xs
xsm
sm
md
lg

“เพื่อไทย” ยกหางนิติราษฎร์ ปูด!ครม.เล็งทบทวนคดีหมิ่นเบื้องสูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ที่ทำเนียบรัฐบาล นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า วันนี้ (20ก.ย.) คณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน จะเข้าพบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชิอนวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอรายงานผลการตรวจสอบฉบับที่ 2 เข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)
โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเปิดโอกาสให้ครม.แสดงความคิดเห็นเพื่อนำไปปฏิบัติ พร้อมทั้งตรวจสอบสิ่งที่รัฐบาลชุดก่อนได้ดำเนินการไปแล้ว
ส่วน การจัดตั้งคณะกรรมเฉพาะกิจเพื่อทำหน้าที่ให้การเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้น ทุกฝ่ายต้องยุติการกล่าวอ้างถึงสถาบันเพื่อประโยชนทางการเมือง รวมทั้งขอให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูงมาขยายผลในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เช่น การกล่าวหา และโฆษณารณรงค์ในเรื่องขบวนการล้มเจ้า ซึ่งอาจมีการตีความกฎหมายที่กว้างขวางเกินไป และอาจส่งผลต่อการปรองดองของคนในชาติ

**“แม้ว”สั่ง“นปช.”งดพาดพิงสถาบัน
มีรายงานแจ้งว่า การชุมนุมของนปช. เมื่อค่ำวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตุว่าการปราศรัยของแกนนำไม่มีการพูดพาดพิงสถาบันเลย โดยมีรายงานข่าวจากแกนนำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กำชับแกนนำในการปราศรัยให้ระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าววกรณีนี้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นเพียงแค่การเดินทางไปหาผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพเท่านั้น คงไม่มีการสั่งการใด ๆ

**เพื่อไทยเสวนาชี้ปว.อีกประชาชนฮือ
ส่วนกิจกรรมวันครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร ที่จ.เชียงใหม่ คนเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ใช้รถจักรยานยนต์กว่า 200 คัน รถยนต์ส่วนตัวและรถสี่ล้อแดงอีกกว่า 50 คัน ขับขี่ไปตามถนนรอบคู เมืองเชียงใหม่ เพื่อรำลึกพร้อมกล่าวโจมตี พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน อดีตผู้ บัญชาการทหารบก ผู้ก่อรัฐประหาร ว่าสร้างความเสียหาย
ด้านหน้ากองบัญชาการกองทัพบกกลุ่มเครือข่ายประชาธิปไตย ประมาณ 10 คน ได้มาชุมนุม พร้อมทั้งตอกมุดสีทองที่มีคำว่า “19 ก.ย.ต่อต้านรัฐประหาร” ที่ทางเท้าด้านหน้า บก.ทบ.บริเวณถนนราชดำเนิน
นอกจากการตอกมุดแล้ว ยังมีผู้ร่วมเครือข่ายได้ใส่หน้ากากและนำรถแท็กซี่กระดาษผูกติดไว้ที่เอว ที่มีข้อความว่า “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่ประชาธิปไตย”
ที่พรรคเพื่อไทย มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “บทเรียนรัฐประหาร 19 กันยา ศึกษาอดีต-ร่วมสร้างอนาคต” ตอนหนึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า กรณีกลุ่มนิติราษฎร์เสนอข้อคิดเห็นต่าง ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง จะทำให้ประเทศไทยมีแนวทางในการใช้กฎหมายเกี่ยวกับกรณีที่ใครจะมายึดอำนาจใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากที่ผ่านมาหากไปยึดตามแนวทางศาลฎีกาตั้งแต่ปี พ.ศ.2496 ที่บอกว่าใครยึดอำนาจได้ก็สามารถทำอะไรก็ได้นั้น ได้ก่อให้เกิดผลเสียเชิงกฎหมาย มิหนำซ้ำยังก่อให้เกิดการปฏิวัติซ้ำซากมาตลอด
"ดังนั้นข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ประกอบกับเป็นการแก้การใช้กฎหมายโดยอำนาจของคณะรัฐประหารไม่ให้เกิดผล แต่ในทางกลับกันก็ไม่ได้บอกว่าหากใครทำผิดก็จะไม่ถูกดำเนินคดีมันไม่ใช่ ใครที่ทำผิดกฎหมายก่อนการยึดอำนาจ ก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ใช้ระบอบประชาธิปไตยจัดการกับคนเหล่านั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ผมคิดว่ามีเหตุผล" นายพงศ์เทพกล่าวและว่าส่วนจะมีโอกาสที่จะเกิดปฎิวัตรได้หรือไม่ในขณะนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกดำเนินการที่ไม่ใช่กระบวนการปกติ ก็ควรได้รับการปฏิบัติให้ถูกต้องเหมือนกัน แต่ความรู้สึกของประชาชนเชื่อว่าส่วนใหญ่ไม่มีใครเห็นด้วยกับการปฎิวัติอีกแล้ว และก็เชื่อว่าหากใครคิดจะทำอีก ก็คงต้องรับบทเรียนจากประชาชนที่จะต้องจดจำไปทั้งชีวิต "โอกาสมีหรือไม่มีอยู่ที่คนคิดจะทำ แต่ประชาชนจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เ" นายพงศ์เทพกล่าว

