วานนี้ (23 ASTVผู้จัดการรายวัน - แฉบ้านหลังแรก เอสซีได้พันกว่ายูนิต “ปชป.” ชี้ลูกค้าเข้าร่วมโครงการต้องมีรายได้ 5 หมื่นขึ้น “มาร์ค” แนะเปิดเว็บเอสซีจะพบข้อเท็จจริง แต่ล่าสุดนกรู้ถอดข้อความ "นโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล" ออกแล้ว ส่วน “นายกฯปู” บอกไม่รู้เอสซีได้ด้วย เปิดใจ! ครอบครัวแรงผลักนั่งนายกฯ
ก.ย.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส. กทม. ในฐานะโฆษกครม.เงาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการตรวจสอบโครงการคืนภาษีบ้านหลังแรก ที่พบข้อพิรุธว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ “บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ธุรกิจครอบครัวนายกรัฐมนตรี หรือไม่ว่า นโยบายลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรกของรัฐบาล เป็นนโยบายที่แหกตาประชาชน เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์จริงไม่ใช่คนจน เพราะคนที่ได้เงินเดือนต่ำกว่า 3 หมื่นบาทจะไม่ได้ประโยชน์แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆคือคนที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป
จากการศึกษาฐานการจ่ายภาษีของบุคคล ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทจะมีค่าใช้จ่ายที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีจนเต็มเพดาน ตัวอย่างเช่น หักค่าใช้จ่าย 40% แต่ไม่เกินไม่เกิน 6 หมื่นบาท ลดหย่อนผู้มีเงินได้ 3 หมื่นบาท ลดหย่อนบุตร 1.5 หมื่นบาท ลดหย่อนเลี้ยงดูบิดามารดา 6 หมื่นบาท ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต และหน่วยลงทุนต่างๆ 3.4 หมื่นบาท เงินสมทบประกันสังคม 9 พันบาท เงินบริจาค 3 พันบาท รวมหักค่าใช้จ่ายและเงินลดหย่อนเป็นเงิน 211,000 บาท เมื่อนำมาหักจากเงินเดือน 3 หมื่นบาท จะเหลือเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน 149,000 บาท ซึ่งถือว่ามีเงินได้ต่ำกว่า 150,000 แสนบาทไม่เข้าข่ายมีเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่มีรายได้ 3 หมื่นบาทจึงไม่เข้าเกณฑ์
**รายได้ 5 หมื่นขึ้นไปถึงจะได้
นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ขณะที่ผู้ที่มีรายได้เดือนละ 50,000 บาทขึ้นไปจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ได้โดยหลังจากหักค่าใช้จ่ายรวมกับค่าลดหย่อนรวมเงิน 1 แสนบาทแล้ว ยังสามารถนำมาลดหย่อนจากโครงการบ้านหลังแรกอีก 1แสนบาทจะเหลือเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน จำนวน 371,500 บาท และหากนำมาหักกับฐานเงินได้ที่ไม่ต้องจ่ายภาษี 150,000 บาท เหลือเงินที่จะต้องมาคำนวณในการจ่ายภาษีเพียงประมาณ 75,000 บาท ซึ่งจะต้องเสียภาษี 10 % ของวงเงินดังกล่าว คือประมาณ 7,500 บาท เท่านั้น ทั้งนี้ในการแถลงข่าวเรื่องนี้นายอรรถวิชช์ได้นำสไสลด์มาแสดงประกอบการแถลงข่าวด้วย
นอกจากนี้การที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่าโครงการบ้านของบริษัทเอสซีแอสเสทฯ ราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ความจริงบริษัทนี้มีโครงการทำบ้านทาวน์โฮม ชื่อ "วิสต้า วันเอทโอ 180" รวม 116 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมอีกสามโครงการ คือ เซ็นทริค ซีน 696 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท โครงการ เซ็นทริค 270 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 2.9 - 5.5 ล้านบาท และ โครงการเดอะเครสท์ จำนวน 163 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท รวม 1 พันกว่ายูนิต ถือเป็นโครงการที่เข้าร่วมกับโครงการบ้านหลังแรกได้
