กลุ่มปัญญาชนคงจะตระหนักถึงพฤติกรรมนายกรัฐมนตรีหญิง เงาของทักษิณผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งดำเนินกลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐให้กลับมาเป็นของตน และในที่สุดสามารถใช้เงินซื้ออำนาจรัฐและสร้างหุ่นได้สำเร็จ
ในช่วงเพียง 2 เดือน ระบอบทักษิณใหม่ โดยมีพื้นลัทธิประชานิยมเดิมเป็นธงนำ ที่มีบทเริ่มต้น สร้างนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ กำหนดเงินเดือนเริ่มต้นผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาท บ้านหลังแรก รถคันแรกปลอดภาษีและกำลังตามมาด้วยนโยบายสร้างบ้านเมืองให้เป็นเมืองการพนัน นายกรัฐมนตรีปูแดงเพียงแค่ทำหน้าที่ยิ้มหวานๆ วิ่งไปวิ่งมาเยี่ยมชาวบ้านน้ำท่วม ซึ่งเป็นหน้าที่ที่นายกรัฐมนตรีต้องทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องสร้างบุญสร้างคุณกับชาวบ้าน
ภาวะความเสี่ยงการเป็นรัฐล้มละลายของรัฐบาลนี้มีสูงมาก เพราะไม่คำนึงถึงเงินคงคลังในการบริหารและพัฒนาประเทศ หวังกู้จากธนาคารของรัฐและธนาคารออมสินหากไม่มีเงิน แต่กลับทุ่มซื้อใจประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ไม่รู้ว่าหายนะทางเศรษฐกิจของชาติกำลังมาถึง และหลายล้านคนคงไม่รู้ว่าเมื่อ 2 – 3 วันที่ผ่านมาหุ้นตกอย่างรุนแรง เพราะผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั้งในสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาขณะที่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ของรัฐบอกว่าไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่ใครเล่าที่เป็นคนซื้อสินค้าไทยไม่ใช่คนอเมริกันหรือที่เป็นลูกค้ารายใหญ่
หากวิเคราะห์โครงการเหล่านี้แล้ว เราพบว่าเป็นการซื้อประเทศของทักษิณทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีลัทธิประชานิยมเป็นฐานอำนาจเชิงรัฐจิตวิทยา สามารถสร้างคนกลุ่มใหม่ให้มีศรัทธาได้นับล้านเพราะได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากลัทธินี้
จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องระบอบทักษิณว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือทุนนิยมสามานย์ เพราะนายทุนในระบอบทักษิณเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากยอดการขายรถยนต์ ขายบ้าน เช่น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) ของปูแดงนายกรัฐมนตรี และการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของประชาชนทั่วไป ส่วนแนวคิดในการสร้างบ่อนระดับโลก เป็นการสร้างอุตสาหกรรมอบายมุขที่จะล้างผลาญชาติบ้านเมืองอย่างสมบูรณ์แบบเพราะมีทาสพนันมากขึ้น มีเงินทุนสามานย์หมุนเวียนในระบอบทักษิณมากขึ้น
การโยกย้ายข้าราชการ การกดดันข้าราชการ และการซื้อข้าราชการ ที่เห็นได้ชัดเจนจากกรณีการย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการย้ายแลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งการที่สำนักอัยการสูงสุดไม่อุทธรณ์คดีคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ซุกหุ้น โดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลเชิงนิตินัยเป็นที่ยอมรับ หรือเหตุผลอื่นๆ ที่ประชาชนเข้าใจได้ง่ายๆ จึงควรถูกถอดถอนไปให้หมด
ในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนผู้ที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสีเสื้อและตัวบุคคล ต่างเกิดความหวาดกลัวถึงอนาคตของชาติ มีการสอบถามถึงอนาคตของชาติ และต่างตกอยู่ในภาวะหดหู่ ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ งงงวยไปหมด มีหลายคนพยากรณ์ว่าประเทศไทยภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ จะมีภัยข้าวยากหมากแพง คนว่างงาน และธุรกิจขนาดกลางและย่อมล่มสลายหลายร้อยองค์กร ด้วยเหตุผลว่าน้ำท่วมข้าวเสียหาย แต่มีการขายข้าวล่วงหน้าไปแล้ว ทำให้ข้าวในประเทศขาดแคลน คนว่างงานสูงขึ้น เพราะองค์กรธุรกิจปิดรับสมัครบัณฑิตจบใหม่หรือจบค้างปี รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจไม่สามารถเปิดอัตรารองรับได้หมด ต้นทุนสูงประกอบการสูงขึ้น ผู้ประกอบการต่างยุติธุรกิจไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีโอกาสดีกว่า
นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายก็คงจะคิดเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไปคิด เพราะขณะที่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจต้องการภาษีจากกลุ่มทุนมากขึ้น จนมีวลีที่ออกจากปากประธานาธิบดีโอบามา ว่า “นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างชนชั้น มันเป็นเพียงการคำนวณทางคณิตศาสตร์” โดยที่ประธานาธิบดีโอบามาพยายามลดหนี้ให้ประชาชน แต่ต้องเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้นแต่รัฐบาลไทยคิดตรงข้าม
ในภาวการณ์เช่นนี้ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของทักษิณและแนวร่วมในระบอบทักษิณต้องออกมาพูดดักคอทหารไม่ให้รัฐประหาร โดยเฉพาะแนวร่วมระบอบทักษิณกลุ่มนิติราษฎร์ที่ต่อต้านการรัฐประหาร เพราะบริบทของการบริหารโดยนายกรัฐมนตรีปูแดง ภายใต้การชี้นำของทักษิณนั้น เป็นตัวกระตุ้นทหารที่ไม่อาจทนเห็นชาติบ้านเมืองถูกชำแหละไม่ได้ อาจเป็นเหตุให้ต้องทำรัฐประหาร
ขั้นตอนต่อไปตามแผนของทักษิณเมื่อประชานิยมสัมฤทธิผล สภาผู้แทนราษฎรก็จะดำเนินการเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเพิ่มเติมอำนาจให้กับรัฐบาล แต่ลดอำนาจพระมหากษัตริย์ และที่สำคัญจะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณ โดยใช้อำนาจสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่พึ่งพระราชอำนาจ
การแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น เป็นก้าวสำคัญของกลุ่มอนาธิปไตยและแนวร่วม ในการขจัดกลไกทางกฎหมายที่ใช้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากไม่มีกฎหมายมาตรานี้แล้ว กลุ่มอนาธิปไตยสามารถทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
การที่ทักษิณเร่งลงมือกระทำการหลายกลยุทธ์ในเวลาเดียวกัน ก็เพราะว่าเขากลัวการแตกแยกในหมู่คนเสื้อแดง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลปูแดง ที่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่พวกเขาต้องการอำนาจที่เป็นของตนเองไม่ใช่ถูกสั่งให้ทำและความเสียหายทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่พวกเขาไม่ได้กระทำโดยตรง ทำให้ต้องแปรพักตร์จากทักษิณ
