xs
xsm
sm
md
lg

ต้อล AF4 “วัด” อยู่ที่ใจ ไม่ใช่ภายนอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หนุ่มร็อกมาดทะเล้นในมุมที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็น
“อย่าตัดสินจากหน้าตา”... เขาขอร้องเอาไว้อย่างนั้น เพราะหากยังอคติอยู่กับนิสัยขี้เล่นและท่าทีกวนๆ ของเขาอยู่ คุณจะไม่มีวันรู้จักตัวตนอีกด้านของผู้ชายที่ชื่อ “ต้อล วันธงชัย อินทรวัตร”

“จริงเหรอ?” หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันเมื่อรู้ว่าเขาเข้าวัดทำบุญบ่อยกว่าเดินเล่นในห้างเสียอีก และยิ่งแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินว่านักร้องหนุ่มหน้าใสรายนี้สามารถนั่งสนทนาธรรมอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ แม้จะไม่ถึงกับยกหลักธรรมมานั่งวิเคราะห์กันเป็นฉากๆ อย่างผู้บรรลุแล้ว แต่เชื่อว่าความคิดความอ่านบางช่วงบางตอนจากเขาคนนี้ คงช่วยดึงให้ใครหลายคนหันมามองตัวเองได้บ้างเหมือนกัน


เข้าๆ ออกๆ วัด
“จริงๆ แล้วหน้าตามันบ่งบอกอะไรไม่ได้เลยนะ (หัวเราะเล็กๆ) ผมไปพูดกับใครเขายังไม่เชื่อเลย บอกว่าเอ้ย! จริงเหรอ หน้าอย่างนี้เนี่ยเหรอเข้าวัด แต่ผมชอบเข้าวัดจริงๆ”

ต้อล วันธงชัย อินทรวัตร หรือ “ต้อล AF4” หนุ่มคิ้วหนาหน้าทะเล้นยืนยันความเป็นตัวเองให้คู่สนทนาฟัง คล้ายต้องการบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนทำหน้าตกใจใส่ เมื่อรู้ว่าเขาชอบเข้าวัด ทำบุญ หรือแม้กระทั่งทำทาน

เข้าวัดกับคุณแม่ตั้งแต่ 6-7 ขวบแล้วครับ พอโตขึ้นก็ไปเองบ้าง ไปกับเพื่อนบ้าง กับคุณแม่ก็ยังไปอยู่ แต่ไปกับเพื่อนตัวเองอาจจะยากหน่อย ชวนแล้วไม่ค่อยอยากจะไปกัน ไอ้เราก็ไม่อยากบังคับใจใคร ผมก็เลยจะมีกลุ่มพี่ๆ อีกกลุ่มที่ชอบไปด้วยกัน เป็นกัลยาณมิตรจากการทำบุญ เหมือนเป็นเพื่อนทางธรรม พอว่างๆ ก็จะชวนกันไป หรือเวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด ถ้าเป็นไปได้ ผมจะพยายามชวนแฟนคลับไปด้วย แทนที่ไปถึงจังหวัดนั้นแล้วเอาแต่เที่ยวห้าง ถือว่าเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำแล้วมีความสุขครับ

นักบุญจำนวนไม่น้อยในสังคมชอบทำบุญเพราะอยากได้บุญ แต่สำหรับต้อล เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น ที่ทำเพราะชอบความรู้สึกหลังจากได้ทำบุญต่างหาก

สิ่งที่ได้กลับมาเห็นๆ เลยคือใจเราสงบจริงๆ รู้สึกว่ามันคือความปีติภายในใจ ทำให้เรารู้จักการให้ บางคนรับอย่างเดียว คิดแต่ว่าฉันต้องการเงิน ฉันอยากจะรวย แต่ไม่เคยเผื่อแผ่ให้คนอื่น มันก็ทำให้เราเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่การเข้าวัดทำบุญ ทำให้เรามีโอกาสได้โน้มใจเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วงที่ผมยังไม่ได้เป็นเอเอฟ ทำบุญตกอาทิตย์ละครั้งได้ แต่พอเข้าวงการยิ่งมีเวลาทำมากขึ้น แปลกเหมือนกัน (ยิ้ม) เหมือนพอมาอยู่ตรงนี้ เจอเรื่องวุ่นวายเยอะแยะ คิดว่าควรจะหาที่ที่สงบจิตใจ ไปแล้วใจเบิกบาน เป็นช่วงเวลาที่ได้ผ่อนคลายจริงๆ

