วานนี้(28 ก.ย) พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว ว่า ขณะนี้ได้รับเบาะแสว่าโรงสีบางแห่งเริ่มมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เบื้องต้นมีเพียงจุดเดียว จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อเฝ้าระวังติดตามการรับจำนำข้าว โดยมีนายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว
พร้อมกันนี้ ยังได้ตั้งชุดเฉพาะกิจจำนวน 15 ชุด เพื่อร่วมตรวจสอบทุกขั้นตอนทั้งก่อน หลังและระหว่างการรับจำนำ และจะทำการตรวจสอบ 3 เป้าหมายสำคัญคือ เกษตรกร โรงสี และโกดังกลาง นอกจากนี้ ดีเอสไอมีแนวคิดในการเผยแพร่ข้อสังเกตเกี่ยวกับความผิดปกติในกระบวนการรับจำนำข้าวกับเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อให้ผู้พบเห็นช่วยกันเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสเมื่อพบความผิดปกติ สำหรับโครงการแรกจะเริ่มรับจำนำตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.-29 ก.พ. 2555
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงโครงการรับจำนำ ว่า จากข้อมูลการแทรกแซงตลาดข้าว เพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งเป็นงานศึกษาวิจัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สะท้อนให้เห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวมีปัญหาขาดทุนจำนวนมาก เนื่องจากรัฐกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด แต่ประมูลขายในราคาต่ำกว่าราคาส่งออกในตลาด และการที่รัฐจ่ายค่าจ้างสีแปรสภาพและค่าเช่าโกดังให้ผู้ประกอบการในอัตราสูงกว่าอัตราตลาด เป็นข้อมูลที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม ทราบว่า ป.ป.ช.ได้เสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาลตั้งแต่ชุดที่แล้ว ส่วนรัฐบาลนี้จะดำเนินการตามข้อเสนอหรือไม่ เป็นดุลพินิจของรัฐบาล
น.ส.มัลลิกากล่าวว่า สำหรับข้อมูลสรุปประเมินความเสียหายของโครงการจำนำ มีดังนี้ 1.สูญงบประมาณกว่า 2.5 แสนล้าน กับโครงการรับจำนำข้าว 2.รัฐบาลมีต้นทุนต้องชดเชยขาดทุนราวตันละ 8,000-8,500 บาท 3.เงินส่วนต่าง 3,000-3,500 บาท ที่เกิดขึ้นแน่นอนแล้วไปที่ไหน 4.ไปหาเสียงจะรับจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาท ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 1 หมื่นบาท จะจูงใจให้ชาวนาทั้งประเทศแห่ร่วมโครงการ แต่รัฐแบกรับผลผลิตทั้งหมดประมาณ 30 ล้านตัน พอมีข้าวจำนวนมากจะทำให้เกิดปัญหาระบายข้าวไปยังต่างประเทศล่าช้า เพราะต้องผ่านขั้นตอนการรวบรวม และตรวจสอบร่วม 3-4 เดือน 5.โอกาสด้านตลาดข้าว ด้านการทำราคาลดลง เพราะถึงเวลาต้องรีบระบายและถูกกดราคา 6.ข้าวชาวนามีความชื้น 30-40 เปอร์เซ็นต์ แต่โครงการจำนำมีเงื่อนไขคือความชื้นต้องไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ แม้ไม่มีภัยเรื่องฝนฟ้า ข้าวชาวนาปกติก็ความชื้นเกินที่กำหนดอยู่แล้ว จึงมีช่องว่างทุกระยะทางของชาวนา ที่จะมีคนมาหาประโยชน์
"นับตั้งแต่ที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายรับจำนำข้าว เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ราคาข้าวเปลือกขยับขึ้นแล้วถึงตันละ 3,000-3,500 บาท จากเดิมช่วงโครงการประกันรายได้เฉลี่ยตันละ 8,000-8,500 บาท เพิ่มเป็น 11,000-12,000 บาท ขณะที่ข้าวสารขึ้นเช่นกันตันละ 4,500-5,000 บาท ส่วนราคาข้าวส่งออกไปต่างประเทศ ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มจากตันละ 480-500 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 600-630 ดอลลาร์สหรัฐ จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ชี้แจงมาตรการรองรับที่เตรียมไว้ หากไม่มีมาตรการรองรับใดๆ ก็ขอให้เร่งมือเพราะประชาชนกำลังต้องรับกรรมจากความดันทุรังของรัฐบาล" น.ส.มัลลิกากล่าว
