xs
xsm
sm
md
lg

มะเร็งกับมายาคติของ “ธรรมชาติบำบัด” แบบงมงาย (2)

เผยแพร่:   โดย: ดร.สุวินัย ภรณวลัย

หลังจากที่ คุณอรุณี เวศย์วรุตม์ ซึ่งเป็นมะเร็งเต้านมได้ตัดสินใจ “หนีหมอ” หรือทิ้งการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน การผจญภัยของเธอในโลกของการแพทย์ทางเลือกหรือ “ธรรมชาติบำบัด” ก็เริ่มต้นอย่างไม่มีแผนที่นำทางใดๆ ทั้งสิ้น...

ในปี พ.ศ. 2550 ด้วยความหวังดี มารดาของเธอได้พาเธอไปพบหมอจีนที่เยาวราชตามคำแนะนำของเพื่อนที่บอกว่า หมอจีนคนนี้เป็น “หมอเทวดา” ที่รักษาใครก็หาย แต่หลังจากที่เธอทานยาต้มสมุนไพรจีนที่หมอจีนคนนี้ให้มาหลายสัปดาห์ แทนที่ก้อนมะเร็งที่เต้านมจะยุบลงกลับบวมเป่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอกลับไปหาหมอจีนคนนั้นอีก และเปิดบริเวณที่บวมเป่งขึ้นกว่าเก่าให้หมอจีนดู หมอจีนคนนั้นถึงกับหน้าเสีย และบอกให้เธอไปฉายรังสีบำบัดไม่รับรักษาเธออีกต่อไป เธอจึงได้เรียนรู้บทเรียนที่เจ็บปวดว่า “หมอเทวดา” ไม่มีจริง คำร่ำลือเกี่ยวกับ “หมอเทวดา” ก็เป็นแค่คำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น ต้นปี พ.ศ. 2552 เซลล์มะเร็งได้กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและปอดแล้ว เธอจึงยอมจำนนให้แก่การแพทย์แผนปัจจุบัน ยอมรับการทำเคมีบำบัดที่ทำให้ผมร่วง

คราวนี้เธอลองหันไปใช้วิธีภาวนาแบบ “นิว เอจ” (New Age) ที่ใช้การสวดมนต์ภาวนาด้วยความรัก อ้อนวอนให้เซลล์ภายในร่างกายอภัยให้เธอ และกลับมาอยู่ในร่างกายเธออย่างปกติสุขดังเดิม วิธีการบำบัดแบบใช้ “พลังจิต” นี้เธอได้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เพื่อนเธอนำมาให้ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้าในทุกถ้อยคำจากหนังสือ เธอจึงหยุดรับเคมีบำบัดแล้วหันมาพากเพียรปฏิบัติภาวนาแทน แต่ก้อนเนื้อที่หน้าอกที่เคยยุบฝ่อไปชั่วคราวหลังการรับเคมีบำบัดกลับโตขึ้นมาอีกครั้ง และขยายเร็วกว่าที่เคย ทำให้ความหวังที่เคยคิดว่าจะหายจากโรคร้ายด้วยการสวดมนต์ภาวนาพลันดับวูบ สิ่งที่พยายามมาทั้งหมดสูญเปล่า

สุดท้าย เธอลองหันมาใช้ชีวิตตามแนวทาง “ธรรมชาติบำบัด” ที่เธอได้รับจากฟอร์เวิร์ดเมลฉบับหนึ่ง บอกเล่าเรื่องราวของ “พ่อเลี้ยง” ชายผู้ป่วยเป็นมะเร็งกระดูกระยะสุดท้าย และรอดตายเพราะหักดิบมาใช้ชีวิตตามแนวทางธรรมชาติบำบัด ด้วยการงดเนื้อสัตว์ทุกประเภท กินข้าวกล้องปั่นกับผักหลายชนิด ไม่เติมน้ำตาลหรือเครื่องปรุงรสใดๆ เวลากินก็ใช้หลอดดูด เวลาอาบน้ำ ก็ให้อาบน้ำร้อนแบบควันขึ้นสลับกับการอาบน้ำเย็นจัด เพราะสิ้นหนทาง เธอจึงทำตามอย่างเคร่งครัดไปได้เดือนกว่า แต่ก้อนเนื้อร้ายก็ไม่ยุบ น้ำหนักตัวกลับลดลง เนื้อตัวก็ซีดเหลือง และเป็นลมถี่กว่าเก่า