และถ้าทุกอย่างที่ทักษิณปรารถนาลงตัวอย่างฉับพลัน เขาสามารถกลับเข้ามาเมืองไทย และบัญชาการเองแล้ว การเปลี่ยนแปลง การรัฐประหาร และการต่อต้านระบอบทักษิณก็จะกระทำได้ยากยิ่ง ไม่เหมือน 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งให้บทเรียนราคาแพงแก่เขา
นอกจากนี้แล้วทักษิณกลัวว่า หากการบริหารเกินกว่า 6 เดือนของรัฐบาลปูแดงแล้วเกิดปัญหาใหญ่ๆ เช่น ข้าวยากหมากแพง ไม่มีกองทุนซื้อพลังงานให้คนไทยใช้ มีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลมากกว่า พ.ศ. 2547 – 2548 ไม่มีพันธมิตรในกองทัพ เพราะเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 เกษียณอายุราชการจนหมด รุ่นหลังๆ ซื้อตัวลำบากและไม่ภักดี เกิดความวุ่นวายเกินกว่านายกรัฐมนตรีปูแดงจะจัดการได้ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เกิดความมักใหญ่ใฝ่สูง ควบคุมและชี้นำทั้งตัวนายกรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎรเสียเอง
แต่ที่ทักษิณกลัวที่สุด คือ การรัฐประหาร โดยที่มีประชาชนออกมาเรียกร้องและหนุนให้ทหารทำรัฐประหาร รวมทั้งจะเป็นผู้ปกป้องทหารจากการต่อต้านรัฐประหาร และกลไกการควบคุมพลังคนเสื้อแดงถูกทำลาย เพราะมันทำลายตัวมันเอง เนื่องจากแกนนำรู้แจ้งเห็นจริง ว่าพวกเขาถูกหลอกใช้หรือการถูกซื้อด้วยเงินสด ถูกล่อด้วยตำแหน่งในรัฐบาล หรือในรัฐวิสาหกิจ แต่ถูกหลอก ไม่ได้อะไรเลยนอกจากตำแหน่งลอยๆ ที่ต้องดิ้นรนหาหรือสร้างอำนาจเอง
สิ่งเหล่านี้ต้องศึกษาจากประวัติมวลชนที่ถูกจ้างวาน หรือการล่อด้วยรางวัลต่างๆ จากประวัติศาสตร์ มีกรณีคลาสสิกคือกลุ่มเสื้อเชิ้ตน้ำตาลของพรรคนาซีใน ค.ศ.1931 และเฟื่องฟูมาก เป็นกลไกการสร้างอำนาจการเมืองให้ฮิตเลอร์ จนได้ชัยชนะการเลือกตั้งเป็นผู้นำประเทศอย่างท่วมท้น โดยมี เอิร์นส์ รอฮ์ม เป็นหัวหน้าเสื้อเชิ้ตน้ำตาล ต่อมาในปี ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์หมดความไว้วางใจในตัว เอิร์นส์ รอฮ์ม เพราะมีคนให้ร้ายว่าเขาคิดหักหลังและสังหารฮิตเลอร์ ทำให้ฮิตเลอร์สั่งจับกุมเขาและบังคับให้ฆ่าตัวตาย แต่เขาปฏิเสธ จึงถูกหน่วยเพชฌฆาตสังหารอย่างทารุณ
และต่อมาพลพรรคเสื้อเชิ้ตน้ำตาลก็หมดความสำคัญและสลายตัวไปเอง พวกเสื้อเชิ้ตดำเข้ามาแทนที่ โดย ฮิตเลอร์จอมหฤโหดเป็นหัวหน้า และแปรสภาพเป็นหน่วยเอสเอส ที่มีชื่อเสียงในทางหฤโหด และมีหน้าที่หลักในการปกป้องฮิตเลอร์ และส่วนใหญ่พวกเสื้อเชิ้ตดำเป็นพวกที่ถูกคัดเลือกอย่างละเอียด และเชื่อมั่นอุดมการณ์เผด็จการนาซีและฮิตเลอร์ อันเป็นระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้น หนทางของนายกรัฐมนตรีปูแดงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เธอคิด หรืออย่างที่คนหลายคนคิด ภาพที่ทักษิณสร้างให้ผู้นำหญิงคนแรกของประเทศไทยดูหวานๆ และเด็ดเดี่ยว แต่แท้จริงเธอคือเงา หรือหุ่นของพี่ชายที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นกุนซือ และประวัติศาสตร์ชาติไทยได้บันทึกเรียบร้อยแล้วว่า “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยเป็นเพียงหุ่นของทักษิณพี่ชาย” ซึ่งลอกมาจากนิตยสารต่างประเทศวิจารณ์ไว้