ถึงจะชอบเข้าวัด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำบุญแค่เฉพาะตอนเข้าเขตวัดเท่านั้น ต้อลบอกว่าแค่คิดดีทำดีก็สามารถทำบุญได้ทุกที่แล้ว แม้กระทั่งกับคนลำบากยากจนที่มีให้เห็นทั่วไปตามท้องถนน

“บางทีไม่จำเป็นต้องเข้าวัดก็ทำบุญได้เหมือนกันครับ ออกไปในแนวให้ทาน อย่างเด็กบางคนขายพวงมาลัย เข้ามาขอน้ำกินก็มี ไม่ได้ขอเงินด้วยซ้ำ ผมก็ให้ขวดน้ำเขาไป ถือว่าเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพอจะหยิบยื่นให้เขาได้ บางคนเวลาจะให้ทาน อาจจะคิดสับสนอยู่ในใจ จะให้-ไม่ให้ดี สำหรับผม ผมชอบช่วยคนที่น่าช่วย ถ้ามีครบ 32 แล้วมาขอ ผมจะไม่ค่อยให้ แต่บางคนแก่มากๆ แล้วยังสานตะกร้าขาย ผมเห็น ผมก็ช่วยซื้อ” เขาพูดตรงๆ ตามสไตล์ ก่อนอธิบายเหตุผลให้ฟัง

ไม่ได้หมายความว่าผมแบ่งแยกเรื่องการทำบุญ ให้อีกคนแล้วไม่ให้อีกคนนะ แต่แค่เราอยากเตือนสติคนบางกลุ่มว่าที่เราไม่ให้เงินเขาเพราะอยากให้เขาฉุกคิดได้ว่ายังมีอีกหลายอย่างที่เขายังทำได้ เขามีความสามารถพอ ไม่จำเป็นต้องมาคอยแบมือขอ แต่สำหรับคนที่เขาพยายามแล้ว นั่นแหละครับที่ควรจะสนับสนุน เป็นการให้กำลังใจเขาว่าเขาทำดีแล้ว อันนี้ผมคิดเองนะ ส่วนคนอื่นจะมีวิธีตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่คนครับ”


3 วันที่คุ้มค่า
เมื่อมีเวลาว่าง ต้อลมักพยายามเสาะหาวัดไกลๆ เพื่อเดินทางไปทำบุญ ส่วนเหตุผลก็ไม่ใช่เพราะอะไร แต่แค่คิดว่า “เราเอาสังฆทานไปถวายวัดวัดหนึ่ง ซึ่งมีคนเอาไปถวายเป็นร้อยๆ แล้ว ทั้งๆ ที่มีพระอยู่แค่ไม่กี่รูป อย่างมากก็ร้อยกว่ารูป ยังไงก็ใช้ไม่หมด แต่บางวัด พระมีอยู่ไม่กี่สิบรูปเอง แต่ท่านมีเครื่องอุปโภคบริโภคไม่พอ แค่จีวรของท่าน บางทียังใส่ซ้ำๆ ผืนเดิม ไม่มีจะเปลี่ยน เลยคิดว่าถ้าเราให้ในสิ่งที่เขาจำเป็น บริจาคให้ที่ที่เขาอยากได้จริงๆ น่าจะดีกว่า” เขาบอกอย่างนั้น

และการเดินทางเข้าไปบริจาคในวัดเล็กๆ แถบชนบทนี่เองที่ทำให้ต้อลได้ประสบการณ์ไม่รู้ลืมกลับมาด้วย โดยช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เขากลับบ้านที่เชียงใหม่ กะนัดหมายเล่นสงกรานต์กับกลุ่มเพื่อน แต่เปลี่ยนแผนเป็นเสาะหาวัดเพื่อทำบุญแทน สุดท้ายเมื่อเห็นว่าเวลาว่าง 3 วันทำอะไรๆ ได้มากกว่าการบริจาค จึงชักชวนกันขอบวชระยะสั้น นุ่งขาวห่มขาว ลองปฏิบัติธรรมเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย จนกลายมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีค่าที่สุดในชีวิต

“ที่ที่ผมไปเป็นสถานปฏิบัติธรรม มีพระอยู่รูปเดียวในนั้น รอบๆ ก็ไม่มีอะไรเลย มีแต่ป่าเขาเต็มไปหมด แถมยังตั้งอยู่ห่างจากชุมชนหลายกิโลฯ จะออกไปบิณฑบาตครั้งหนึ่งก็ต้องเดินทางไกลมากกว่าจะถึงหมู่บ้าน ท่านไปบิณฑบาต ได้อาหารมาจำนวนหนึ่ง ท่านก็เอามาแบ่งให้พวกเรากินกัน เป็นครั้งแรกเลยที่ได้กินข้าวก้นบาตร ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีอะไรเลย กินอยู่กันแค่นี้ก็อยู่ได้แล้ว บรรยากาศตรงนั้นเป็นดอยหมด ไม่มีแสงสีเสียง ไม่มีสิ่งยั่วยวน ไม่มีอินเทอร์เน็ต คลื่นมือถือยังไม่มีเลย พวกเราใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัด กินข้าววัด ปลูกผัก รดน้ำต้นไม้ เหมือนเป็นการฝึกร.ด.ในธรรม คือไม่ได้ฝึกแค่แรง แต่ฝึกใจด้วย (ยิ้ม)”