** แฉเอสซีฯได้ประโยชน์กว่าพันยูนิต
"ข้อมูลทั้งหมดผมนำมาจากรายงานประจำปี 2553 ของบริษัทเอสซีแอสเสทฯ ที่ช่วงนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์?เป็นประธานกรรมการบริหารและเป็นผู้ยื่นเอกสารนี้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) และ แจกให้กับผู้ถือหุ้นด้วย คนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทเอสซีแอสเสทฯ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยเป็นประธานกรรมการบริหาร จึงได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากการขึ้นวงเงิน 3 ล้านบาทเป็น 5 ล้านบาท นี่คือสิ่งที่ผมทวงไปยังท่านว่าอย่าให้ผลประโยชน์กัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นในรัฐบาลในอดีตนาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเพาะเชื้อและเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลมีเวลาปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้เป็นประโยชน์กับประชาชนได้ และการกระทำของผมไม่ใช่การจับโกหกแต่เป็นการยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ตอบโจทย์คนจน " นายอรรถวิชช์
นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ยอมรับว่า โครงการนี้ก็ได้ประโยชน์กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เช่นกัน แต่อย่าลืมว่าผลประกอบการของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ในปีที่แล้วมีกำไรพุ่ง ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่ารัฐบาลจะไปช่วยอีกทำไม
**"มาร์ค"แนะเปิดเว็บเอสซีฯดูข้อเท็จจริง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฐานะผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า ในช่วงหาเสียงทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นการช่วยคนด้อยโอกาสที่ไม่สามารถซื้อบ้านหลังแรกได้ พอมาตรการออกมาก็เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ และมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆไปในลักษระมาตรการที่เขาจะใช้กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปัจจุบันไม่ได้มีความจำเป็น จึงไม่ทราบว่าจะชี้แจงถึงความจำเป็นและเบี่บงเบนจากการช่วยปราชนคนยากจนได้อย่างไร
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยออกมายืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ก็ไปดูที่เว็ปไซด์โฆษณาของบริษัทนี้ได้ที่มีการระบุว่า เตรียมพร้อมรับโครงการนี้เต็มที่แม้น.ส.ยิ่งลักษณ์จะชี้แจงว่าโครงนี้ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอสซีแอสเสทฯเพราะราคาบ้านสูงกว่ารัฐบาลกำหนด แต่ราคาคอนโดมิเนี่ยมของบริษัทมีการโฆษณาไว้ชัดเจน ซึ่งจัดเจนอยู่แล้วว่ามีบางบริษัทได้ประโยชน์จากการแก้ไขตัวเลขจากราคา3ล้านบาท เป็น5ล้านบาท แนวโน้มที่มีรายได้ที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ลดน้อยลงมาก ตอนแรกพรรคเพื่อไทยโฆษณาอยากจะช่วยคนมีรายได้น้อย หรือเพื่อช่วยคนซื้อ แต่กลายเป็นออกนโยบายมาเพื่อช่วยคนขาย ที่มีราคาสูงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนยากจนได้ ดังนั้นประชาชนต้องเป็นผู้ตัดสินว่าที่สุดแล้วพรรคการเมืองที่หาเสียงได้ทำตามที่สัญญาไว้หรือไม่
“ทำไมไม่พูดว่ามีคอนโดมิเนียมด้วย และลองไปดูเว็บไซต์ของบริษัทเอสซีฯได้เลย เพราะนอกจากจะมีโครงการบอกแล้ว ยังบอกเลยว่าเตรียมรับโครงการเต็มที่ เรื่องนี้ชัดเจนว่ามีบริษัทได้ประโยชน์จากการเพิ่มวงเงิน จาก 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท และคนรายได้น้อยจะได้ประโยชน์น้อยลงมาก”นำฝ่ายค้านกล่าว
