กก.ช่วยม็อบแดง สภาสูง เรียก “อภิสิทธิ์” แจงเผาเมือง ส.ว.ชมกล้ามาพูด เจ้าตัวสอนศึกษากระบวนการปลุกม็อบไล่ตนด้วย ยันเป็นรัฐบาลต้องรักษากฎหมาย ชี้ ถ้าไม่มีพวกติดอาวุธแฝง จะไม่มีปัญหาเลย ส.ว.อุตรดิตถ์ จี้ขอโทษ เจ้าตัวอ้างรอผลสอบก่อน ห่วงแกนนำพามวลชนกดดันสิ่งไม่ได้ดั่งใจ ชี้ ต้องเยียวยาและค้นหาความจริง เสนอนายกฯ นำการเมืองสู่สภา ให้ คอป.ทำงานต่อ รับมีคนเลวเอาชีวิตชาวบ้านเล่นการเมือง
วันนี้ (29 ส.ค.) ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มี นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน โดยในวันนี้ที่ประชุมได้เชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าให้ข้อมูลต่อที่ประชุม โดย นายจิตติพจน์ได้สอบถามถึงเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.53 รวมทั้งสาเหตุที่รัฐบาลในสมัยนั้นตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม แต่ นายอภิสิทธิ์ ได้แย้งว่า ข้อถามดังกล่าวเป็นการให้แสดงความคิดเห็น อีกทั้งคณะกรรมการชุดนี้ก็ไม่ได้มีอำนาจคุ้มครองการชี้แจงของตน เพราะไม่ใช่คณะกรรมาธิการที่มีอำนาจคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงเห็นควรให้เป็นการประชุมลับ เพื่อป้องกันการถูกนำถ้อยคำไปใช้ในทางกฎหมาย และหากรูปแบบการประชุมไม่สามารถที่จะรักษาสิทธิ์ตนได้ ก็มีความลังเลที่จะให้ข้อมูล เพราะพูดไปแล้วก็จะมีแต่คนมาหาเรื่องตน
ทำให้ ส.ว.ซึ่งเป็นคณะกรรมการหลายคนแสดงความคิดเห็น โดยได้กล่าวชื่นชมความร่วมมือของนายอภิสิทธิ์ ที่ได้เข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการ และขอให้ นายอภิสิทธิ์ ให้ข้อมูลเฉพาะในส่วนที่สามารถพูดได้ จนในที่สุด นายอภิสิทธิ์ จึงยินดีที่จะให้ข้อมูล โดยกล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อปี 53 นั้น ไม่สามารถพิจารณาว่าเริ่มต้นวันใดระหว่างวันที่ 12 มี.ค.หรือ 10 เม.ย.เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 48 ที่มีมวลชนแม้จะเป็นคนละกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในสมัยนั้น นำไปสู่การยุบสภา การเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ รัฐประหาร การต่อต้านรัฐประหาร การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ มาจนถึงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และมาถึงเหตุการณ์ที่ต่อต้านรัฐบาลในสมัยนั้น มีการเคลื่อนไหวมวลชนฝ่ายตรงข้าม จนมาถึงรัฐบาลที่ตนเป็นนายกฯ ก็ได้มีการใช้เครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นทีวี วิทยุชุมชน เว็บไซต์ต่างๆ ที่ทำให้ชุดข้อมูลและความคิดของคนแต่ละกลุ่ม ทำให้มีความคิดแตกแยกกันมาขึ้น และมีการนำชุดความคิดเหล่านี้มาต่อสู้และเคลื่อไหวของมวลชน ซึ่งในส่วนของกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลตนนั้น มีการใช้เงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้อยู่ในข้อเท็จจริง ทั้งยังมีความพยายามกล่าวหาใส่ร้ายตน โดยการตัดต่อคลิปเสียงที่ใช้จากรายการโทรทัศน์ มาเรียบเรียงอย่างดีเผยแพร่ไปยังกลุ่มมวลชนให้เกิดความรู้สึกโกรธแค้น ไม่พอใจตน ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่คณะกรรมการนี้ควรให้ความสำคัญ เพราะหลายสิ่งเป็นความพยายามเพื่อนำไปสู่เป้าหมายในทางการเมืองของกลุ่มที่เคลื่อนไหว ในขณะที่มวลชนที่มาร่วมไม่ทราบถึงกระบวนการเหล่านี้ เป็นเรื่องของบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือน มี.ค.53 ก็ได้ระดมมวลชนเข้ามา ก่อนขยายไปอีกเวทีที่ราชประสงค์ โดยการชุมนุมดังกล่าวได้ถูกวินิจฉัยของศาลแพ่ง ว่า เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งของศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 เม.ย.53 ดังนั้น การที่คณะกรรมการจะไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ต้องแยกแยะว่าการชุมนุมของประชาชนโดยสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หรือการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่ต้องทำหน้าที่รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะเหตุที่ศาลตัดสินว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น คือ การที่มีการใช้อาวุธ เห็นได้จากเหตุการณืที่เกิดขึ้นคู่ขนาน นับตั้งแต่คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียึดทรัพย์ ที่มีการปาระเบิดหลายสถานที่
