ไดนาสตี้เซรามิคลุ้นครึ่งปี 54รายได้เติบโต 16-17% จากปีก่อน หลังประเมินแนวโน้มน้ำท่วมไม่รุนแรงเท่าปีก่อน ส่งผลให้รายได้ปีนี้เข้าเป้า 7.1 พันล้านบาท เตรียมลงทุนเพิ่มอีก 400-600 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตและเปิดเอ้าเล็ตกว่า 10แห่ง ดันรายได้ปีหน้าโตอีก 10%
นายมารุต แสงศาสตรา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาระบบ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายในครึ่งปีหลังนี้จะขยายตัวโดดเด่น 16-17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานรายได้ในครึ่งหลังปี 2553 ลดลงจากผลกระทบน้ำท่วมอย่างรุนแรง คาดว่าปีนี้ปัญหาน้ำท่วมคงไม่รุนแรงเท่าปีก่อน ส่งผลให้ยอดขายปีนี้อยู่ที่ 7,100 ล้านบาท เติบโตได้ตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 10%
ผลดำเนินงานของบริษัท 6 เดือนแรกปีนี้ มียอดขายรวม 3,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 252 ล้านบาท หรือเติบโต 7% อัตรากำไรขั้นต้น 42.9% คาดว่าครึ่งปีหลังนี้ อัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นกลับมาปกติ 44% เนื่องจากจะมีการทยอยปรับขึ้นราคากระเบื้องเซรามิคจากปัจจุบัน 129 บาท/ตารางเมตร (ตร.ม.)ขึ้นมาเป็น 130-131 บาท/ตร.ม. เนื่องจากต้นทุนพลังงานสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัททยอยเปิดตลาดนัดกระเบื้อง (Outlet) เพิ่มขึ้นในปีนี้เป็น 17 สาขาดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15 สาขา ทำให้สิ้นปี 2554 บริษัทมีตลาดนัดกระเบื้องรวมทั้งสิ้น 218 สาขาทั่วประเทศ และในเดือนนี้จะขยายกำลังการผลิตกระเบื้องเพิ่มอีก 3.6 ล้านตร.ม./ปี และเดือนพ.ย.อีก 3.6 ล้านตร.ม./ปี รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้น 61 ล้านตร.ม./ปี
นายมารุต กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ตลาดบ้านเดี่ยว บ้านใหม่ราคาถูกในต่างจังหวัดมีการขยายตัวมาก หลังจากมีโครงการกู้ซื้อบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2ปี ทำให้ประชาชนหันมากู้ซื้อบ้านระดับราคา 1.7 ล้านบาทจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดขายกระเบื้องไดนาสตี้ฯเพิ่มสูงขึ้น ทำให้โครงสร้างรายได้ของบริษัทจากเดิมที่มาจากตลาดซ่อมแซมบ้าน 70% ลดลงเหลือ 60-65% แต่สัดส่วนตลาดบ้านใหม่เพิ่มขึ้นจาก 25-30% เป็น 30-35% โดยปีหน้าคาดว่ารายได้จากตลาดซ่อมแซมจะกลับโดดเด่นเหมือนเดิม
ส่วนนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันนั้น บริษัทได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากต้นทุนค่าแรงคิดเป็น 6% ของต้นทุนการผลิต แต่บริษัทจะได้รับอานิสงส์ หากรัฐปรับลดโครงสร้างภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเดิม 30% เหลือ 23% โดยยอมรับว่าหากมีการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท/วันทันที จะทำให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก (SME) อยู่รอดได้ยาก สุดท้ายคงเหลือแต่บริษัทอุตสาหกรรมหรือบริษัทขนาดใหญ่แทน
สำหรับแผนการลงทุนในปีหน้า บริษัทคาดว่าจะลงทุนขยายเตาผลิตกระเบื้องเซรามิคเพิ่มเติมอีก 3 เตา และขยายตลาดนัดกระเบื้องเพิ่มอีกกว่า 10 สาขา ใช้เงินลงทุนประมาณ 400-600 ล้านบาท ทำให้ปีหน้าบริษัทน่าจะมียอดขายเกือบ 8,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีนี้ 10%
“ขณะนี้กระเบื้องนำเข้าจากจีนราคาปรับตัวสูงขึ้นมาก แพงกว่าราคากระเบื้องในไทย และยังมีภาษีป้องกันการทุ่มตลาดอีก เชื่อว่าการนำเข้ากระเบื้องจากจีนจะลดลง ดังนั้นบริษัทฯยังเน้นทำตลาดในประเทศมากกว่าส่งออก โดยมองว่าตลาดกระเบื้องเซรามิคในประเทศจะอิ่มตัวในอีก 8ปีข้างหน้า ถึงเวลานั้นบริษัทฯมีตลาดนัดกระเบื้องประมาณ 350 สาขาแล้ว“นายมารุตกล่าว