**เวบถอดข้อความบ้านหลังแรก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบเว็ปไซด์โฆษณา http://www.scasset.com/th/condo.asp โดยเฉพาะในเซกชั่น อาคารชุดพักอาศัย “คอนโดมีเนียม” ที่นายอภิสิทธิ์ออกมาเปิดเผยว่า เตรียมพร้อมรับโครงการนี้เต็มที่ แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะชี้แจงว่าโครงนี้ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอสซีแอสเสทฯเพราะราคาบ้านสูงกว่ารัฐบาลกำหนด โดยล่าสุดในเวบดังกล่าวมีการตัด ข้อความที่ระบุว่าเตรียมเข้า "นโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล" ออกไปแล้ว
**ระวังเหมือนบางกอกบลูเลอวาร์ด
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ในฐานะรมช.มหาดไทยเงา พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม ปี 2547 ยุครัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เทียบเคียงกรณีนโยบายบ้านรักแรกที่บริษัท เอสซีแอสเสท ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เคยเป็นผู้บริหาร ซึ่งได้มีการทำโครงการบางกอกบูเลอวาร์ด ของบริษัทเอสซี แอสเสท โดยได้รับประโยชน์จากการตัดถนนรามอินทรา-วงแหวน-นวมินทร์ ผ่านหน้าโครงการดังกล่าว ซึ่งในขณะนั้นตนได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุริยะว่า มีการใช้อำนาจในฐานะเป็นรัฐมนตรีในการตัดถนนเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เอสซีแอสเสทของตระกูลชินวัตร โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย และได้มาเกิดซ้ำอีกครั้งในยุคของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะบริษัทที่ได้ประโยชน์ก็คือบริษัทเอสซี แอสเสทเจ้าเดิม
ตนเห็นว่ารัฐบาลควรจะต้องระมัดระวังการกำหนดนโยบายที่จะถูกตั้งคำถามจากสังคม เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบริษัทเอสซี แอสเสทได้ประโยชน์จริงจากการขยับเพดานนโยบายบ้านหลังแรกจากราคา 3 ล้านบาทเป็น 5 ล้านบาท และจะอ้างว่าบริษัทอื่นได้ประโยชน์ด้วยก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทของคนตระกูลชินวัตรที่นายกฯ เคยเป็นผู้บริหารก็ได้รับปรัโยชน์ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้จะกระทบต่อความรู้สึกของปประชาชนที่ให้ความไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์มาบริหารช่วยเหลือคนจนแต่กลับมาออกนโยบายที่นอกจากคนจนจะไม่ได้ประโยชน์แล้วยังเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตัวเองด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปี 2547 ในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านได้ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 8 รัฐมนตรี และ 1 ในนั้นคือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะรมว.คมนาคม ในข้อกล่าวหา เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ออกนโยบาย เอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัว และพวกพ้อง กรณีถนนสายรัชดา-รามอินทรา ที่เป็นโครงการตัดผ่านหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ดของบริษัทเอสซี แอสเสท ธุรกิจของครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งฝ่ายค้านในขณะนั้นได้มีการอภิปรายกล่าววาหาว่า การก่อสร้างถนนสายรัชดา-รามอินทรา ผิดปกติ เพราะถนนสายนี้มี 3 ส่วนคือ ต้น กลาง และปลาย แต่ที่แปลกคือไม่มีการดำเนินการก่อสร้างถนนช่วงต้นสายและปลายสายก่อน แต่กลับไปทำถนนส่วนตรงกลางก่อน ซึ่งถนนส่วนกลางที่มีการก่อสร้างก่อนนั้น เพราะมีหมู่บ้านชื่อบางกอกบูเลอวาร์ดของบริษัทเอสซี แอสเสท บ้านจัดสรร 222 แปลง มูลค่ากว่า 2,450 ล้านบาทอยู่
** “ปู”ปัดไม่รู้เรื่องฯ ลาออกนานแล้ว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีบริษัทเอสซี แอสเสทขึ้นโฆษณาผ่านเวปไซด์เข้าร่วมโครงการคืนภาษีบ้านหลังแรกของรัฐบาลว่า ในส่วนของบริษัทเอสซี แอสเสท ฯ ตนเองคงไม่ทราบ เพราะได้ลาออกแล้ว เข้าใจว่าน่าจะเป็นแคมเปญของเขาในการขานรับนโยบาย แต่คงต้องไปดูในข้อเท็จจริงว่าบ้านเอสซี แอสเสทฯนั้นมีบ้านที่ราคาต่ำกว่า 5 ล้านอยู่เท่าไร แต่เท่าที่ตนเองทราบมาส่วนใหญ่จะไม่มี หรือมีก็ไม่เยอะ ซึ่งตรงนี้ขอให้ทางเอสซี แอทเสทฯชี้แจงดีมั้ยค่ะ?
