xs
xsm
sm
md
lg

ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ กับรัฐตำรวจ

เผยแพร่:   โดย: ดร.ประยูร อัครบวร

จากข่าวสารในหมู่ผู้รักความเป็นธรรม ถึงกรณีเอาตำรวจไปล้อมบ้าน ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ติดตามข่าวด้วยความรู้สึกสลดใจกับประเทศที่ไร้กติกา ขณะที่ ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และประธานกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตำรวจไปตั้งข้อกล่าวหาการชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร ตำรวจยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประชาธิปัตย์ ยืนหยัดได้ด้วยเนวิน ไม่ฟังเสียงข้อติติง สั่ง พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง คนสนิทเนวินจัดการตั้งข้อกล่าวหากับบรรดาพันธมิตรฯ แต่ขณะเดียวกันกลับฟังในส่วนที่เป็นประโยชน์กับบรรดาแกนนำ นปช.ถึงกับส่งรองนายกรัฐมนตรีสนั่น ขจรประศาสน์ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาลไปให้การเป็นประโยชน์ต่อขบวนการ นปช.ในชั้นศาล ว่าเป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ

การล้อมบ้านดร.ปราโมทย์ นาครทรรพนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า

อย่างนี้เรียกว่าสองมาตรฐานหรือเปล่า???

อย่างนี้เรียกว่าจับเพื่อความปรองดองหรือเปล่า ???

อย่างนี้เป็นการแสดงอำนาจคุกคามใช่หรือไม่ ???

ด้วยก่อนหน้านี้อาจารย์ปราโมทย์ ก็เดินทางไปในที่ต่างๆ และประกาศตัวตั้งแต่ต้นว่าไม่หนีไปไหน การกระทำของตำรวจจึงดูไม่มีเหตุผล ไม่สอดคล้องกับการหาทางสันติให้สังคม แต่กลับมีเงื่อนงำว่าพล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ต้องการเอาใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือเปล่า ซึ่งสอดคล้องกับข่าวลือที่ว่าเนวินหวนกลับไปอยู่กับทักษิณพร้อมเงื่อนไขที่เป็นตัวเชื่อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งความน่าเชื่อใจที่ดีคือการพิสูจน์โดยการจัดการบรรดาพันธมิตรฯ ที่ต่อต้านทักษิณ

วันนี้หลายๆ คนมาเรียกร้องให้รัฐไทยเดินไปข้างหน้า แต่พฤติกรรมการแสดงออกของนักการเมืองกลับเดินถอยหลัง ทั้งพฤติกรรมการเดินแต้มทางการเมืองโดยใช้ตำรวจเป็นกลไก ทำให้เกิดอาการสะพรึงกลัว ทำให้คนเกิดความไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ภายใต้รัฐอย่างนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นใน “รัฐตำรวจ” ซึ่งผู้เขียนใคร่นำจดหมายอาจารย์ปราโมทย์ ที่มีไปถึงบรรดามิตร ลูกศิษย์ลูกหามาขยายความซ้ำอีกครั้ง ด้วยเนื้อหามีค่าต่อการคิดติดตามการเมืองไทย โดยเริ่มจากการนำความรู้สึกของเชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาแปลเป็นไทยว่า

“เราเห็นจอมเผด็จการผงาดอยู่บนบัลลังก์รายล้อมไปด้วยหอกดาบปลายปืนของทหารและกระบองโตๆ ของตำรวจ พวกมันกลัวคำพูดและความคิด ลนลานหาวิธีป้องกันมิให้พวกเราพูดหรือคิด ...สังคมตกอยู่ในภาวะที่ผู้คนไม่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจได้ ภาวะที่ลูกฟ้องพ่อแม่ตนเองกับตำรวจ...การที่นักธุรกิจหรือเจ้าของร้านค้าขายเล็กน้อยทำลายคู่แข่งขันด้วยการใส่ความ สภาพของสังคมเยี่ยงนี้จะดำรงอยู่มิได้หากสามารถติดต่อกับโลกภายนอกที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้อาจารย์ปราโมทย์ ยังให้ข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับปํญญาชนคนชั้นกลางทั้งหลายที่อยู่เฉย กลัวการกระทบกระเทียบคนมีอำนาจ กลัวอำนาจมืด เลยกลายเป็นเยื่อให้ระบบ ให้ลัทธิอันเป็นที่มาของรัฐตำรวจคือลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิป๊อปปูลิสม์หรือประชานิยมได้เจริญเติบโต และคนที่คิดว่าธุระไม่ใช่ หรือเรื่องที่รัฐตำรวจทำนั้นไม่เกี่ยวกับตัวเอง ก็ต้องไปย้อนคิดถึงคำสารภาพของท่านสาธุคุณ Martin Niemoller ที่ถูกนาซีจับกุมในปี 1930 โดยอาจารย์ปราโมทย์ได้ถอดความว่า   