นายมารุต แสงศาสตรา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาระบบ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายในครึ่งปีหลังนี้จะขยายตัวโดดเด่น 16-17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานรายได้ในครึ่งหลังปี 2553 ลดลงจากผลกระทบน้ำท่วมอย่างรุนแรง คาดว่าปีนี้ปัญหาน้ำท่วมคงไม่รุนแรงเท่าปีก่อน ส่งผลให้ยอดขายปีนี้อยู่ที่ 7,100 ล้านบาท เติบโตได้ตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 10%
ผลดำเนินงานของบริษัท 6 เดือนแรกปีนี้ มียอดขายรวม 3,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 252 ล้านบาท หรือเติบโต 7% อัตรากำไรขั้นต้น 42.9% คาดว่าครึ่งปีหลังนี้ อัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นกลับมาปกติ 44% เนื่องจากจะมีการทยอยปรับขึ้นราคากระเบื้องเซรามิคจากปัจจุบัน 129 บาท/ตารางเมตร (ตร.ม.)ขึ้นมาเป็น 130-131 บาท/ตร.ม. เนื่องจากต้นทุนพลังงานสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัททยอยเปิดตลาดนัดกระเบื้อง (Outlet) เพิ่มขึ้นในปีนี้เป็น 17 สาขาดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15 สาขา ทำให้สิ้นปี 2554 บริษัทมีตลาดนัดกระเบื้องรวมทั้งสิ้น 218 สาขาทั่วประเทศ และในเดือนนี้จะขยายกำลังการผลิตกระเบื้องเพิ่มอีก 3.6 ล้านตร.ม./ปี และเดือนพ.ย.อีก 3.6 ล้านตร.ม./ปี รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้น 61 ล้านตร.ม./ปี
นายมารุต กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ตลาดบ้านเดี่ยว บ้านใหม่ราคาถูกในต่างจังหวัดมีการขยายตัวมาก หลังจากมีโครงการกู้ซื้อบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2ปี ทำให้ประชาชนหันมากู้ซื้อบ้านระดับราคา 1.7 ล้านบาทจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดขายกระเบื้องไดนาสตี้ฯเพิ่มสูงขึ้น ทำให้โครงสร้างรายได้ของบริษัทจากเดิมที่มาจากตลาดซ่อมแซมบ้าน 70% ลดลงเหลือ 60-65% แต่สัดส่วนตลาดบ้านใหม่เพิ่มขึ้นจาก 25-30% เป็น 30-35% โดยปีหน้าคาดว่ารายได้จากตลาดซ่อมแซมจะกลับโดดเด่นเหมือนเดิม
ส่วนนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันนั้น บริษัทได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากต้นทุนค่าแรงคิดเป็น 6% ของต้นทุนการผลิต แต่บริษัทจะได้รับอานิสงส์ หากรัฐปรับลดโครงสร้างภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเดิม 30% เหลือ 23% โดยยอมรับว่าหากมีการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท/วันทันที จะทำให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก (SME) อยู่รอดได้ยาก สุดท้ายคงเหลือแต่บริษัทอุตสาหกรรมหรือบริษัทขนาดใหญ่แทน
สำหรับแผนการลงทุนในปีหน้า บริษัทคาดว่าจะลงทุนขยายเตาผลิตกระเบื้องเซรามิคเพิ่มเติมอีก 3 เตา และขยายตลาดนัดกระเบื้องเพิ่มอีกกว่า 10 สาขา ใช้เงินลงทุนประมาณ 400-600 ล้านบาท ทำให้ปีหน้าบริษัทน่าจะมียอดขายเกือบ 8,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีนี้ 10%
“ขณะนี้กระเบื้องนำเข้าจากจีนราคาปรับตัวสูงขึ้นมาก แพงกว่าราคากระเบื้องในไทย และยังมีภาษีป้องกันการทุ่มตลาดอีก เชื่อว่าการนำเข้ากระเบื้องจากจีนจะลดลง ดังนั้นบริษัทฯยังเน้นทำตลาดในประเทศมากกว่าส่งออก โดยมองว่าตลาดกระเบื้องเซรามิคในประเทศจะอิ่มตัวในอีก 8ปีข้างหน้า ถึงเวลานั้นบริษัทฯมีตลาดนัดกระเบื้องประมาณ 350 สาขาแล้ว“นายมารุตกล่าว