ในช่วงเพียง 2 เดือน ระบอบทักษิณใหม่ โดยมีพื้นลัทธิประชานิยมเดิมเป็นธงนำ ที่มีบทเริ่มต้น สร้างนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ กำหนดเงินเดือนเริ่มต้นผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาท บ้านหลังแรก รถคันแรกปลอดภาษีและกำลังตามมาด้วยนโยบายสร้างบ้านเมืองให้เป็นเมืองการพนัน นายกรัฐมนตรีปูแดงเพียงแค่ทำหน้าที่ยิ้มหวานๆ วิ่งไปวิ่งมาเยี่ยมชาวบ้านน้ำท่วม ซึ่งเป็นหน้าที่ที่นายกรัฐมนตรีต้องทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องสร้างบุญสร้างคุณกับชาวบ้าน
ภาวะความเสี่ยงการเป็นรัฐล้มละลายของรัฐบาลนี้มีสูงมาก เพราะไม่คำนึงถึงเงินคงคลังในการบริหารและพัฒนาประเทศ หวังกู้จากธนาคารของรัฐและธนาคารออมสินหากไม่มีเงิน แต่กลับทุ่มซื้อใจประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ไม่รู้ว่าหายนะทางเศรษฐกิจของชาติกำลังมาถึง และหลายล้านคนคงไม่รู้ว่าเมื่อ 2 – 3 วันที่ผ่านมาหุ้นตกอย่างรุนแรง เพราะผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั้งในสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาขณะที่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ของรัฐบอกว่าไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่ใครเล่าที่เป็นคนซื้อสินค้าไทยไม่ใช่คนอเมริกันหรือที่เป็นลูกค้ารายใหญ่
หากวิเคราะห์โครงการเหล่านี้แล้ว เราพบว่าเป็นการซื้อประเทศของทักษิณทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีลัทธิประชานิยมเป็นฐานอำนาจเชิงรัฐจิตวิทยา สามารถสร้างคนกลุ่มใหม่ให้มีศรัทธาได้นับล้านเพราะได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากลัทธินี้
จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องระบอบทักษิณว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือทุนนิยมสามานย์ เพราะนายทุนในระบอบทักษิณเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากยอดการขายรถยนต์ ขายบ้าน เช่น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) ของปูแดงนายกรัฐมนตรี และการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของประชาชนทั่วไป ส่วนแนวคิดในการสร้างบ่อนระดับโลก เป็นการสร้างอุตสาหกรรมอบายมุขที่จะล้างผลาญชาติบ้านเมืองอย่างสมบูรณ์แบบเพราะมีทาสพนันมากขึ้น มีเงินทุนสามานย์หมุนเวียนในระบอบทักษิณมากขึ้น
การโยกย้ายข้าราชการ การกดดันข้าราชการ และการซื้อข้าราชการ ที่เห็นได้ชัดเจนจากกรณีการย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการย้ายแลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งการที่สำนักอัยการสูงสุดไม่อุทธรณ์คดีคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ซุกหุ้น โดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลเชิงนิตินัยเป็นที่ยอมรับ หรือเหตุผลอื่นๆ ที่ประชาชนเข้าใจได้ง่ายๆ จึงควรถูกถอดถอนไปให้หมด
ในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนผู้ที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสีเสื้อและตัวบุคคล ต่างเกิดความหวาดกลัวถึงอนาคตของชาติ มีการสอบถามถึงอนาคตของชาติ และต่างตกอยู่ในภาวะหดหู่ ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ งงงวยไปหมด มีหลายคนพยากรณ์ว่าประเทศไทยภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ จะมีภัยข้าวยากหมากแพง คนว่างงาน และธุรกิจขนาดกลางและย่อมล่มสลายหลายร้อยองค์กร ด้วยเหตุผลว่าน้ำท่วมข้าวเสียหาย แต่มีการขายข้าวล่วงหน้าไปแล้ว ทำให้ข้าวในประเทศขาดแคลน คนว่างงานสูงขึ้น เพราะองค์กรธุรกิจปิดรับสมัครบัณฑิตจบใหม่หรือจบค้างปี รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจไม่สามารถเปิดอัตรารองรับได้หมด ต้นทุนสูงประกอบการสูงขึ้น ผู้ประกอบการต่างยุติธุรกิจไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีโอกาสดีกว่า
นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายก็คงจะคิดเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไปคิด เพราะขณะที่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจต้องการภาษีจากกลุ่มทุนมากขึ้น จนมีวลีที่ออกจากปากประธานาธิบดีโอบามา ว่า “นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างชนชั้น มันเป็นเพียงการคำนวณทางคณิตศาสตร์” โดยที่ประธานาธิบดีโอบามาพยายามลดหนี้ให้ประชาชน แต่ต้องเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้นแต่รัฐบาลไทยคิดตรงข้าม
ในภาวการณ์เช่นนี้ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของทักษิณและแนวร่วมในระบอบทักษิณต้องออกมาพูดดักคอทหารไม่ให้รัฐประหาร โดยเฉพาะแนวร่วมระบอบทักษิณกลุ่มนิติราษฎร์ที่ต่อต้านการรัฐประหาร เพราะบริบทของการบริหารโดยนายกรัฐมนตรีปูแดง ภายใต้การชี้นำของทักษิณนั้น เป็นตัวกระตุ้นทหารที่ไม่อาจทนเห็นชาติบ้านเมืองถูกชำแหละไม่ได้ อาจเป็นเหตุให้ต้องทำรัฐประหาร
ขั้นตอนต่อไปตามแผนของทักษิณเมื่อประชานิยมสัมฤทธิผล สภาผู้แทนราษฎรก็จะดำเนินการเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเพิ่มเติมอำนาจให้กับรัฐบาล แต่ลดอำนาจพระมหากษัตริย์ และที่สำคัญจะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณ โดยใช้อำนาจสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่พึ่งพระราชอำนาจ
การแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น เป็นก้าวสำคัญของกลุ่มอนาธิปไตยและแนวร่วม ในการขจัดกลไกทางกฎหมายที่ใช้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากไม่มีกฎหมายมาตรานี้แล้ว กลุ่มอนาธิปไตยสามารถทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
การที่ทักษิณเร่งลงมือกระทำการหลายกลยุทธ์ในเวลาเดียวกัน ก็เพราะว่าเขากลัวการแตกแยกในหมู่คนเสื้อแดง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลปูแดง ที่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่พวกเขาต้องการอำนาจที่เป็นของตนเองไม่ใช่ถูกสั่งให้ทำและความเสียหายทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่พวกเขาไม่ได้กระทำโดยตรง ทำให้ต้องแปรพักตร์จากทักษิณ