**บอกครอบครัวแรงผลักนั่งนายกฯ
วันเดียวกัน เวลา 15.00 น.ที่สยามสมาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “เพราะฉันคือเด็กผู้หญิง” (Because I am a girl) ที่สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ และกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า พร้อมสนับสนุนสิทธิเด็กหญิง และสตรีร่วมกับองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนลนี้ด้วย โดยที่ผู้ชายต้องคำนึงถึงความสำคัญ ต้องมีการส่งเสริมการศึกษาและสิ่งสำคัญต้องเริ่มจากครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง ทั้งเพศชาย-หญิง ซึ่งต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพราะทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันตามกฎหมาย
“ที่ดิฉันมายืนตรงนี้ (นายกรัฐมนตรี)ได้เพราะการสนับสนุนของ พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย พี่สาว และขอขอบคุณประเทศไทยและคนไทยให้โอกาสตัวเองมายืนตรงนี้ ที่จะทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติ”
**คลังชง ครม.ให้ธอส.ปล่อยกู้ ดบ.0%
นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สั่งการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส.พิจารณาเตรียมออกโครงการเงินกู้ซื้อบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลา 2-3 ปี โดยมีเงื่อนไขเพื่อซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1-2 ล้านบาท และไม่จำกัดว่า จะต้องเป็นบ้านใหม่เท่านั้น คาดจะมีวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาวันที่ 27 กันยายนนี้
น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า เหตุผลในการขยายวงเงินจาก 3 ล้านเป็น 5 ล้านบาทนั้น เนื่องจากศูนย์วิจัยข้อมูลของธนาคารกสิกรไทยพบว่าราคาที่ดินขยายตัว 20 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ราคาบ้านและคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีราคาสูงขึ้น จึงมีการขยายวงเงินเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่เป็นพนักงานออฟฟิต หรือลูกจ้างสำนักงานเข้าถึงโครงการดังกล่าว และเห็นว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ดีกว่าที่จะเช่าบ้านอยู่เอง
“รัฐบาลไม่ได้ผูกขาดการซื้อขายกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เปิดเสรีให้เข้าถึงทุกฝ่าย ทั้ง แอลพีเอ็น แลนด์เฮ้าส์ เป็นต้น”น.ส.อนุตตมา
น.ส.อนุตตมา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีการหารือกันระหว่างกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทบทวนรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติให้ชัดเจน อาจมีการการขยายสิทธิทางภาษีเพิ่มขึ้น และสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงให้มากขึ้น ทั้งนี้จะนำรายละเอียดเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 27 ก.ย.นี้ ซึ่งจะมีการกำหนดมาตรการ 0 เปอร์เซ็นต์ 3 ปีหรือไม่ หรือมาตรการเสริมช่วยประชาชนทุกกลุ่มที่โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย หรือขยายวงเงินเป็น 5 ล้าน หรือจะขยายเป็น 10 ล้าน
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ อาจจะไม่เพอร์เฟ็ค ที่จะสามารถช่วยได้ทุกกลุ่ม หรือส่งผลดี 100 เปอร์เซ็นต์กับคนทุกกลุ่มแต่จะมีมาตรการเสริมอื่นๆ มาช่วยเหลือ”น.ส.อนุตตมากล่าวและว่าทุกมาตรการอาจไม่ครอบคลุม แต่จะมีการขยายเพิ่มขึ้น เพื่อปิดช่องว่าง และหลักเกณฑ์ต่างๆ คงจะชัดเจนหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งรายละเอียดที่จะเข้าคณะรัฐมนตรีคงเปิดเผยไม่ได้.