เมื่อเธอโทรศัพท์ไปหาพ่อเลี้ยงเพื่อบอกเล่าอาการที่ไม่ดีขึ้นของเธอ คำตอบที่เธอได้รับกลับมา กลับเป็นเสียงตะคอก หาว่าเธอใจไม่สู้ เธอผิดหวังอีกครั้งกับชายคนนี้ซึ่งก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หลอกลวงต้มตุ๋น หากินกับผู้ป่วยปางตายไร้หนทางรักษา

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เพื่อนเก่าชั้นมัธยมศึกษาที่มาเยี่ยมเธอที่บ้านได้ชักชวนเธอให้ไปหา รุ่นพี่ร่วมโรงเรียนซึ่งปัจจุบันเป็น “กูรู” ด้านธรรมชาติบำบัดที่ใช้น้ำหมักผลไม้รักษาโรคต่างๆ จนหายขาด เธอรับฟังเรื่องราวอย่างมีความหวัง แม้จะต้องถูกหลอกอีกครั้งก็ขอลองดู เธอเหมือนคนตาบอดที่ไม่รู้ ไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรจริง อะไรปลอม จึงไม่ใคร่ครวญก่อนเลือกวิธีรักษาให้ดี เธอจึงถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจาก “ผู้รู้” ที่ต่างอวดอ้างแสดงตนว่า “ธรรมชาติบำบัด” ตามแนวทางของตนสามารถรักษาโรคร้ายให้หายขาดได้

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในตอนต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 เธอฝืนหอบร่างไร้เรี่ยวแรงเดินทางไปพบรุ่นพี่โรงเรียนเก่าคนหนึ่ง ซึ่งผันตัวเองจากนักธุรกิจมาเป็นกูรูด้านน้ำหมักชีวภาพ โดยเรียกอย่างโก้เก๋ว่าเป็น “น้ำเอนไซม์” และอวดอ้างว่าสามารถรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้... “น้ำเอนไซม์” นี้หมักรวมจากผัก ผลไม้ สมุนไพร และน้ำผึ้งนานกว่าหนึ่งปี ให้ใช้ล้างแผลทุกวัน จุลินทรีย์ในน้ำจะช่วยย่อยสลายก้อนมะเร็งจนหาย...เมื่อเธอลองนำน้ำหมักเอนไซม์นี้มาทำความสะอาดแผลมะเร็งแทนน้ำเกลือ เวลาผ่านไปเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น ก้อนมะเร็งของเธอกลับบวมเป่งเน่าเฟะส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว ราวเดือนพฤศจิกายน เธอจึงหยุดใช้น้ำหมัก “ลวงโลก” นี้ ปล่อยชีวิตแต่ละวันผ่านไปแบบมืดแปดด้าน มีเพียงหนังสือเป็นเพื่อน

เธอได้อ่านเรื่องราวของหญิงชาวอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แล้วปฏิเสธการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยหันมาใช้วิธีธรรมชาติบำบัดตามแนวทางของ นายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน นายแพทย์ชาวเยอรมันผู้คิดค้นเรื่องอาหาร วิธีการทำดีท็อกซ์ (ล้างพิษ) น้ำเอนไซม์ วิตามิน และแร่ธาตุ นายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน เป็นบรมครูของวงการแพทย์ทางเลือกในปัจจุบัน เกิดเมื่อ ค.ศ. 1881 เขามีชื่อเสียงโด่งดัง เมื่ออายุได้ 48 ปี เพราะเป็นแพทย์คนแรกของโลกที่สามารถรักษาวัณโรคผิวหนัง (lupus vulgaris) ได้สำเร็จ ซึ่งวงการแพทย์สมัยนั้น เชื่อว่า วัณโรคผิวหนังเป็นโรคซึ่งไม่มีทางรักษาหาย แต่นายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน สามารถรักษาให้หายได้ มิหนำซ้ำวิธีรักษาก็ง่ายๆ โดยการใช้อาหาร (diet) บวกกับการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดเท่านั้น

สูตรอาหารของนายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน ประกอบไปด้วยอาหารจากผักและผลไม้ ไม่มีเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด ตามด้วยน้ำคั้น (เอนไซม์) จากผักสด แครอท และแอปเปิล เหตุผลสำคัญที่นายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน สร้างสูตรอาหารนี้ขึ้นมา พร้อมทั้งห้ามเด็ดขาดเรื่องบุหรี่ กาแฟ ชา ของหวาน และของกินเล่นทุกชนิด เขาอธิบายว่า ผู้ที่เจ็บป่วยนั้น เพราะสภาพทางเคมีของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และสาเหตุที่ทำให้เคมีในร่างกายนั้นเปลี่ยนไปก็มาจากการกินอาหารที่เลวที่ทำให้เกิดท็อกซิน (toxin) จึงต้องรักษาด้วยการใช้วิธีเปลี่ยนอาหารที่ถูกต้องให้แก่ร่างกาย ร่วมกันกับการสร้างภูมิชีวิต (immune system) ให้แก่ร่างกายด้วย

พออ่านถึงตรงนั้น คุณอรุณี เวศย์วรุตม์ ถึงกับดีดตัวผึงจากโซฟารีบค้นหาหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นหนังสือทั่วบ้านจนกระจัดกระจาย เพราะเธอคลับคล้ายว่า เคยอ่านเรื่องราวแบบเดียวกันมาก่อน หนังสือเล่มนั้นคือหนังสือ “กูแน่” ของสาทิส อินทรกำแหง เมื่อสองปีก่อน เธอเคยอ่านผ่านๆ หนังสือเล่มนี้มาแล้ว แต่เธอไม่สนใจ เนื่องจากแนวทางชีวจิตในหนังสือเล่มนี้ ไม่เคยอวดอ้างว่า จะรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้ ขณะที่ในตอนนั้น เธอหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหา “หมอเทวดา” หรือวิธีการ “วิเศษ” ที่อวดอ้างว่าสามารถรักษาโรคร้ายให้หายขาดได้เท่านั้น บัดนี้เธอตาสว่างจากความงมงายเช่นนั้นแล้ว

ชีวจิตคือองค์ความรู้ใหม่สำหรับเธอที่เน้นวิธีการใช้ชีวิตที่ยึดธรรมชาติเป็นหลัก มีความเรียบง่าย พอดี ยึดถือความเป็นเลิศของสุขภาพกายและใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันอย่างพี่น้อง และใช้ชีวิตเพื่อสังคมที่ดีงาม...นี่คือวิถีชีวิตที่ตรงกันข้ามกับวิถีชีวิตในอดีตของเธออย่างสิ้นเชิง แต่นี่ก็คือแสงสว่างแห่งความหวังที่วาบขึ้นในความมืดมนที่ปลายอุโมงค์ของชีวิตเธอ

