระพัฒน์ มีศักดิ์เป็นอาของนายอนุวัฒน์ และเป็นน้องชายนายประกิจ วิเศษจินดาวัฒน์ หรือเสี่ยกี่ (ผู้กว้างขวางในเขตอ.พิมาย) คนใกล้ชิดของนายไพโรจน์ สุวรรณฉวี
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่าโค้งสุดท้ายของการเสียงเลือกตั้งถือว่าเป็นธรรมดาที่จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดพรรคจะปรับยุทธศาสตร์เชื่อจะได้จำนวนสส.คงไม่น้อยกว่าเดิม คือ 25-30 เสียง แต่คงไม่ถึง35 คน
ทั้งนี้เชื่อว่าไม่ถึง 30 วันก็น่าจะเห็นโฉมหน้ารัฐบาลแล้ว และยืนยันว่าการที่นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ปราศรัยก่อนหน้านี้ว่าพรรคจะขอกลับไปดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมไปถึงกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานั้นไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณต่อรองใดๆทั้งสิ้น เกรงจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด
ขณะที่นายชุมพล ได้ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อช่วย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดเพชรบูรณ์ และผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 จังหวัดพิษณุโลก
นายเฉลิม ตันติวิทยาพิทักษ์ รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน ในฐานะผู้ดูแลการสมัครรับเลือกตั้งนครปฐม พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (ชพน.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคและ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ใน จ.นครปฐม ร่วมส่งหนังสือร้องเรียนไปยังกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาจับตาการเลือกตั้งในพื้นที่ จ.นครปฐม เป็นพิเศษ หลังจากที่ผู้สมัครได้ถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรคการเมืองหนึ่งคุกคาม และข่มขู่ หัวคะแนนของผู้สมัคร จนถึงขั้นสั่งห้ามคณะหาเสียงนำรถแห่ประชาสัมพันธ์ไปในพื้นที่ต่างๆ
วันเดียวกันนายกรพจน์ อัศวินวิจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ร่วมกับผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค เปิดตัวคาราวานรถส่งความสุขเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของพรรค
ทั้งนี้ยังเชื่อว่าพรรคจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 20-25 ที่นั่ง จากเดิมที่ตั้งเป้า 15-18 ที่นั่ง
ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย แถลงข่าวว่า โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ร้อนแรงที่สุดที่ 2 พรรคใหญ่จะช่วงชิงอำนาจ จะทำให้สังคมแตกแยก เตือนพรรคประชาธิปัตย์ควรเลิกปราศรัยเผาบ้านเผาเมือง และอย่าดูถูกประชาชน เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาไร้ผลงาน ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีชนักติดหลังเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ควรแบ่งปันและพูดคุยกับอำนาจเก่า จึงมองว่านโยบายของทั้ง 2 พรรคไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่กลับใช้การปราศรัยเป็นเครื่องจักรทางการเมืองให้พวกพ้องของตนได้รับฟัง
องค์คณะผู้พิพากษา พิเคราะห์พยานหลักฐาน และข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่า ผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จึงห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัย และผู้คัดค้านยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ให้จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท ซึ่งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี
ทั้งนี้ ใน เขตเลือกตั้งที่ 8 จ.นครราชสีมา ประกอบด้วย อ.พิมาย ทั้งอำเภอ , อ.ชุมพวง เฉพาะ ต.ท่าลาด ต.ประสุข ต.ชุมพวง ต.โนนยอ และ ต.หนองหลัก มีผู้สมัคร ส.ส. รวม 8 คนจาก 8 พรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นสนามแข่งขันชิงดำกันระหว่าง 2 ผู้สมัครฯ ระหว่าง นายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (ชพน.) กับ นายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อดีต ส.ส. 1 สมัย ทั้งคู่
โดยนายปุระพัฒน์ มีศักดิ์เป็นอาของนายอนุวัฒน์ และเป็นน้องชายนายประกิจ วิเศษจินดาวัฒน์ หรือเสี่ยกี่ (ผู้กว้างขวางในเขตอ.พิมาย) คนใกล้ชิดของนายไพโรจน์ สุวรรณฉวี
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่าโค้งสุดท้ายของการเสียงเลือกตั้งถือว่าเป็นธรรมดาที่จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดพรรคจะปรับยุทธศาสตร์เชื่อจะได้จำนวนสส.คงไม่น้อยกว่าเดิม คือ 25-30 เสียง แต่คงไม่ถึง35 คน
ทั้งนี้เชื่อว่าไม่ถึง 30 วันก็น่าจะเห็นโฉมหน้ารัฐบาลแล้ว และยืนยันว่าการที่นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ปราศรัยก่อนหน้านี้ว่าพรรคจะขอกลับไปดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมไปถึงกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานั้นไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณต่อรองใดๆทั้งสิ้น เกรงจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด
ขณะที่นายชุมพล ได้ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อช่วย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดเพชรบูรณ์ และผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 จังหวัดพิษณุโลก
นายเฉลิม ตันติวิทยาพิทักษ์ รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน ในฐานะผู้ดูแลการสมัครรับเลือกตั้งนครปฐม พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (ชพน.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคและ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ใน จ.นครปฐม ร่วมส่งหนังสือร้องเรียนไปยังกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาจับตาการเลือกตั้งในพื้นที่ จ.นครปฐม เป็นพิเศษ หลังจากที่ผู้สมัครได้ถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรคการเมืองหนึ่งคุกคาม และข่มขู่ หัวคะแนนของผู้สมัคร จนถึงขั้นสั่งห้ามคณะหาเสียงนำรถแห่ประชาสัมพันธ์ไปในพื้นที่ต่างๆ
วันเดียวกันนายกรพจน์ อัศวินวิจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ร่วมกับผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค เปิดตัวคาราวานรถส่งความสุขเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของพรรค
ทั้งนี้ยังเชื่อว่าพรรคจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 20-25 ที่นั่ง จากเดิมที่ตั้งเป้า 15-18 ที่นั่ง
ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย แถลงข่าวว่า โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ร้อนแรงที่สุดที่ 2 พรรคใหญ่จะช่วงชิงอำนาจ จะทำให้สังคมแตกแยก เตือนพรรคประชาธิปัตย์ควรเลิกปราศรัยเผาบ้านเผาเมือง และอย่าดูถูกประชาชน เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาไร้ผลงาน ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีชนักติดหลังเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ควรแบ่งปันและพูดคุยกับอำนาจเก่า จึงมองว่านโยบายของทั้ง 2 พรรคไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่กลับใช้การปราศรัยเป็นเครื่องจักรทางการเมืองให้พวกพ้องของตนได้รับฟัง