ก.ย.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส. กทม. ในฐานะโฆษกครม.เงาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการตรวจสอบโครงการคืนภาษีบ้านหลังแรก ที่พบข้อพิรุธว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ “บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ธุรกิจครอบครัวนายกรัฐมนตรี หรือไม่ว่า นโยบายลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรกของรัฐบาล เป็นนโยบายที่แหกตาประชาชน เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์จริงไม่ใช่คนจน เพราะคนที่ได้เงินเดือนต่ำกว่า 3 หมื่นบาทจะไม่ได้ประโยชน์แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆคือคนที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป
จากการศึกษาฐานการจ่ายภาษีของบุคคล ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทจะมีค่าใช้จ่ายที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีจนเต็มเพดาน ตัวอย่างเช่น หักค่าใช้จ่าย 40% แต่ไม่เกินไม่เกิน 6 หมื่นบาท ลดหย่อนผู้มีเงินได้ 3 หมื่นบาท ลดหย่อนบุตร 1.5 หมื่นบาท ลดหย่อนเลี้ยงดูบิดามารดา 6 หมื่นบาท ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต และหน่วยลงทุนต่างๆ 3.4 หมื่นบาท เงินสมทบประกันสังคม 9 พันบาท เงินบริจาค 3 พันบาท รวมหักค่าใช้จ่ายและเงินลดหย่อนเป็นเงิน 211,000 บาท เมื่อนำมาหักจากเงินเดือน 3 หมื่นบาท จะเหลือเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน 149,000 บาท ซึ่งถือว่ามีเงินได้ต่ำกว่า 150,000 แสนบาทไม่เข้าข่ายมีเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่มีรายได้ 3 หมื่นบาทจึงไม่เข้าเกณฑ์
**รายได้ 5 หมื่นขึ้นไปถึงจะได้
นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ขณะที่ผู้ที่มีรายได้เดือนละ 50,000 บาทขึ้นไปจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ได้โดยหลังจากหักค่าใช้จ่ายรวมกับค่าลดหย่อนรวมเงิน 1 แสนบาทแล้ว ยังสามารถนำมาลดหย่อนจากโครงการบ้านหลังแรกอีก 1แสนบาทจะเหลือเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน จำนวน 371,500 บาท และหากนำมาหักกับฐานเงินได้ที่ไม่ต้องจ่ายภาษี 150,000 บาท เหลือเงินที่จะต้องมาคำนวณในการจ่ายภาษีเพียงประมาณ 75,000 บาท ซึ่งจะต้องเสียภาษี 10 % ของวงเงินดังกล่าว คือประมาณ 7,500 บาท เท่านั้น ทั้งนี้ในการแถลงข่าวเรื่องนี้นายอรรถวิชช์ได้นำสไสลด์มาแสดงประกอบการแถลงข่าวด้วย
นอกจากนี้การที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่าโครงการบ้านของบริษัทเอสซีแอสเสทฯ ราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ความจริงบริษัทนี้มีโครงการทำบ้านทาวน์โฮม ชื่อ "วิสต้า วันเอทโอ 180" รวม 116 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมอีกสามโครงการ คือ เซ็นทริค ซีน 696 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท โครงการ เซ็นทริค 270 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 2.9 - 5.5 ล้านบาท และ โครงการเดอะเครสท์ จำนวน 163 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท รวม 1 พันกว่ายูนิต ถือเป็นโครงการที่เข้าร่วมกับโครงการบ้านหลังแรกได้