และถ้าทุกอย่างที่ทักษิณปรารถนาลงตัวอย่างฉับพลัน เขาสามารถกลับเข้ามาเมืองไทย และบัญชาการเองแล้ว การเปลี่ยนแปลง การรัฐประหาร และการต่อต้านระบอบทักษิณก็จะกระทำได้ยากยิ่ง ไม่เหมือน 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งให้บทเรียนราคาแพงแก่เขา
นอกจากนี้แล้วทักษิณกลัวว่า หากการบริหารเกินกว่า 6 เดือนของรัฐบาลปูแดงแล้วเกิดปัญหาใหญ่ๆ เช่น ข้าวยากหมากแพง ไม่มีกองทุนซื้อพลังงานให้คนไทยใช้ มีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลมากกว่า พ.ศ. 2547 – 2548 ไม่มีพันธมิตรในกองทัพ เพราะเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 เกษียณอายุราชการจนหมด รุ่นหลังๆ ซื้อตัวลำบากและไม่ภักดี เกิดความวุ่นวายเกินกว่านายกรัฐมนตรีปูแดงจะจัดการได้ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เกิดความมักใหญ่ใฝ่สูง ควบคุมและชี้นำทั้งตัวนายกรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎรเสียเอง
แต่ที่ทักษิณกลัวที่สุด คือ การรัฐประหาร โดยที่มีประชาชนออกมาเรียกร้องและหนุนให้ทหารทำรัฐประหาร รวมทั้งจะเป็นผู้ปกป้องทหารจากการต่อต้านรัฐประหาร และกลไกการควบคุมพลังคนเสื้อแดงถูกทำลาย เพราะมันทำลายตัวมันเอง เนื่องจากแกนนำรู้แจ้งเห็นจริง ว่าพวกเขาถูกหลอกใช้หรือการถูกซื้อด้วยเงินสด ถูกล่อด้วยตำแหน่งในรัฐบาล หรือในรัฐวิสาหกิจ แต่ถูกหลอก ไม่ได้อะไรเลยนอกจากตำแหน่งลอยๆ ที่ต้องดิ้นรนหาหรือสร้างอำนาจเอง
สิ่งเหล่านี้ต้องศึกษาจากประวัติมวลชนที่ถูกจ้างวาน หรือการล่อด้วยรางวัลต่างๆ จากประวัติศาสตร์ มีกรณีคลาสสิกคือกลุ่มเสื้อเชิ้ตน้ำตาลของพรรคนาซีใน ค.ศ.1931 และเฟื่องฟูมาก เป็นกลไกการสร้างอำนาจการเมืองให้ฮิตเลอร์ จนได้ชัยชนะการเลือกตั้งเป็นผู้นำประเทศอย่างท่วมท้น โดยมี เอิร์นส์ รอฮ์ม เป็นหัวหน้าเสื้อเชิ้ตน้ำตาล ต่อมาในปี ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์หมดความไว้วางใจในตัว เอิร์นส์ รอฮ์ม เพราะมีคนให้ร้ายว่าเขาคิดหักหลังและสังหารฮิตเลอร์ ทำให้ฮิตเลอร์สั่งจับกุมเขาและบังคับให้ฆ่าตัวตาย แต่เขาปฏิเสธ จึงถูกหน่วยเพชฌฆาตสังหารอย่างทารุณ
และต่อมาพลพรรคเสื้อเชิ้ตน้ำตาลก็หมดความสำคัญและสลายตัวไปเอง พวกเสื้อเชิ้ตดำเข้ามาแทนที่ โดย ฮิตเลอร์จอมหฤโหดเป็นหัวหน้า และแปรสภาพเป็นหน่วยเอสเอส ที่มีชื่อเสียงในทางหฤโหด และมีหน้าที่หลักในการปกป้องฮิตเลอร์ และส่วนใหญ่พวกเสื้อเชิ้ตดำเป็นพวกที่ถูกคัดเลือกอย่างละเอียด และเชื่อมั่นอุดมการณ์เผด็จการนาซีและฮิตเลอร์ อันเป็นระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้น หนทางของนายกรัฐมนตรีปูแดงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เธอคิด หรืออย่างที่คนหลายคนคิด ภาพที่ทักษิณสร้างให้ผู้นำหญิงคนแรกของประเทศไทยดูหวานๆ และเด็ดเดี่ยว แต่แท้จริงเธอคือเงา หรือหุ่นของพี่ชายที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นกุนซือ และประวัติศาสตร์ชาติไทยได้บันทึกเรียบร้อยแล้วว่า “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยเป็นเพียงหุ่นของทักษิณพี่ชาย” ซึ่งลอกมาจากนิตยสารต่างประเทศวิจารณ์ไว้