“ในเยอรมนี ทีแรกเขามาไล่จับคอมมิวนิสต์ ฉันเฉยเสีย มิได้พูดอะไร เพราะฉันไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ต่อมาเขามาไล่จับยิว ฉันก็เฉยอีก ไม่พูดอะไร เพราะฉันไม่ใช่ยิว หลังจากนั้น เขาก็มาไล่จับพวกสหภาพ ฉันก็เฉย ไม่พูดอะไรอย่างเคย เพราะฉันไม่ใช่พวกสหภาพ เสร็จแล้วเขามาไล่จับคาทอลิก ฉันก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก เพราะฉันเป็นโปรเตสแตนต์ ในที่สุด เขาก็มาไล่จับฉัน ถึงเวลานั้น ไม่มีใครเหลือที่จะพูดช่วยฉันได้อีกแล้ว”

ข้อเขียนของสาธุคุณ Martin Niemoller นี้สะท้อนให้เห็นว่าการไม่สนใจอะไรเลย ตัวเราเองก็อาจอันตรายได้ ทั้งการไม่ร่วมต่อสู้รวมหมู่ก็อาจถูกทำลายได้ง่าย และการไม่คิดแบบมียุทธศาสตร์ รวมถึงการไม่ได้คิดถึงอนาคต ซึ่งอาจารย์ปราโมทย์ได้นำคำสอนของจอมปราชญ์ซุนวูที่เขียนศิลปะของสงคราม (Art of War) มากว่า 2,000 ปีว่า

“ผู้ปกครองที่มีปรีชาญาณจะต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี ยอดขุนพลจะต้องรู้สั่งสมพลังไว้ก่อน อย่าเคลื่อนกำลังจนกว่าจะเห็นชัดว่าได้เปรียบ ไม่มีผู้ปกครองคนใดที่เคลื่อนทัพเข้าสู่สมรภูมิเพียงเพื่อสนองความมันเมาของตน ขุนพลไม่ควรเข้าสัปยุทธ์ด้วยเหตุเพียงบันดาลโทสะ ถ้าเมื่อใดเห็นว่าเราได้เปรียบ ควรรุกเข้าไปข้างหน้า หากไม่ได้เปรียบควรหยุดเฉยอยู่ ณ ที่เดิม บางครั้งความโกรธจะกลายเป็นความยินดี และความละล้าละลังจะกลายเป็นความโล่งใจ จำไว้ว่า อันว่าราชอาณาจักรนั้น หากล่มสลายไปเพียงครั้งหนึ่งแล้ว อย่าหวังเลยว่าจะกู้กลับคืนมา ฉันใดก็ฉันนั้น ผีที่ตายแล้วจะปลุกให้ฟื้นคืนชีวิตหาได้ไม่”

จากข้อเตือนใจข้างต้นทั้งหมดที่กล่าวมา

อาจไม่มีความหมายเลยสำหรับคนที่กำลังมีอำนาจและใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่ง

อาจไม่มีความหมายเลยสำหรับคนที่หลงใหลได้ปลื้มกับความงมงาย ในลาภยศที่ไม่พึงได้

อาจไม่มีความหมายเลยสำหรับคนโง่ที่คอยให้คนอื่นชักจูง ฯลฯ

แต่ทั้งหมดมีความหมายสำหรับคนไทยที่รักชาติและมีสำนึกว่า “ชาติล่มคือชาติที่ไร้ศักดิ์ศรี”
กำลังโหลดความคิดเห็น