**“เหลิม-เพื่อไทย” ยกหางนิติราษฎร์
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเห็นด้วยกับกลุ่มนิติราษฎร์ ว่า อาจารย์กลุ่มนี้เป็นอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ ด้วยความเป็นจริงไม่มีครูอาจารย์ที่ไหนเห็นด้วยกับการปฏิวัติ และการปฏิวัติเป็นผลพวงให้เกิดความยุ่งยากของบ้านเมือง
“มันก็ยาก เพราะเรื่องมันแล้วไปแล้ว ก็อาจจะเป็นการแสดงความเห็นเชิงวิชาการ แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นได้หากพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวและว่า เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแก้มาตรา 291 ไม่มีอะไรยาก ส่วนที่นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช.ระบุว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ควรยกไปเลย เอา 2540 มาใช้เลย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คิดได้แต่ทำไม่ได้ ตามกฎหมายต้องมีกระบวรการ ต้องแก้โดยรัฐสภา รัฐธรรมนูญ 2540 ส่วนใหญ่ดี แต่มีบางส่วนบกพร่อง รัฐธรรมนูญปี 2550 เราไม่รับ เพราะรัฐธรรมนูญมาจากเผด็จการ ฉะนั้นเมื่อมีสสร.แล้ว หากเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ดี ก็เอามาเป็นตัวตั้ง แต่จะยกออกยกเข้ามันไม่ได้ กฎหมายทำได้ที่ไหนนั่นมันซื้อของในตลาด
เมื่อถามว่าเปิดสมัยนิติบัญญัตินี้เสนอได้เลยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนมองเป็นเรื่องง่าย ไม่มีอะไรเลย เพราะเราเพียงเปิดทางให้มี สสร.และสสร.ไปทำกันเอง บางคนบอกว่าเดี๋ยวมีสสร.พวกเราจะสั่งได้ ก็เขามาจากการเลือกตั้ง แล้วจะทำอย่างไร
เมื่อถามว่า 5 ปีของการรัฐประหารให้อะไรกับสังคมไทยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ให้ความเจ็บปวด ให้ความแตกแยก ให้ความร้าวฉานให้ประเทศชาติไม่พัฒนา ตกต่ำ ยาเสพติดท่วมหัว ไม่มีอะไรดีขึ้น เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรไม่ให้วงจรอุบาทว์นี้เกิดขึ้น ให้ประชาชนเข้าใจเรื่องประชาชนเข้าใจประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานคณะกรรมการประสานงาน พรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลและพรรคพร้อมจะรับไว้พิจารณา
ด้านนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ แกนนำนปช. กล่าวว่า ขอชื่นชมกลุ่มนิติราษฎร์ที่เสนอแนวทางนี้ เพราะเป็นกลุ่มคณะผู้กล้าหาญ ที่กล้าเสนอแนวคิดเช่นนี้ ข้อเท็จจริงวันนี้ใครก็เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมเป็น 2 มาตรฐาน มีการผูกปมซ่อนเงื่อนปัญหาจากคมช.เอาไว้
“แนวทางที่นิติราษฎร์เสนอจึงเป็นการปลดล็อก การยืมศาลเป็นเครื่องมือแบบที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าตอนนี้ประชาชนมีความไม่เชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม เพราะสงสัยว่ากระบวนการนี้สามารถกดปุ่มสั่งได้ กระบวนการทำให้ทุกอย่างดีขึ้นทางรัฐบาลเพื่อไทย จะทำใน 2 ส่วนคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะเริ่มต้นแน่นอนในเดือนธันวาคม อีกทางหนึ่งคือใช้กลไกของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติหรือ คอนธ. เพื่อทำให้เกิดนิติรัฐขึ้นในการแก้ปัญหาเรื่องสองมาตรฐาน” แกนนำ นปช. กล่าว