** แฉเอสซีฯได้ประโยชน์กว่าพันยูนิต
"ข้อมูลทั้งหมดผมนำมาจากรายงานประจำปี 2553 ของบริษัทเอสซีแอสเสทฯ ที่ช่วงนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์?เป็นประธานกรรมการบริหารและเป็นผู้ยื่นเอกสารนี้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) และ แจกให้กับผู้ถือหุ้นด้วย คนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทเอสซีแอสเสทฯ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยเป็นประธานกรรมการบริหาร จึงได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากการขึ้นวงเงิน 3 ล้านบาทเป็น 5 ล้านบาท นี่คือสิ่งที่ผมทวงไปยังท่านว่าอย่าให้ผลประโยชน์กัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นในรัฐบาลในอดีตนาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเพาะเชื้อและเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลมีเวลาปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้เป็นประโยชน์กับประชาชนได้ และการกระทำของผมไม่ใช่การจับโกหกแต่เป็นการยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ตอบโจทย์คนจน " นายอรรถวิชช์
นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ยอมรับว่า โครงการนี้ก็ได้ประโยชน์กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เช่นกัน แต่อย่าลืมว่าผลประกอบการของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ในปีที่แล้วมีกำไรพุ่ง ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่ารัฐบาลจะไปช่วยอีกทำไม
**"มาร์ค"แนะเปิดเว็บเอสซีฯดูข้อเท็จจริง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฐานะผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า ในช่วงหาเสียงทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นการช่วยคนด้อยโอกาสที่ไม่สามารถซื้อบ้านหลังแรกได้ พอมาตรการออกมาก็เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ และมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆไปในลักษระมาตรการที่เขาจะใช้กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปัจจุบันไม่ได้มีความจำเป็น จึงไม่ทราบว่าจะชี้แจงถึงความจำเป็นและเบี่บงเบนจากการช่วยปราชนคนยากจนได้อย่างไร
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยออกมายืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ก็ไปดูที่เว็ปไซด์โฆษณาของบริษัทนี้ได้ที่มีการระบุว่า เตรียมพร้อมรับโครงการนี้เต็มที่แม้น.ส.ยิ่งลักษณ์จะชี้แจงว่าโครงนี้ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอสซีแอสเสทฯเพราะราคาบ้านสูงกว่ารัฐบาลกำหนด แต่ราคาคอนโดมิเนี่ยมของบริษัทมีการโฆษณาไว้ชัดเจน ซึ่งจัดเจนอยู่แล้วว่ามีบางบริษัทได้ประโยชน์จากการแก้ไขตัวเลขจากราคา3ล้านบาท เป็น5ล้านบาท แนวโน้มที่มีรายได้ที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ลดน้อยลงมาก ตอนแรกพรรคเพื่อไทยโฆษณาอยากจะช่วยคนมีรายได้น้อย หรือเพื่อช่วยคนซื้อ แต่กลายเป็นออกนโยบายมาเพื่อช่วยคนขาย ที่มีราคาสูงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนยากจนได้ ดังนั้นประชาชนต้องเป็นผู้ตัดสินว่าที่สุดแล้วพรรคการเมืองที่หาเสียงได้ทำตามที่สัญญาไว้หรือไม่
“ทำไมไม่พูดว่ามีคอนโดมิเนียมด้วย และลองไปดูเว็บไซต์ของบริษัทเอสซีฯได้เลย เพราะนอกจากจะมีโครงการบอกแล้ว ยังบอกเลยว่าเตรียมรับโครงการเต็มที่ เรื่องนี้ชัดเจนว่ามีบริษัทได้ประโยชน์จากการเพิ่มวงเงิน จาก 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท และคนรายได้น้อยจะได้ประโยชน์น้อยลงมาก”นำฝ่ายค้านกล่าว