“ตอนแรกคิดอยู่ตลอดว่าจะอยู่รอดถึงสามวันหรือเปล่า (หัวเราะ) เพราะรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ถือศีล 8 ต้องออกไปรดน้ำต้นไม้ เปิดปิดวาล์วน้ำอยู่ทั้งวัน เนื้อที่ก็ไม่ใช่น้อยๆ เป็นร้อยๆ ไร่ได้ ต้องทำทุกอย่างแม้กระทั่งซ่อมกุฏิ ตอนนั้นท้อเลย แต่คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว มาเองด้วย ไม่มีใครมาขอหรือมาบังคับเรา เลยลองตั้งใจให้เต็มที่ ผมว่าสิ่งที่ได้กลับมาชัดๆ เลยคือเรื่องความอดทน เพราะเจ้าอาวาสท่านดุมาก จะสั่งสอนเราด้วยคำพูดแรงๆ เป็นภาษาบ้านๆ เหมือนท่านอยากลองใจว่าเราจะโกรธไหม ซึ่งแรกๆ เราก็โกรธ (ยิ้ม) แต่หลังๆ เราพยายามมีขันติ ถึงได้เข้าใจว่าความโกรธก็เป็นแค่อารมณ์หนึ่งที่มาแล้วก็หายไป ไม่มีอะไรจริงๆ

ถึงจะไม่ได้นุ่งขาวห่มขาวอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมอีกแล้ว แต่ทุกวันนี้ต้อลยังคงนำเอาแง่คิดที่ได้เรียนรู้มาคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาเจอคำพูดที่เข้ามากระทบใจ เขาก็สามารถมองทุกอย่างด้วยความเข้าใจได้ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเช่นเดิม

“ตอนอยู่ในบ้านเอเอฟ เขาห้ามคนในนั้นรับรู้อะไรเลย พอออกมา เพิ่งเห็นว่ามีคนด่าเราสาดเสียเทเสียบนอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นท้อไปหมด ไม่เข้าใจว่าเราไปทำอะไรให้เขาไม่ชอบหน้าขนาดนั้น คิดอะไรไม่ออกเลยลองนั่งสมาธิ สวดมนต์ เรียกสติกลับมาอยู่กับตัวเอง ไม่ให้จิตใจไปจดจ่อที่อื่น พอลองพิจารณาตัวเองดูก็เห็นว่าทุกอย่างคือเกิดแล้วก็ดับ อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราก็เหมือนกัน ทุกอย่างมันก็แค่นั้นแหละ มีคนด่าเราก็ไม่ได้มีผลทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือแย่ลง เลือกสนใจแต่สิ่งดีๆ จะดีกว่า คำด่านั้น ถ้ามันเป็นจริง เราก็เก็บเอามาปรับปรุงตัว แต่ถ้ามันไม่ใช่ เราก็ไม่ควรเก็บมาใส่ใจให้ทุกข์เปล่าๆ ทุกอย่างเป็นสัจธรรมที่ธรรมะสอนให้เราฉุกคิดได้


อย่ามองแต่เปลือก
เปิดใจคุยกันมาถึงตรงนี้ ผู้สัมภาษณ์จึงเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าต้อลสามารถนำเอาหลักธรรมมาประยุกต์ใช้กับชีวิตได้จริง ไม่ใช่แค่พูดโก้ๆ ออกไปอย่างนั้น และดูเหมือนว่ายังมีสิ่งที่เขาต้องการแลกเปลี่ยนให้คนอื่นๆ ได้รับรู้อีกมากมาย โดยเฉพาะแง่มุมง่ายๆ ของชีวิตที่หลายต่อหลายคนชอบทำให้ดูยากและซับซ้อนมากขึ้น