**“มาร์ค”จวกฝันไกลถึงขั้นล้มคำพิพากษา
เวลา 14.00 น. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายสมชาย หอมลออ ในฐานะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) นำนางพริสซิลล่า เฮย์เนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคณะกรรมการค้นหาความจริงและความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหารือถึงแนวทางการสร้างความปรองดองในประเทศไทย
นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยภายหลังว่า มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน โดยกรณีที่คอป.ชะลอการฟ้องร้องผู้มีความผิดจากการชุมนุมนั้น ได้รับการชี้แจงจากคณะกรรมการ คอป.ว่า เป็นเพียงการชะลอเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นการชะลอดำเนินคดี พร้อมย้ำว่า ยังคงสนับสนุน คอป.ให้ปฏิบัติหน้าที่ค้นหาความจริงต่อไป
ทั้งนี้ยังไม่รู้สึกกังวลใจแต่ประการใดต่อกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ โอนย้ายคดีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จำนวน 13 ศพ เนื่องจากเห็นว่า ความจริงคือความจริง ขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา
ส่วนข้อเสนอนักวิชาการนิติราษฎร์ นั้นตน ไม่เข้าใจว่าจะผูกโยงไปไกลกันทำไม ถ้าคิดว่ารัฐธรรมนูญเป็นปัญหาควรเสนอแก้ไขในประเด็นที่เป็นปัญหา แต่การก้าวล่วงถึงขนาดให้ลบล้างคำพิพากษาตนไม่เข้าใจ ดูเหมือนเป็นการเจาะจงเพื่อประโยชน์คนบางกลุ่มเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของคอป.เขียนไว้ชัดในเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ระบุถึงการบังคับใช้กฎหมาย การรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม การทำอะไรที่โปร่งใส ตรงไปตรงมายังเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งนายกิตติพงษ์รู้ดี

**ถาวร ติงนิติราษฏ์ รับงานใคร
นายถาวร เสนเนียม รมว.ยุติธรรมเงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอตั้งคำถามกลับไปยังกลุ่มอาจารย์กลุ่มดังกล่าวที่ออกมาเคลื่อนไหวใน เรื่องนี้ อย่างเป็นขั้นตอนและระนาบเดียวกันว่า ได้รับงานจากใคร กลุ่มใดหรือไม่ และมีผลประโยชน์อะไรหรือไม่ อย่างไร ทั้งหมดเพื่อเป็นการย้ำเตือนให้สังคมและสาธารณชนได้ฉุกคิดให้รอบคอบถึงข้อ เสนอดังกล่าว เพราะที่สุดแล้วอาจจะเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของชาติได้ เช่นเดียวกันกรณีที่บุตรและภรรยาของพ.ต.ท.ทักษิณที่จะได้ประโยชน์จากการยก เลิกกรณีดังกล่าว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
"คนเราแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ว่าเขาต้องการอะไร ทำเพื่อใคร เพราะรู้อยู่แล้วว่าแต่ละคนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ที่สุดแล้วการเสนอเรื่องนี้จะเป็นการเพิ่มปมความขัดแย้ง แตกแยกในสังคมไทยให้มากขึ้น" นายถาวร กล่าวและเชื่อว่า อาจารย์นิติศาสตร์กลุ่มนิติราษฎ์ ที่สุดแล้วจะเข้าร่วมมาเป็นคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่มี ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน เพราะพฤติกรรมดูเหมือนโยนหินถามทางต่อสังคมหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เจ้าตัวจะรู้เอง แต่ทุกอย่างที่แสดงเป็นการยืนยันว่าทำเพื่อคนๆ เดียว