**เวบถอดข้อความบ้านหลังแรก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบเว็ปไซด์โฆษณา http://www.scasset.com/th/condo.asp โดยเฉพาะในเซกชั่น อาคารชุดพักอาศัย “คอนโดมีเนียม” ที่นายอภิสิทธิ์ออกมาเปิดเผยว่า เตรียมพร้อมรับโครงการนี้เต็มที่ แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะชี้แจงว่าโครงนี้ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอสซีแอสเสทฯเพราะราคาบ้านสูงกว่ารัฐบาลกำหนด โดยล่าสุดในเวบดังกล่าวมีการตัด ข้อความที่ระบุว่าเตรียมเข้า "นโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล" ออกไปแล้ว
**ระวังเหมือนบางกอกบลูเลอวาร์ด
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ในฐานะรมช.มหาดไทยเงา พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม ปี 2547 ยุครัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เทียบเคียงกรณีนโยบายบ้านรักแรกที่บริษัท เอสซีแอสเสท ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เคยเป็นผู้บริหาร ซึ่งได้มีการทำโครงการบางกอกบูเลอวาร์ด ของบริษัทเอสซี แอสเสท โดยได้รับประโยชน์จากการตัดถนนรามอินทรา-วงแหวน-นวมินทร์ ผ่านหน้าโครงการดังกล่าว ซึ่งในขณะนั้นตนได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุริยะว่า มีการใช้อำนาจในฐานะเป็นรัฐมนตรีในการตัดถนนเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เอสซีแอสเสทของตระกูลชินวัตร โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย และได้มาเกิดซ้ำอีกครั้งในยุคของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะบริษัทที่ได้ประโยชน์ก็คือบริษัทเอสซี แอสเสทเจ้าเดิม
ตนเห็นว่ารัฐบาลควรจะต้องระมัดระวังการกำหนดนโยบายที่จะถูกตั้งคำถามจากสังคม เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบริษัทเอสซี แอสเสทได้ประโยชน์จริงจากการขยับเพดานนโยบายบ้านหลังแรกจากราคา 3 ล้านบาทเป็น 5 ล้านบาท และจะอ้างว่าบริษัทอื่นได้ประโยชน์ด้วยก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทของคนตระกูลชินวัตรที่นายกฯ เคยเป็นผู้บริหารก็ได้รับปรัโยชน์ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้จะกระทบต่อความรู้สึกของปประชาชนที่ให้ความไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์มาบริหารช่วยเหลือคนจนแต่กลับมาออกนโยบายที่นอกจากคนจนจะไม่ได้ประโยชน์แล้วยังเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตัวเองด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปี 2547 ในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านได้ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 8 รัฐมนตรี และ 1 ในนั้นคือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะรมว.คมนาคม ในข้อกล่าวหา เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ออกนโยบาย เอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัว และพวกพ้อง กรณีถนนสายรัชดา-รามอินทรา ที่เป็นโครงการตัดผ่านหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ดของบริษัทเอสซี แอสเสท ธุรกิจของครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งฝ่ายค้านในขณะนั้นได้มีการอภิปรายกล่าววาหาว่า การก่อสร้างถนนสายรัชดา-รามอินทรา ผิดปกติ เพราะถนนสายนี้มี 3 ส่วนคือ ต้น กลาง และปลาย แต่ที่แปลกคือไม่มีการดำเนินการก่อสร้างถนนช่วงต้นสายและปลายสายก่อน แต่กลับไปทำถนนส่วนตรงกลางก่อน ซึ่งถนนส่วนกลางที่มีการก่อสร้างก่อนนั้น เพราะมีหมู่บ้านชื่อบางกอกบูเลอวาร์ดของบริษัทเอสซี แอสเสท บ้านจัดสรร 222 แปลง มูลค่ากว่า 2,450 ล้านบาทอยู่
** “ปู”ปัดไม่รู้เรื่องฯ ลาออกนานแล้ว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีบริษัทเอสซี แอสเสทขึ้นโฆษณาผ่านเวปไซด์เข้าร่วมโครงการคืนภาษีบ้านหลังแรกของรัฐบาลว่า ในส่วนของบริษัทเอสซี แอสเสท ฯ ตนเองคงไม่ทราบ เพราะได้ลาออกแล้ว เข้าใจว่าน่าจะเป็นแคมเปญของเขาในการขานรับนโยบาย แต่คงต้องไปดูในข้อเท็จจริงว่าบ้านเอสซี แอสเสทฯนั้นมีบ้านที่ราคาต่ำกว่า 5 ล้านอยู่เท่าไร แต่เท่าที่ตนเองทราบมาส่วนใหญ่จะไม่มี หรือมีก็ไม่เยอะ ซึ่งตรงนี้ขอให้ทางเอสซี แอทเสทฯชี้แจงดีมั้ยค่ะ?