เธอตัดสินใจสมัครเข้าคอร์สชีวจิตที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง จะจัดที่จังหวัดเชียงใหม่ กลางเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 โดยไม่ลังเลก่อนไปคอร์ส เธอไปตรวจร่างกายพบว่า เซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลามไปอวัยวะอื่นๆ มีเพียงก้อนมะเร็งเท่านั้นที่ยังโตไม่หยุด เธอหอบเอกสารการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์แผนปัจจุบันเข้าร่วมคอร์สชีวิตที่อำเภอแม่ริมอย่างเปิดใจ เธอค่อยๆ เรียนรู้ แนวทางชีวจิตที่ไม่ได้พุ่งตรงไปรักษาตัวโรคอย่างเดียว แต่มุ่งไปที่การปรับชีวิตให้กินอาหารที่ปรุงแต่งแต่น้อยออกกำลังกายตามสมควร อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีสัมพันธ์กับผู้คนที่คอยให้กำลังใจกันและกัน อันเป็นแนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อยกระดับภูมิชีวิตขึ้นกำราบเซลล์มะเร็ง

เมื่อเธอเข้าปรึกษาเรื่องโรคที่เป็นกับอาจารย์สาทิส และเปิดเสื้อให้อาจารย์สาทิสดูก้อนมะเร็งที่ดูราวกับเนื้อเน่าๆ บนหน้าอก ใบหน้าของอาจารย์สาทิสยามเห็นก้อนมะเร็งนั้น ไม่มีทีท่าตระหนกตกใจหรือขยาดแขยงเช่นคนอื่นๆ อาจารย์สาทิสแนะนำให้เธอยอมรับเคมีบำบัด เพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะหยุดการแตกโตของก้อนมะเร็ง ซึ่งตอนนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะใช้วิธีผ่าตัดออกเพียงอย่างเดียวได้

อาจารย์สาทิสอธิบายเหตุผลแก่เธอว่า การรักษาโรคตามแนวทางชีวจิตนั้น เป็นแบบบูรณาการ หรือเป็นลักษณะการผสมผสานการแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์ทางเลือกและศาสตร์อื่นๆ ที่มีประโยชน์ ช่วยส่งเสริมกันให้การรักษาเห็นผลมากที่สุด และเร็วที่สุดซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป หลังจากรับเคมีบำบัดไปสองเข็มแรก ก้อนมะเร็งฝ่อลงอย่างรวดเร็วจนเหลือขนาดเท่าเหรียญสิบบาท แต่หลังจากรับเคมีบำบัดเข็มที่สาม มะเร็งร้ายกลับโตขึ้น นายแพทย์ผู้ดูแลเธอได้ปรึกษากับอาจารย์สาทิส และได้ข้อสรุปว่า เธอต้องผ่าตัดเต้านมออก

เธอปฏิบัติตัวตามแนวทางชีวจิตควบคู่ไปกับวิธีการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยดูแลทั้งเรื่องการกิน การนอนหลับพักผ่อน การออกกำลังกาย และการทำงานให้สมดุลไปตามครรลองของธรรมชาติร่างกาย และสิ่งรอบข้าง บัดนี้เธอจึงเข้าใจคำว่า “ธรรมชาติบำบัด” อย่างถูกต้อง และลึกซึ้งยิ่งขึ้น ปัจจุบันเธออยู่ในช่วงของการฟื้นฟูสุขภาพ เธอมีความสุขมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยสุขแบบนี้มาก่อน คนรอบข้างก็บอกว่า เธอเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่แล้ว เพราะเธอกลายเป็นเจ้านายที่ไม่เข้มงวดกับลูกน้องเหมือนเมื่อก่อน ไม่เครียดกับงานของตัวเองอีกต่อไป เป็นแม่ที่คอยเอาใจใส่สุขภาพของลูกๆ เพื่อสร้างเกราะแห่งภูมิชีวิตให้พวกเขา และที่สำคัญ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะไม่ท้อแท้หรือสิ้นหวังอีกต่อไป...

บทเรียนสำคัญที่พวกเราควรได้เรียนรู้จากกรณีของคุณอรุณี ก็คือ จงอย่าไปมอบอำนาจการรักษาโรคมะเร็งให้แก่การแพทย์ทางเลือกอย่างเดียว หรือ “ธรรมชาติบำบัด” แบบงมงายเป็นอันขาด

                     www.suvinai-dragon.com
กำลังโหลดความคิดเห็น