**กกต.ติงอย่าล้างคำวินิจฉัยศาลตามใจ
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเพียงการพูดกันไป แต่ตนคิดว่าคนที่จะทำเช่นนั้นต้องมีเหตุมีผล เพราะจะไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้ ซึ่งยุคสมัยนี้ไม่ใช่บอกว่าตัวเองมีมวลชนแล้วทำอะไรตามใจชอบได้แต่ยุคนี้ต้องทำด้วยเหตุและผล ส่วนที่มีการเรียกร้องให้ล้มล้างคำวินิจฉัยของศาลที่ผ่านมาหลังการรัฐประหารก็เห็นว่า ถ้าออกกฎหมายผ่านสภาก็สามารถทำได้ทั้งนั้น.

**“ริบบิ้นขาว”ชี้อย่าลบล้างตัวเอง
นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ขอเสนอแนะให้เปิดเวทีระดมความเห็น และแลกเปลี่ยนมุมมองกันอย่างกว้างขวาง หรือเรียกได้ว่า เวทีสานเสวนาแห่งชาติเพื่อความปรองดอง ก่อนนำไปสู่การปฏิบัติ เพราะบางประเด็นเห็นว่า ไม่ควรหยิบยกมาดำเนินการทันที อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ทั้งฉบับ การยกเลิกผลพวงต่างๆ หลังเหตุรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน และการแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบัน แต่ยอมรับว่า เรื่องการเยียวยา ชดเชย และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุชุมนุมทางการเมือง สามารถดำเนินการได้ทันที

**วิปรัฐคาดแก้รธน.50 เข้าธ.ค.
ส่วนการประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีรายงานว่า ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นยังไม่มีรายละเอียด คาดว่าน่าจะเข้าได้ช่วงที่มีการประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ ประมาณปลายปีนี้ ต้องดูก่อนว่าใครขอแก้ไขอะไร ซึ่งรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้น

** “เหลิม”ปัดจุ้นรื้อสำนวน 13 ศพแดง
วันเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เรียกประชุมนายตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลทั้งหมด
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินและการธนาคาร ซึ่งได้รับมอบหมายจากอธิบดีดีเอสไอ นำสำนวนคดี 13 ศพที่เสียชีวิตระหว่างสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ภายในวัดปทุมวนาราม และช่างภาพชาวญี่ปุ่น จำนวน 3 ลัง ส่งมอบให้ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รักษาการ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้พิจารณาสำนวนคดี ก่อนส่งสำนวนกลับไปยังท้องที่เกิดเหตุและสรุปสำนวนให้อัยการพิจารณา
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ให้ตำรวจนครบาลดำเนินคดีไปตามขั้นตอนกฎหมาย หลังจากดีเอสไอสรุปว่า คดีดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไม่แทรกแซงการทำงานของตำรวจ แต่ต้องการย้ำให้ตำรวจปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายเท่านั้น
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากส่งสำนวนดังกล่าวให้บช.น.แล้ว จากนั้น บช.น.ก็ต้องทำความเห็นหาข้อสรุปเพื่อนำสำนวนความเห็นส่งให้อัยการ จากนั้น อัยการก็จะส่งต่อไปยังศาล เพื่อชี้ขาดในประเด็นการเสียชีวิตว่าเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งศาลจะชี้ขาดเพียงการเสียชีวิตเท่านั้น จากนั้นสำนวนดังกล่าวก็จะถูกส่งกลับมายังดีเอสไอ เพื่อดำเนินการสอบสวนในเชิงคดีต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น