**บอกครอบครัวแรงผลักนั่งนายกฯ
วันเดียวกัน เวลา 15.00 น.ที่สยามสมาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “เพราะฉันคือเด็กผู้หญิง” (Because I am a girl) ที่สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ และกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า พร้อมสนับสนุนสิทธิเด็กหญิง และสตรีร่วมกับองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนลนี้ด้วย โดยที่ผู้ชายต้องคำนึงถึงความสำคัญ ต้องมีการส่งเสริมการศึกษาและสิ่งสำคัญต้องเริ่มจากครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง ทั้งเพศชาย-หญิง ซึ่งต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพราะทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันตามกฎหมาย
“ที่ดิฉันมายืนตรงนี้ (นายกรัฐมนตรี)ได้เพราะการสนับสนุนของ พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย พี่สาว และขอขอบคุณประเทศไทยและคนไทยให้โอกาสตัวเองมายืนตรงนี้ ที่จะทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติ”
**คลังชง ครม.ให้ธอส.ปล่อยกู้ ดบ.0%
นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สั่งการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส.พิจารณาเตรียมออกโครงการเงินกู้ซื้อบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลา 2-3 ปี โดยมีเงื่อนไขเพื่อซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1-2 ล้านบาท และไม่จำกัดว่า จะต้องเป็นบ้านใหม่เท่านั้น คาดจะมีวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาวันที่ 27 กันยายนนี้
น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า เหตุผลในการขยายวงเงินจาก 3 ล้านเป็น 5 ล้านบาทนั้น เนื่องจากศูนย์วิจัยข้อมูลของธนาคารกสิกรไทยพบว่าราคาที่ดินขยายตัว 20 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ราคาบ้านและคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีราคาสูงขึ้น จึงมีการขยายวงเงินเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่เป็นพนักงานออฟฟิต หรือลูกจ้างสำนักงานเข้าถึงโครงการดังกล่าว และเห็นว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ดีกว่าที่จะเช่าบ้านอยู่เอง
“รัฐบาลไม่ได้ผูกขาดการซื้อขายกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เปิดเสรีให้เข้าถึงทุกฝ่าย ทั้ง แอลพีเอ็น แลนด์เฮ้าส์ เป็นต้น”น.ส.อนุตตมา
น.ส.อนุตตมา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีการหารือกันระหว่างกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทบทวนรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติให้ชัดเจน อาจมีการการขยายสิทธิทางภาษีเพิ่มขึ้น และสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงให้มากขึ้น ทั้งนี้จะนำรายละเอียดเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 27 ก.ย.นี้ ซึ่งจะมีการกำหนดมาตรการ 0 เปอร์เซ็นต์ 3 ปีหรือไม่ หรือมาตรการเสริมช่วยประชาชนทุกกลุ่มที่โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย หรือขยายวงเงินเป็น 5 ล้าน หรือจะขยายเป็น 10 ล้าน
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ อาจจะไม่เพอร์เฟ็ค ที่จะสามารถช่วยได้ทุกกลุ่ม หรือส่งผลดี 100 เปอร์เซ็นต์กับคนทุกกลุ่มแต่จะมีมาตรการเสริมอื่นๆ มาช่วยเหลือ”น.ส.อนุตตมากล่าวและว่าทุกมาตรการอาจไม่ครอบคลุม แต่จะมีการขยายเพิ่มขึ้น เพื่อปิดช่องว่าง และหลักเกณฑ์ต่างๆ คงจะชัดเจนหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งรายละเอียดที่จะเข้าคณะรัฐมนตรีคงเปิดเผยไม่ได้.