“บางคนชอบคิดว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป มีคำพูดอะไรแบบนี้ขึ้นมาให้ได้ยิน ซึ่งผมว่ามันไม่จริงครับและไม่อยากให้คิดกันอย่างนั้น อยากให้มองว่าเป็นเพราะคนเราเกิดมาต้นทุนไม่เท่ากันมากกว่า มันถึงได้มีคนรวย คนจน คนที่สวยและไม่สวย แต่ถึงฐานะอะไรเราจะต่างกันจนหลายคนตัดพ้อกับชีวิต แต่จริงๆ แล้วผมว่าเราทุกคนเลือกได้ เลือกที่จะมีความสุขได้ บางคนรวยล้นฟ้า แต่ไม่มีความสุขในการใช้เงิน วันๆ คิดแต่ว่าจะเอาเงินไปไว้ที่ไหน จะทำยังไงต่อเพื่อให้มีเงินมากขึ้น ผมว่าชีวิตแบบนั้นไม่มีความสุขหรอก เทียบกับคนที่ไม่ได้รวยอะไรมาก แต่ดูแลครอบครัวได้ ไม่มีหนี้ไม่มีสิน ผมว่าชีวิตแบบนั้นดีกว่าอีก

“คนเราสมัยนี้ชอบมีความสุขกับสิ่งชั่วคราว ได้เงินมา ฉันมีความสุขจัง ได้มือถือใหม่ มีความสุขจัง แต่พอได้มาปุ๊บ เดี๋ยวก็มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีก ทำให้อยากได้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งผมว่าทุกอย่างที่เราอยากได้อยากมีล้วนแล้วแต่เป็นเปลือกนอกทั้งนั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ สุดท้ายก็จะเห็นว่าชีวิตมันไม่มีอะไรเลย เหมือนเสื้อผ้า เป็นแค่เครื่องห่อหุ้มภายนอก เหมือนมือถือซึ่งจริงๆ แล้วหน้าที่หลักๆ ของมันมีไว้แค่โทรออกกับรับ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ชีวิตของเราก็จะง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไปทุ่มซื้อปัจจัยฟุ่มเฟือยจนหมด มันเกินความจำเป็นจริงๆ ของชีวิต” ความคิดเห็นของผู้พูดดูโตกว่าหน้าตาและท่าทางของเขามาก

ไม่ใช่แค่เรื่องมุมมองการใช้ชีวิตเท่านั้นที่คนส่วนใหญ่มักมองกันแค่เปลือก แม้กระทั่งเรื่องเข้าวัดทำบุญ หลายคนก็ยังคงหลงระเริงอยู่กับการตัดสินด้วยสายตา ยึดความเชื่อและความงมงายเป็นหลัก ซึ่งต้อลมองว่าเป็นความคิดที่ผิดๆ และควรแก้ไขด้วยการมองให้เห็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนากันเสียที

อยากให้ทุกคนมองที่แก่นสาร มองที่ตัวศาสนาพุทธจริงๆ ว่าตัวหลักของศาสนาคือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เป็นเพียงผู้เผยแผ่คำสอนเหล่านั้น พระบางรูปอาจจะบวชเป็นเพราะเพื่อหากินกับคน ใช้ความเชื่อความงมงายของชาวบ้านมาสร้างรายได้ให้ตัวเอง ชาวบ้านบางคนก็ไม่รู้ หมดเงินไปเยอะมาก คิดว่าต้องแก้ดวง ต้องเสียเงิน อยากให้มีสติฉุกคิดกันนิดหนึ่ง ลองใช้เหตุผลแล้วค่อยๆ พิจารณาดู ที่เขาลือกันว่าพระรูปนี้เก่งเป็นเพราะท่านปฏิบัติจริงหรือเปล่า หรือท่านสอนหลักธรรมอะไรให้เรานำไปปฏิบัติได้จริงบ้าง ดูกันแบบนี้ดีกว่า”

เช่นเดียวกับตัวเขาเองที่ต้อลอยากให้หลายๆ คนมองที่ตัวตนข้างในมากกว่าจะตัดสินกันที่เปลือกนอก พิจารณาจากเสื้อผ้าแนวร็อกๆ หน้ากวนๆ รวมถึงนิสัยขี้เล่นของเขาแล้ว หลายครั้งหลายคราที่ถูกกล่าวหาว่ายังไม่โต พิจารณาจากลักษณะการพูดจาโผงผาง หลายคนตัดสินไปว่าเขาเป็นคนก้าวร้าว แต่ต้อลยืนยันว่าถึงเขาจะดูดิบๆ ตรงๆ และพูดแรงๆ ในบางครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดทำร้ายใครแน่นอน อยากให้เข้าใจ

