ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยจนถึงขณะนี้ต้องบอกว่ายังคงวิกฤตหนักหน่วง สร้างความทุกข์เข็ญแสนสาหัสให้แก่ประชาชน ไปเกือบทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ เพราะในแต่ละวันก็จะได้ทราบข่าวการสูญเสียทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชน ซ้ำร้ายสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดก็ยังไม่คลี่คลาย อีกทั้งมีทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้ง จ.นครสวรรค์ ที่ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น จนไหลทะลักข้ามกระสอบทรายที่วางกั้นตามแนวตลิ่ง ขณะที่อีกหลายจังหวัดจมบาดาล เช่นที่ จ.พิษณุโลก สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง อยุธยา ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายังเพิ่มสูงขึ้น ชาวบ้านต้องมาอาศัยบนริมถนน พร้อมกับจับหนูกับงูที่มากับน้ำ ถลกหนังขายตามข้างทาง อีกส่วนนำไปประกอบอาหารประทังชีวิต
ส่วนรายงานของ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่าขณะนี้ยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 23 จังหวัด รวม 144 อำเภอ 1,075 ตำบล 8,031 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน 563,010 ครอบครัว 1,877,106 คน มีผู้เสียชีวิตสะสมมาตั้งแต่เมื่อครั้งพายุนกเตนจนถึงล่าสุดรวม 136 คน
ต้องนับว่าเป็นข่าวคราวอันเศร้าใจยิ่งต่อการสูญเสียชีวิตในเหตุการณ์อุทกภัย ที่ประชาชนต้องสังเวยภัยธรรมชาติครั้งนี้นับร้อยเข้าไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัญหาวิกฤตน้ำท่วมแล้ว สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าจะอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย เพราะยังคงเกิดความสูญเสียชีวิตของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ก่อเหตุระเบิดรถทหารพราน ที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 5 ราย สาหัส 1 ราย
ตามมาด้วยเหตุคาร์บอมบ์ มอเตอร์ไซค์บอมบ์ 3 คันซ้อน กลางเมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ค่ำวันที่16 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 100 ราย เสียชีวิต 5 ราย บาดเจ็บสาหัส 18 ราย ทำเอาเมืองทั้งเมืองป่วนโกลาหล
สะท้อนให้เห็นว่าตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้ามาบริหารประเทศ ความรุนแรงใน3จังหวัดชายแดนใต้ ก็ยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละ
อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาอุทกภัยและแก้ปัญหาดับไฟใต้ ถือเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องเร่งแก้ไข แต่ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็น “บางระกำโมเดล” วาทกรรมสุดสวยหรู ในการแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือการส่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รักษาการ ผบ.ตร. ลงไปแก้ปัญหาไฟใต้ ก็ดูจะเดินหลงทิศหลงทาง เกาไม่ถูกที่คัน เสียเท่าไหร่
กล่าวถึงปัญหาน้ำท่วมแนวทางการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล ก็ยังคงเป็นไปลักษณะลูบหน้าปะจมูก ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรี ก็ดูเหมือนกับลักษณะเดิมๆ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพียงแต่ได้มอบนโยบาย อนุมัติการเบิกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในส่วนพื้นที่การเกษตรที่เสียหายไร่ละ 2,222 บาท และบ้านเรือนที่เสียหาย ครัวเรือนละ 5,000 บาท มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดขยายวงเงินทดรองราชการ จาก 50 ล้านบาทเป็น 100 ล้านบาท
ต้องบอกว่าการแก้ปัญหาในลักษณะดังกล่าว ก็ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเช่นเดิม เพราะไม่ว่ามองมุมไหนแล้วก็เป็นเพียงแค่การเยียวยาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ได้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว ที่ต้องเอ่ยถึงก็คือ มาตรการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่รัฐบาลชูรูปแบบ"บางระกำโมเดล" รวมไปถึงสารพัดโมเดล ที่จะใช้แก้ปัญหาในจังหวัดอื่นๆ มาถึงขณะนี้เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนเข้าให้แล้ว ประชาชนตาดำที่รอแผนป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว ก็คงได้แต่ฝันค้างแล้วค้างอีก ว่าหน้าตาโมเดลในการแก้ปัญหามันเป็นอย่างไร เรียกว่า สุดยอดวาทกรรมการตลาดของ รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกพับเก็บไปเรียบร้อยแล้วก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงแต่ประการใด
ขณะเดียวกัน สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดในภาคกลาง อาทิจังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อยุธยา และอ่างทอง ก็ยังคงวิกฤตหนัก จนมีกระแสข่าวว่าน้ำอาจจะเข้ามาถึง กรุงเทพมหานคร ก็ดูเหมือนจะทำให้ประชาชนเห็นความจริงประการหนึ่งถึงความบ้อท่าในการแก้ปัญหาน้ำท่วมของ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ มากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ดีก็นับว่าเป็นความโชคดีของประชาชน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำโครงการพระราชดำริ "คลองลัดโพธิ์" เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ
ทั้งนี้ หลักการสำคัญของคลองลัดโพธิ์คือ แก้ไขสภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมที่มีลักษณะไหลวนคดเคี้ยวถึง 18 กิโลเมตร ในบริเวณบางกระเจ้า ทำให้การระบายน้ำที่ท่วมพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครเป็นไปได้ช้า ไม่ทันเวลาน้ำทะเลหนุน
ล่าสุดรัฐบาล ก็เพิ่งตื่น ด้วยการน้อมนำ "ลัดโพธิ์โมเดล" ไปปฏิบัติด้วยการสั่งระดมเรือยนต์ผันน้ำ30 ลำ เพื่อไล่ก้อนน้ำผ่านคลองลัดโพธิ์ออกจากปากอ่าวไทยให้เร็วขึ้น ผลก็คือระดับน้ำตั้งแต่อยุธยา และอ่างทอง เริ่มลดลงอย่างชัดเจน
จากเหตุการณ์นี้ก็ยิ่งชี้ให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาน้ำท่วม ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาลักษณะหลงทิศหลงทางแล้ว ก็ยังแสดงถึงความไม่รู้อีกต่างหาก ทั้งนี้ก็คงไม่เกินเลยไปนักหากจะต้องกล่าวว่า รัฐบาลควรดำเนินตามโครงการพระราชดำริ นำไปปรับใช้ตามสภาพภูมิสังคม ภูมิประเทศ สภาพสังคมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งควรจะ "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ไปเป็นแนวทางปฏิบัติก็จะเป็นการดีไม่น้อย
ขณะเดียวกัน แนวทางการแก้ปัญหาความรุนแรงภาคใต้ของรัฐบาล ก็ดูจะไม่ได้ต่างจากปัญหาอุทกภัยเลยด้วยซ้ำ เพราะหลังเกิดเหตุ เหตุคาร์บอมบ์ มอเตอร์ไซค์บอมบ์ 3 คันซ้อน กลางเมืองสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส
และเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แค่เพียง ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องศึกษาในรายละเอียด เพราะมีประเด็นอ่อนไหว เรียกว่า ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุเลยแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกันสิ่งที่รัฐบาลปูแดง ออกแอ็กชั่นก็คือ การสั่งการให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รักษาการ ผบ.ตร.ลงพื้นที่ และฉับพลันทันใดหลังการประชุม ว่าที่ผบ.ตร. อย่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ก็ได้ออกมาสรุปว่าเป็นฝีมือกลุ่มค้ายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน หรือค้าของเถื่อน เรียกว่าทำเอาสับสนไปตามๆกัน
เพราะตามข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงและชาวบ้านในพื้นที่ ระบุว่า พฤติกรรมการก่อเหตุเป็นฝีมือของกลุ่มโจรแบ่งแยกดินแดน หรือกลุ่มอาร์เคเค ที่ผ่านการล้าง สมอง และผ่านการฝึกยุทธวิธีมาอย่างดี ไม่ใช่ฝีมือกลุ่มค้ายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน หรือค้าของเถื่อนแน่นอน
สรุปก็คือกลุ่มค้ายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน และค้าของเถื่อนเพียงแค่มีส่วนสนับสนุนกลุ่มก่อเหตุรุนแรงเท่านั้น
ทั้งนี้ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การส่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ลงไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหา จะเป็นการปูพรม เตรียมที่เตรียมทางในการรับตำแหน่ง ผบ.ตร. หรือไม่
คงต้องถามว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ เชี่ยวชาญการแก้ปัญหา 3 จังหวัด ภาคใต้มากแค่ไหน ครั้นจะมาลงพื้นที่ตรวจสอบ ไม่นานก็ถึงกลับกล้าฟันธงไปแล้วว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุความไม่สงบเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดเสียส่วนใหญ่ มันก็ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้แก่คนในพื้นที่เลยด้วยซ้ำ
ขณะที่อีกคนที่จะต้องกล่าวถึงก็คือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่จะถูกดันขึ้นสู่ตำแหน่ง เลขาฯศอ.บต. ก็ดูจะผิดฝาผิดตัว เนื่องจาก พ.ต.อ.ทวี นอกจากจะไม่มีมีความรู้ ความเข้าใจปัญหาภาคใต้อย่างแท้จริงแล้ว ยังมีความใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณที่ทิ้งฝันร้ายจนเป็นบาดแผลร้าวลึกในใจคนในพื้นที่มาจนถึงทุกวันนี้
เพราะปัญหาในภาคใต้ต้องการคนรู้จริงและเข้าใจถึงสภาพปัญหาอย่างถึงแก่น กลับกลายเป็นว่าจะมาเป็นเรื่องการเมืองไปเสียฉิบ เนื่องจากว่า ภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ทางพรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นคนของประชาธิปัตย์ และยังใกล้ชิดกับบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อีกด้วย
สำหรับนโยบาย "การเมืองนำการทหาร" ภายใต้ยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" และ "เศรษฐกิจพอเพียง" ที่ให้อำนาจกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และกอ.รมน.ภาค 4 เป็นหน่วยงานหลักแก้ปัญหา รวมทั้งฟื้นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ขึ้นมาทำงานประสานกับกองทัพ ที่จะใช้ในการแก้ปัญหาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการขานรับจากชาวบ้านเท่าที่ควร
เพราะจะว่าไปแล้ว นโยบายของรัฐบาลในขณะนี้ก็ไม่มีความชัดเจนใด ๆ ที่จะแสดงให้ความสำคัญกับการคืนสันติสุขให้กับภาคใต้ หลักฐานก็คือ การให้สัมภาษณ์ของคนระดับนายกรัฐมนตรี อย่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อแนวทางปัญหาความรุนแรงของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็ทำได้เพียงผลักภาระให้บรรดามือไม้ ที่นายใหญ่จัดมาให้เท่านั้น และบรรดาลูกมือนายใหญ่ ก็ยังมิได้มีแนวทางแก้ปัญหาที่ตรงจุดเสียเท่าไหร่
อีกทั้งที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการทบทวนนโยบาย ทบทวนยุทธศาสตร์ ทบทวนตัวบุคคลที่รับผิดชอบภารกิจดับไฟใต้ให้ครบวงจรอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาใหญ่ระดับประเทศอย่างน้ำท่วมและปฏิบัติการดับไฟใต้ จนถึง ณ วันนี้ รัฐบาลปูแดง ก็ยังสอบตกอยู่วันยังค่ำ