พร้อมกันนี้ ยังได้ตั้งชุดเฉพาะกิจจำนวน 15 ชุด เพื่อร่วมตรวจสอบทุกขั้นตอนทั้งก่อน หลังและระหว่างการรับจำนำ และจะทำการตรวจสอบ 3 เป้าหมายสำคัญคือ เกษตรกร โรงสี และโกดังกลาง นอกจากนี้ ดีเอสไอมีแนวคิดในการเผยแพร่ข้อสังเกตเกี่ยวกับความผิดปกติในกระบวนการรับจำนำข้าวกับเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อให้ผู้พบเห็นช่วยกันเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสเมื่อพบความผิดปกติ สำหรับโครงการแรกจะเริ่มรับจำนำตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.-29 ก.พ. 2555
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงโครงการรับจำนำ ว่า จากข้อมูลการแทรกแซงตลาดข้าว เพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งเป็นงานศึกษาวิจัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สะท้อนให้เห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวมีปัญหาขาดทุนจำนวนมาก เนื่องจากรัฐกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด แต่ประมูลขายในราคาต่ำกว่าราคาส่งออกในตลาด และการที่รัฐจ่ายค่าจ้างสีแปรสภาพและค่าเช่าโกดังให้ผู้ประกอบการในอัตราสูงกว่าอัตราตลาด เป็นข้อมูลที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม ทราบว่า ป.ป.ช.ได้เสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาลตั้งแต่ชุดที่แล้ว ส่วนรัฐบาลนี้จะดำเนินการตามข้อเสนอหรือไม่ เป็นดุลพินิจของรัฐบาล
น.ส.มัลลิกากล่าวว่า สำหรับข้อมูลสรุปประเมินความเสียหายของโครงการจำนำ มีดังนี้ 1.สูญงบประมาณกว่า 2.5 แสนล้าน กับโครงการรับจำนำข้าว 2.รัฐบาลมีต้นทุนต้องชดเชยขาดทุนราวตันละ 8,000-8,500 บาท 3.เงินส่วนต่าง 3,000-3,500 บาท ที่เกิดขึ้นแน่นอนแล้วไปที่ไหน 4.ไปหาเสียงจะรับจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาท ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 1 หมื่นบาท จะจูงใจให้ชาวนาทั้งประเทศแห่ร่วมโครงการ แต่รัฐแบกรับผลผลิตทั้งหมดประมาณ 30 ล้านตัน พอมีข้าวจำนวนมากจะทำให้เกิดปัญหาระบายข้าวไปยังต่างประเทศล่าช้า เพราะต้องผ่านขั้นตอนการรวบรวม และตรวจสอบร่วม 3-4 เดือน 5.โอกาสด้านตลาดข้าว ด้านการทำราคาลดลง เพราะถึงเวลาต้องรีบระบายและถูกกดราคา 6.ข้าวชาวนามีความชื้น 30-40 เปอร์เซ็นต์ แต่โครงการจำนำมีเงื่อนไขคือความชื้นต้องไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ แม้ไม่มีภัยเรื่องฝนฟ้า ข้าวชาวนาปกติก็ความชื้นเกินที่กำหนดอยู่แล้ว จึงมีช่องว่างทุกระยะทางของชาวนา ที่จะมีคนมาหาประโยชน์
"นับตั้งแต่ที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายรับจำนำข้าว เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ราคาข้าวเปลือกขยับขึ้นแล้วถึงตันละ 3,000-3,500 บาท จากเดิมช่วงโครงการประกันรายได้เฉลี่ยตันละ 8,000-8,500 บาท เพิ่มเป็น 11,000-12,000 บาท ขณะที่ข้าวสารขึ้นเช่นกันตันละ 4,500-5,000 บาท ส่วนราคาข้าวส่งออกไปต่างประเทศ ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มจากตันละ 480-500 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 600-630 ดอลลาร์สหรัฐ จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ชี้แจงมาตรการรองรับที่เตรียมไว้ หากไม่มีมาตรการรองรับใดๆ ก็ขอให้เร่งมือเพราะประชาชนกำลังต้องรับกรรมจากความดันทุรังของรัฐบาล" น.ส.มัลลิกากล่าว