“สำหรับผม ผมว่าพูดกันตรงๆ ดีกว่าพูดอ้อมค้อมแล้วแอบไปแทงข้างหลังนะ ยิ่งอยู่วงการนี้ ผมเจอมาเยอะมาก ผมเลยคิดว่าพูดกันตรงๆ ดีกว่า พูดเสร็จจบกันตรงนั้น ไม่คิดอะไรต่อ ไม่มีนินทา ไม่ว่าร้ายกัน ผมชอบคนแบบนี้มากกว่า ส่วนผม เห็นผมเป็นคนตรงๆ แบบนี้ ผมไม่เคยคิดทำร้ายใครอยู่แล้ว ไม่คิดที่จะไปเคียดแค้นใครเลย แต่คนสมัยนี้อาจจะชอบตัดสินกันที่เปลือกนอกมากกว่า เห็นคนนี้แต่งตัวดี ภูมิฐาน ก็คิดว่าเขาเป็นคนดี ผมว่าตัดสินกันที่การกระทำและความจริงใจดีกว่าครับ


---ล้อมกรอบ---


ปาร์ตี้อย่างมีสติ
วัยรุ่นกับการสังสรรค์เป็นสิ่งที่มักเดินทางมาคู่กันเสมอ โดยเฉพาะช่วงเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ รุ่นพี่มักต้อนรับรุ่นน้องด้วยแอลกอฮอล์เพื่อละลายพฤติกรรม ช่วยให้สนิทกันมากขึ้น ในฐานะคนที่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาแล้ว ต้อลเข้าใจดีว่าสังคมและวงเหล้าเป็นเรื่องยากจะปฏิเสธ แต่ถ้ามีความตั้งใจจริงๆ ก็สามารถทำได้ อาจจะไม่ถึงกับต้องหลีกเลี่ยง ไม่พบปะสมาคมกับใคร แต่แค่ควบคุมตัวเองให้มีสติอยู่ตลอดเวลาก็พอ

“ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนคนหนึ่งที่รักสนุก ชอบไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง พอนานๆ เข้าก็เริ่มฉุกคิดได้ว่า ถ้ามัวหลงระเริงไปกับอะไรแบบนั้น ชีวิตคงไม่มีแก่นสาร ก็เลยลองกลับมาตั้งสติกับตัวเอง แต่บางทีเรื่องเข้าสังคมมันก็เลี่ยงยาก คือถ้าคนอื่นเขาสนุกสนานกัน ดื่มกันหมด เราจะมาทำตัวปลีกวิเวก เป็นแกะดำ อาจจะถูกมองว่าแปลกแยก หลังๆ ก็เลยหาวิธีเจอกันครึ่งทาง ยังสนุกได้ เฮฮาได้ แต่ขอให้มีสติ ต้องรู้ตัวตลอดว่าเราเป็นคนยังไง สมมติว่าเป็นคนคออ่อน ดื่มแก้วเดียวก็เริ่มมึนแล้ว เราก็เอาแก้วหนึ่งแก้วนั้นแหละเป็นบรรทัดฐาน ห้ามดื่มเกินนั้นเป็นอันขาด อย่าไปกลัวเสียหน้า คนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่าเราดื่มมากดื่มน้อย เราก็ดื่มแค่นั้นก็พอครับ ถือว่าเรายังมีแก้วของเราเพื่อให้บรรยากาศสนุกสนานยังคงอยู่

สำหรับรุ่นพี่หลายคนที่ชอบชวนน้องดื่ม อยากให้ลองมองผลเสียระยะยาวเอาไว้เสียหน่อย ไม่เช่นนั้นอาจมีชะตากรรมเหมือนเพื่อนของเขา ซึ่งยังไม่หายเป็นปกติจนทุกวันนี้

“จริงๆ แล้วการผูกสัมพันธ์แบบรุ่นพี่รุ่นน้องมันมีหลายวิธีนะ มันไม่จำเป็นต้องชวนน้องดื่มเหล้าอย่างเดียว ถามว่ามันเป็นวิธีที่ทำให้รู้จักและเข้าหากันได้ง่ายที่สุดไหม อาจจะใช่ แต่ถามว่าผลที่จะตามมามันคุ้มหรือเปล่า อยากให้คิดกันนิดหนึ่ง เพื่อนผมคนหนึ่ง ดื่มกับรุ่นพี่แล้วขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ประสบอุบัติเหตุอัดเข้ากับกำแพงเลย เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปเยี่ยม เขาจำใครไม่ได้เลย กลายเป็นคนความจำเสื่อมไปเลย พ่อแม่เขาก็มานั่งดูแลลูกเขา ร้องไห้ไปด้วย เห็นแบบนั้นเราก็สงสาร ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที มันทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเกินกว่าเราจะคาดคิดจริงๆ” วัยรุ่นทั้งหลาย ฟังและพึงระวังเอาไว้!

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี












กำลังโหลดความคิดเห็น