“รัฐบาลในขณะนั้นอยู่ในฐานะที่ต้องรักษากติกาของบ้านเมือง โดยระมัดระวังไม่ให้เกิดการสูญเสีย หากไม่มีการดำเนินการเพื่อรักษากฎหมาย ต่อจากนี้ใครก็ตามที่ไม่หวังดีกับบ้านเมือง สามารถนำมวลชนออกมาพร้อมกับกลุ่มติดอาวุธ ทำให้บ้านเมืองไม่สามารถที่จะอยู่ในภายใต้กฎหมายได้” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
ส่วนกรณีผลการศึกษาของหน่วยงานต่างประเทศ คือ กลุ่มวิกฤตระหว่างประเทศ (International Crisis Group : ไอซีจี) ที่ระบุว่าการควบคุมฝูงชนควรใช้กำลัง ไม่ควรใช้ทหารอย่างที่เกิดขึ้นที่ นายจิตติพจน์ สอบถามนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า หากเป็นการควบคุมฝูงชนโดยปกติ และไม่มีบุคคลติดอาวุธแฝงอยู่ในฝูงชน จะไม่มีปัญหาใดๆ โดยสังเกตว่า หากไม่มีการโจมตีออกมาจากฝูงชน การควบคุมทำได้โดยไม่มีปัญหา ยกตัวอย่างในประเทศอังกฤษ ที่มีการจลาจลเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งที่ฝูงชนไม่ได้อาวุธ แต่ก็ต้องมีการตัดสินใจว่าจะนำทหารออกมาทำหน้าที่หรือไม่ แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์ก็สงบลงก่อน จึงขอยืนยันว่า หากไม่มีกลุ่มคนที่แฝงตัวอยู่แล้วมีอาวุธ จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลย
ขณะที่ นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ได้สอบถาม นายอภิสิทธิ์ ถึงการแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ ระบุว่า เสียใจ แต่ไม่เคยกล่าวคำขอโทษ รวมทั้งข้อแนะนำแก่รัฐบาลปัจจุบัน นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า คำว่าเสียใจนั้นคงไม่ต้องอธิบาย เพราะเป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย ส่วนคำว่าขอโทษนั้น อยากใช้ในเวลาที่เหมาะสม เมื่อเราได้ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ทั้งหมดมาสรุป เมื่อสรุปแล้วจะตัดสินใจได้ แต่เมื่อยังไม่ชัดเจนหากนำมาใช้ก็อาจจะเกิดคำถามหลายอย่างตามมา โดยตนไม่ได้กังวลที่จะพูดคำว่าขอโทษ หากผลสอบออกมาแล้วจำเป็นที่จะพูด ตนก็พร้อม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหานั้นยังคงต้องมีการเยียวยาผู้เสียหายต่อไป ทั้งในส่วนเรื่องตัวเลขเงินชดเชยที่ต้องพิจารณากันต่อไป และคิดว่าคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ต้องมีข้อเสนอออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะบางครั้งการช่วยเหลือจากหน่วยงานบางหน่วยขาดช่วง เนื่องจากมีข้อมูลไม่ตรงกัน กระบวนการตรงนี้มีความสำคัญมากกว่าจะมาพูดว่าใครจะได้เท่าไร ซึ่งคนที่ทำง่ายที่สุดคือ ข้อเสนอมาจากคนกลาง หากเป็นข้อเสนอออกมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ย่อมถูกโจมตี อย่างไรก็ตามการเดินไปข้างหน้าแล้วบอกว่าไม่เกี่ยวอดีต นอกจากเป็นไปไม่ได้ ยังไม่สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาที่แท้จริง สิ่งที่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตติดใจว่าอะไรเกิดขึ้น ก็อยู่ที่การค้นหาความจริง ตนพยายามนำคนที่ไม่มีส่วนได้เสียเข้ามาดำเนินการ โดยตั้ง คอป.ตอนแรกมีชื่อ นายคณิต ณ นคร มาเป็นประธาน ก็ไม่ค่อยให้ความไว้วางใจ จนเมื่อแสดงจุดยืนเรื่องการประกันตัวต่างๆ ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น เราจึงต้องให้หน่วยงานเหล่านี้ทำงานต่อไป ใครถูกใครผิดว่ากันไป แต่ที่ห่วงคือเวลาที่มีอะไรออกมาไม่ตรงกับที่แกนนำต้องการ ก็จะมีกระบวนการกดดันขึ้นมา ดังนั้นเราต้องไม่ตั้งธง และต้องหาคำตอบ หากตรงไหนไม่สามารถหาคำตอบได้ ก็ต้องอธิบายให้ได้
“สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ การเยียวยาและการค้นหาความจริง ที่ต้องเดินไปด้วยกัน ซึ่งจำเป็นมากในกระบวนการสร้างความปรองดอง ส่วนข้อแนะนำถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็คือ ขอให้นำการเมืองกลับมาอยู่ที่สภาฯ รับใช้แก้ไขปัญหาของประชาชน ส่วนเรื่องใครผิดถูกอย่างไร ขอให้กระบวนการยุติธรรม และหน่วยงานอิสระทำหน้าที่ แล้วค่อยๆ ให้การเมืองกลับเข้าสู่ภาวะที่ควรเป็น หากไม่ยอมแยกแยะก็จะเกิดปัญหา เพราะมีคนในโลกนี้ที่เลวพอที่เอาชีวิตคนมาเล่นเป็นเกมการเมือง เราต้องตัดวงจรนี้ให้ได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าวในที่สุด